RIDE_review#2 : บ้านขุนสมุทรจีน แผ่นดินที่สาบสูญ : by LataeCoffee

กระทู้สนทนา


“บางครั้ง...การค้นพบบางอย่างก็ไม่ได้มาจากตำราเสมอไป....
มันอยู่ที่ใจของเราที่ตั้งคำถาม....และพร้อมจะเดินออกไปค้นหามัน”

ทำไมผมถึงจั่วหัวแบบนี้น่ะเหรอ...เพราะทริปล่าสุดที่ผ่านมา
มันทำให้ผมค้นพบคำตอบใหม่ๆในการเดินทางบนหลังอานของผม.......
ถ้าใครพร้อม!!  ตามผมไปผจญภัยด้วยกัน

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ทริปนี้มันเริ่มขึ้นมาจากคำถามของพี่คนนึงว่า “จากปากน้ำ ถ้าเราเลาะชายฝั่งทะเลไปเรื่อยๆ
เราจะปั่นจักรยานไปถึงบางขุนเทียนไหม???”.......นั่นสิ....ปากน้ำผมเคยไป.....บางขุนเทียนผมก็เคยไป......
แต่ช่องว่างระหว่างนั้นตอบได้เลยว่า ไม่เคยจริงๆ.....และเมื่อเราสงสัย อย่าปล่อยให้ค้างคา “มันต้องพิสูจน์”

ไหนๆรอบนี้จะไปแบบลุยๆมีทั้งทางแทรกทางเรียบ ผมจึงเตรียมอุปกรณ์ชุดใหญ่ติดไปด้วย
เสื้อกันฝนเอย อุปกรณ์ช่างเอย และของจิปาถะอื่นๆใส่กระเป๋าทัวริ่งที่ตะแกรงรถเผื่อฉุกเฉิน
และจะได้ลองแบกน้ำหนักปั่นทางไกลด้วย เผื่อซักวันจะลองทัวริ่งออกทางไกลค้างคืนบ้างจริงๆตามที่ฝันไว้

โดยไม่รู้เลยว่า น้ำหนักของที่ผมตั้งใจแบกมันไปนั้น.....วันรุ่งขึ้น ผมจะได้ “แบก”มันจริงๆ T^T

เช้าของวันเสาร์ที่ 17 สิงหาที่ผ่านมา พวกเราพร้อมด้วยจักรยานคู่ใจได้นัดหมายกันที่ BTS แบริ่งเป็นต้นทาง
โดยแผนการณ์คร่าวๆคือ เราจะปั่นจักรยานจากแบริ่งไปข้ามเรือที่ปากน้ำไปยังท่าพระสมุทรเจดีย์ หาข้าวเช้ากินแถวนั้น ก่อนปั่นยาวไปป้อมพระจุล แล้วลัดเลาะเข้าไปทางวัดทองรำไพ...ซึ่งทางส่วนใหญ่ที่มีคนเคยมาเราหาข้อมูลได้เพียงเท่านี้ เราจึงวางแผนว่าจะค่อยๆถามเส้นทางจากชาวบ้านเพื่อลัดเลาะไปยังเทียนทะเลเอาดาบหน้า....ซึ่งในเส้นทางดังกล่าวเราน่าจะได้พบ Unseen in Thailand ที่กำลังจะเป็นอดีตในไม่ช้า คือ บ้านขุนมุทรจีน แผ่นดินที่กำลังหายสาบสูญ

ในช่วงต้นของการเดินทาง เราได้เดินทางไปตามถนนสุขุมวิทโดยมีจุดหมายแรกอยู่ที่การพาจักรยานของเราข้ามไปยังฝั่งพระสมุทรเจดีย์โดยเรือโดยสารข้ามฟาก....ค่าโดยสารคนละ 10 บาท และค่าจักรยาน 10 บาทต่อคัน





ในเวลาไม่นานนักเรือโดยสารก็พาเราผ่านป้อมผีเสื้อสมุทร มาขึ้นยังท่าเรือโดยสารพระสมุทรเจดีย์ ซึ่งหน้าท่าเรือเป็นตลาดเล็กๆให้เราได้หาอะไรใส่ท้องได้ก่อนการเดินทางอีกยาวไกล.....





หลังจากได้อาหารเช้าบ้าง กาแฟบ้างแล้ว ร่างกายที่ยังตึงๆก็เริ่มผ่อนคลาย...สติที่ยังมึนๆจากการตื่นเช้า ก็เริ่มกลับมาแจ่มชัด ก่อนจัดเตรียมน้ำดื่มใส่กระติกให้เรียบร้อย เราจึงเดินทางสู่ป้อมพระจุล ป้อมปราการแห่งประวัติศาสตร์ในการต่อสู่ของราชนาวีไทย ที่แหลมฟ้าผ่ากันเป็นจุดหมายแรก

เมื่อถึงป้อมพระจุล เราก็ได้เข้าเยี่ยมตัวป้อมและพิพิธภัณฑ์เรือหลวงแม่กลองที่ปลดระวางแล้วมาให้เยาวชนไทยได้ศึกษาอย่างใกล้ชิด....ซึ่ง ณ จุดนี้เราได้พักผ่อนและทำความเข้าใจกันอีกครั้งว่า “หนทางที่เราจะไปต่อไปนี้ ไม่เคยมีรีวิว.....หาไม่ได้จาก GPS จากนี้จะนำทางด้วยใจ...และชาวบ้านข้างทาง”.......เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปคือ วัดขุนสมุทรจีน




ก่อนออกจากป้อมพระจุลเราจึงได้ถามเจ้าหน้าที่ที่ประจำด้านหน้าของป้อมพระจุล
“พี่ครับ จากตรงนี้ถ้าเราจะไปบางขุนเทียน มันมีทางไหนให้เราลัดไปได้ไหมครับ”
คำตอบที่ได้ ไม่ต่างจากที่เราคาดไว้มากนัก “ต้องวกไปทางสุขสวัสดิ์เข้าพระรามสอง” คือทางสัญจรทางบกที่แนะนำ
แต่ขึ้นชื่อพวกเราแล้ว “ความดื้อ” ไม่เป็นรองใคร เราจึงเลือกใช้เส้นทางที่แพลนไว้ตอนแรกคือ เส้นทางสะพานเล็กๆจากด้านหน้าป้อมเข้าไปทางวัดทองรำไพ.....

ทันทีที่เราเลี้ยวเข้าสู่เส้นสะพานลอย บรรยากาศรอบตัวพวกเราก็เปลี่ยนไป....จากถนนใหญ่ที่มีรถราขวักไขว่ ก็กลายเป็นสะพานเล็กๆ พอให้จักรยานขี่เรียงหนึ่ง ลัดเลาะไปตามคลองและทิวต้นจากที่ต้องลมทะเลข้างทาง..






ไม่นานนักเราก็มาถึงวัดทองรำไพ...ความท้าทายแรกก็ตามมาจักรยานพับคันหนึ่งของพี่ในทริป
ได้เกิดบันไดด้านขวาซึ่งเป็นแบบพับได้เกิดหลุดออกมา โชคดีที่ครั้งนี้ผมได้นำถุงเครื่องมือใหญ่ติด
กระเป๋าไปด้วยเลยได้สายเคเบิลไทด์มารัดล็อกไว้ให้พอไปได้ชั่วคราว....เมื่อเสร็จสิ้นการซ่อมแล้ว
เราก็พบว่าเส้นทางที่เรามานั้นตันลงแล้ว แต่ใจของพวกเรายังบอกว่า มันต้องไปต่อได้สิ ทางเล็กๆ
หัวคันนาก็ต้องไปได้ ชาวบ้านไปได้ เราก็ต้องไปได้.....เราจึงเริ่มลัดเลาะบนทางดินแคบๆ
ที่ผ่านบ้านคนไปเรื่อยๆ ก่อนเราจะมาพบกับพระเอกของวันนี้...................สะพาน!!!!

ครับสะพาน...หลายๆคนที่ขี่จักรยานคงได้พบกับความท้าทายจากสะพานมาไม่มากก็น้อย
แต่ผมมั่นใจว่า สะพานที่คนทั่วไปเคยเจอ ไม่เหมือนกับที่อยู่ตรงหน้าเราแน่นอน!!!!!!!!!

ที่อยู่ตรงหน้าเราคือสะพานไม้เส้นเดียวที่ไร้ที่จับ ที่จะพาเราข้ามวังน้ำเล็กๆของชาวบ้านเป็นระยะๆ
ที่ผมได้คำตอบภายหลังว่า ทำไมต้องเป็นสะพานไม้แผ่นเดียวที่ไร้ความแข็งแรงนี้ ก็เพราะว่า
จำเป็นต้องเปิดให้เรือต่างๆที่ชาวบ้านใช้งานให้ผ่านไปได้ในบางครั้งครับ เลยไม่สามารถ
ทำทางถาวรตลอดแนวได้......เอาละ ได้เวลางัดวิชาตัวเบาที่ร่ำเรียนมามาใช้แล้ว....ซึ่งก่อนเริ่มทริป
เราได้แจ้งกับผู้ร่วมทริปไปแล้วว่า ทางครั้งนี้จะหฤโหดพอสมควร หลายๆท่าเลยเลือกเอาไม่ว่าจะเป็น
รถมินิหรือรถพับมา มีเสือภูเขาอยู่สองคัน.....แต่ที่ผมลากมามันคือ...เสือภูเขาแบบจัดเต็ม!!!
พร้อมตะแกรงทัวริ่งและกระเป๋าสัมภาระอีกเต็มสูบ......เอิ้ววววว!!!! อยากหุยเป็นภาษาจาไมก้า T^T





ไม่นานจากตรงนั้น...เราก็ได้พบว่าสะพานที่เราเจอมานั้น มันแค่น้ำจิ้มเท่านั้น เพราะเส้นทางที่เราเจอต่อมามันมีเจ้าพระเอกของเรานี้อีกประมาณ 40-50 อันได้ T^T  ไม่ต้องมาบ่อยก็ได้นะ เค้าเกรงใจ........

“กลับตัวก็ไม่ได้....จะเดินต่อไปก็ไปไม่ถึงงงงง” เสียงเพลงเบาๆ เริ่มลอยมาตามจินตนาการ กับเส้นทางช่วงที่สอง
ซึ่งเป็นสะพานทางปูนสลับกับสะพานไม้เป็นระยะๆที่ยังพอให้เราปั่นสลับแบก....แบกสลับปั่นกันไปเรื่อยๆ
จนพาเรามาถึงอีกหมู่บ้านซึ่ง ณ จุดนี้เราได้จอดแวะพักกันที่ร้านค้าแห่งหนึ่งเพื่อหลบจากอากาศอันร้อนระอุ
และเติมน้ำให้เรียบร้อย...ซึ่งที่นี่เองได้มีชาวบ้านเข้ามาพูดคุยกับเราให้สอบถามเส้นทางได้

“จะไปขุนสมุทรจีนกันเหรอ ไม่น่าถึงสิบโล....แต่น่าจะใช้เวลาซักสองชั่วโมงถึงสามชั่วโมงได้”
ห๊ะ!! ระยะทางไม่ถึงสิบโล แต่ใช้เวลาสองชั่วโมง....มันเป็นทางอะไรก๊านนนนนนน+++
แกก็อธิบายว่า ทางต่อจากนี้นั้นหากเป็นทางบก จะไม่มีทางปูนให้เห็นอีกแล้ว...
ลักษณะเส้นทางจะเป็นคันวังน้ำที่ถมจากดินที่ขุดขึ้นมา ซึ่งเรายังโชคดีที่ก่อนหน้านั้นฝนไม่ตกลงมา
เพราะไม่เช่นนั้นดินพวกนี้จะกลายสภาพเป็นเลนที่ทั้งยวบทั้งลื่น แต่วันนี้แดดแรง คงยังพอเอาจักรยานไปได้......
ซึ่งชาวบ้านแถวนี้ปกติใช้เรือในการเดินทางมากกว่า

มาถึงนี่แล้ว.....จะกลับรึ....ตัดสินใจเดินไปข้างหน้าง่ายกว่าถอยหลัง >.<
เราจึงร่ำลาและออกเดินทางกันต่อไป ด้วยการ ลาก....แบก...ลาก...แบก เอิ่ม.......
เข้าใจละ ทำไมพี่แกใช้คำว่า เอาจักรยานไปได้....ไม่ใช่ขี่จักรยานไปได้ เพราะคันดินพวกนี้มันถูกถมขึ้นมาหยาบๆ
ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นทาง และดินเลนเมื่อเอาขึ้นมาตากแดด มันจะขึ้นสภาพเป็นดินที่แตกระแหง บางจุดทางก็แคบลง
เป็นแค่ทางดินเล็กนิดเดียว แบบถ้าพลาดเราก็ลงไปนอนในคลองได้เลย ประกอบกับระหว่างทางมีประตูน้ำปล่อยน้ำ
จากทะเลเข้าวังน้ำให้เราได้ทดสอบพลังแขนกันอีกหลายจุด.......ซึ่งหากพาเสือภูเขามาลงน่าจะสนุกกันไม่น้อย
แต่สำหรับมินิ และรถพับที่พวกเราลากมานั้นมันปวดใจไม่ใช่น้อย






ซึ่งระหว่างทางนั้น มีชาวบ้านหลายๆคนมองเราด้วยสายตาแปลกๆ...
อาจเป็นเพราะอยู่ดีๆก็มีขบวนจักรยานในชุดแบบจัดเต็มมาอยู่ในที่แปลกที่แปลกทางก็ได้ 555+
ในใจคงคิดว่า...พวกมันมากันทำไม ทางมีเยอะแยะไม่ไป!!!

ชาวบ้านบางคนเห็นเราผ่านมาก็ร้องเรียก “เอ้า มาจากไหนกัน เข้ามากินน้ำกันก่อน....
ว่าแล้วแกก็เอาน้ำพร้อมน้ำแข็งมาให้เราได้ดับร้อน พร้อมกับทักทายกันสั้นๆด้วยรอยยิ้ม
ก่อนจะลาแกอย่างรวดเร็วเพราะเราไม่รู้เลยว่า ถ้าเราลาก แบก กันอยู่แบบนี้ เราจะไปถึงที่หมายได้กี่โมงกี่ยาม


ในที่สุด สะพานไม้และเส้นทางหฤโหดก็พาเรามาถึงจุดหมายที่สองกันจนได้ “บ้านขุนสมุทรจีน”
หลายท่านอาจสงสัยว่าแล้วบ้านนี้มันสำคัญอย่างไร???







บ้านขุนสมุทรจีนคือหมู่บ้านที่กำลังจะหายสาบสูญไปจากแผ่นดินไทย จากการเซาะของน้ำทะเลที่ซัดเข้าหาฝั่งทุกปีๆ จนตัวหมู่บ้านต้องย้างหนีน้ำมาแล้วถึงสามครั้ง...ซึ่งมีสัญลักษณ์สำคัญคือ วัดขุนสมุทราวาส ซึ่งชาวบ้านเล่าว่าแต่ก่อน หมู่บ้านอยู๋ติดตัวชายฝั่ง มีตัววัดอยู่ท้ายหมู่บ้านด้านที่ไม่ติดทะเล......แต่ทุกวันนี้หมู่บ้านทั้งหมดได้อพยพหนีน้ำขึ้นมาอยู่อีกฝั่งวัดหมดแล้ว เหลือวัดสมุทราวาสแห่งเดียว ที่เป็นเกาะลอยอยู่กลางทะเล โดยมีแนวเขื่อนที่ทำไว้รอบวัดเป็นปราการสุดท้าย
หมู่บ้านนี้ยังเป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ด้านทรัพยากรชายฝั่ง...การปลูกและดูแลรักษาป่าชายเลน และหมู่บ้านที่รณรงค์เรื่องภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง ก่อนที่น้ำทะเลจะกลืนกินหมู่บ้านจะเหลือเพียงชื่อในหน้าประวัติศาสตร์





ซึ่งทีมของเราได้เขาไปเยี่ยมชมภายในบริเวณวัดพร้อมกับหาอาหารทานที่วัด ซึ่งขณะนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมงแล้วพวกเราจึงจำเป็นต้องตัดสินใจปิดการเดินทางที่จุดนี้ ไม่สามารถไปถึงบางขุนเทียนได้ตามที่กำหนดกันไว้แต่แรก...

ซึ่งการเดินทางกลับเราได้นั่งเรือเล็กจากท่าสมุทรจีนมาขึ้นถนนใหญ่ ก่อนปั่นย้อนมาทางแหลมฟ้าผ่า และพระสมุทรเจดีย์ ก่อนเปลี่ยนเส้นทางจากขามา ไปทางถนนสุขสวัสดิ์-พระประแดง เข้าไปทางลัดโพธิ์-บางกระเจ้า ก่อนข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาอีกครั้งฝั่งมายังวัดคลองเตยนอก...แล้วปั่นต่อไปยังซอยสุขุมวิท 38 เพื่อหาอาหารเย็นกัน เป็นอันจบทริปที่ระยะทาง 67 กม.

Camera : Cannon 450D(KissX2) : FIX 50mm f1.8
Photo and Review by LataeCoffee
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่