สวัสดีค่า นี่เป็นรีวิวแรกในชีวิต มือใหม่หัดรี
ถ้าทำอะไรผิดพลาดไป ต้องขออภัยด้วยคร่าาา
เนื่องจากจิตตก ซึมเศร้า รักคุด ตุ๊ดเมิน เกินจะทนไหว เลยได้ตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วน
เมื่อเห็นโปรตั๋วบินตรง Business air ของ H.I.S. เดินทางคนเดียว 11,690 บาทเท่านั้น (รวมภาษีสนามบิน)
ก่อนเดินทางแค่ 2 วัน เลยแว่บเข้าไปถามที่ H.I.S. ยังมีที่นั่งว่างมั้ยคะ เสียงสวรรค์มาโปรด ตอบกลับมาว่า ยังว่างค่ะ
เลยตอบไปทันที แบบไม่คิดชีวิต ตกลงจองเลยค่ะ หลังจากได้ใบ Booking ก็ไปแลกเงิน Rate วันนั้นอยู่ที่ 0.3255 ค่ะ
เดินทาง 10 ส.ค.2556 เครื่องออก 01.30 น. ถึง Kansai International Airport (KIX) 09.00 น.
เดินทางกลับวันที่ 13 ส.ค. 2556 เครื่องออก 11.00 น. ถึงกรุงเทพ 15.00 น. (ระยะเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆค่ะ)
เนื่องจากเป็นตั๋วโปรโมชัน จะระบุช่วงวันไป-กลับ ไว้
และด้วยความที่ไม่อยากจะลางานหลายวัน เดี๋ยวจะมีห่วง
เลยเลือกเดินทางคืนวันศุกร์ที่ 9 ถึงเช้าวันที่ 10 ส.ค.
และกลับวันที่ 13 ส.ค. เพราะจะได้ลางานแค่วันเดียว
เดินทางคนเดียว ไม่อยากพบประสบการณ์ระทึกขวัญเหมือนตอนไปแบคแพคที่อื่นๆ ที่ผ่านมา
ที่ไม่ได้ทำการจองโรงแรมไป เจอแต่ป้าย No Vacancy จนหลอน ครานี้เลยจองไปดีกว่าเพื่อความชัวร์
วางแผนการเดินทางคืนแรกพักที่เมือง Wakayama โรงแรม Wakayama Dai-ichi Fuji Hotel 1 คืน
คืนที่ 2 และ 3 พักที่เมือง Osaka โรงแรม Taiyo (ถูกและดี แต่เหมาะกับพวกแบคแพคเกอร์ ไม่เหมาะกับคนที่มาเป็นครอบครัวนะคะ)
เนื่องจากตื่นเต้นจัด รีบไป Check-in ที่สุวรรณภูมิตั้งแต่หัววัน ไปถึง 21.00 น.
Check-in ที่เคานท์เตอร์พี่ไทย ไหงไม่มีคนเลยฟร๊าาาา หรือจะยังไม่มากัน
พนักงานพี่ไทย ตรวจเคร่งกว่า ตม. ที่ญี่ปุ่นอีก ไปคนเดียวเหรอ ไปกี่วัน กลับวันไหน ขอดูใบจองโรงแรมด้วย
เอาไปให้หมดเลยค่ะ ดูซักพักก็ออก Boarding Pass ให้ หลังจากนั้นก็ผ่าน ตม. ไปเดินเชิบๆ ในดิวตี้ฟรี
แต่ไม่ซื้อ เนื่องจากมีปัญหาด้านงบประมาณ อิอิ และก็ไปนั่งรอหงายเงิบหน้า gate จนตี 1 ถึงจะได้ขึ้นเครื่อง
หลังจากขึ้นเครื่องซักพัก พนักงานก็ปิดประตู แม่เจ้า นึกว่าเครื่องบินส่วนตัว คนน้อยไปไหน
Business class มีแต่คนใส่ชุดกัปตันนั่งเต็มเลย
ส่วน Economy class ไม่ถึง 50 คนแน่นอน
เราเลยได้รับบริการอย่างราชา ในราคามิตรภาพ และตีตั๋วนอนบายใจ คุ้มจริงๆ
ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนเครื่องลง อาหารเช้ามาเสิร์ฟจ้า
บะหมี่ไก่ ไม่หร่อยเท่าไหร่ หรือว่ายังสลึมสลืออยู่ก็ไม่รู้ เลยกินไม่หมด
เวลา 9.05 น. ท้องถิ่น ถึงแล้วจ้าาาาา
อย่าลืมกรอกใบผ่านเข้า-ออก ตม. และใบ Customs Declaration ให้ครบถ้วนนะคะจะได้ไม่เสียเวลา
ด้านล่างใบ Customs Declaration จ้า
เดินไปขึ้นรถไฟไป Terminal 1 ผ่าน ตม. และออกไปเผชิญโลกกว้างได้เลยคร่าาา
เนื่องจากไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว แอบกังวล แต่ ตม. ก็ไม่ได้ตรวจสอบเข้มงวดเท่าไหร่
ดูๆ Passport แล้วก็ประทับตราให้
ไม่ถามไรเลยแฮะ
หลังจากผ่าน ตม. เดินออกจากประตูมาเลี้ยวขวา จะเห็นป้ายไฟ Tourist Information
พุ่งเข้าไปเลยค่ะ ไปที่ Travel Desk
3 days ticket Kansai Thru Pass please พร้อมกับจ่ายไป 5,000 เยน
หลังจากนั้นเดินออกจาก Terminal ตรงไปไม่ต้องลงไปข้างล่างนะคะ
ออกมาชั้นไหน ก็เดินออกประตูที่ชั้นนั้น ตรงไปเรื่อยๆ จะเจอป้ายนี้จ้า
เราเริ่มใช้ Kansai Thru Pass ตั้งแต่วันนี้เลย เดินเข้าฝั่งสีส้ม ที่เขียนว่า Nankai แต่ถ้าใครซื้อ JR Pass มาต้องเอาไปแลกก่อนที่นี่จ้า
อยู่ซ้ายมือ ตรงข้ามกับทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินจ้า
หลังจากนั้นก็ออกไปลุยได้เลย วันแรกวางแผนว่าจะไปวากายาม่าก่อน
เนื่องจากใกล้สนามบินคันไซมากกว่าเข้าโอซาก้า ประกอบกับคืนแรกที่พักที่โอซาก้าเต็มเกือบทุกแห่ง
เหลือแต่พวก 4-5 ดาว ไม่ไหวค่ะ ไปนอนชนบทก็ด้ายยย
หลังจากเข้าไปในสถานีปรากฎว่ามีสองขบวน ปลายทาง Namba ซึ่งเราต้องไปเปลี่ยนสายที่สถานี Izumisano
ขบวนแรก Rapid Express-มีต่อท้ายเป็นสัญลักษณ์แอลฟ่า เบต้า อะไรซักตัวจำไม่ได้ อีก 5 นาทีรถไฟออก แต่เสียเงินเพิ่ม 100 เยน
ส่วนอีกขบวนอีก 40 นาที ออก เอาวะ 100 เยนเอง ซื้อเวลา เผื่อหลง 555
พอถึงสถานี Izumisano เราก็เปลี่ยนสายเดินตามป้ายไปขึ้นชานชาลาที่ไป Wakayamashi
ถึงแล้วจ้า จากสนามบินใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีค่ะ
เรานั่งขบวนนี้มาจากสถานี Izumisano ค่า
เดินออกมาจากสถานี มี mascot มารอรับด้วยจ้า น่ารักเชียว อีก 777 วันน่าจะมีแข่งกีฬาอะไรกันซักอย่าง
เดินออกมานอกอาคารสถานี จะเจออนุสาวรีย์นี้ค่ะ ด้านหลังอนุสาวรีย์จะเป็นป้ายรถเมล์ใหญ่ค่ะ ไปได้หลายที่มากๆ
แต่เราจะเอาของไปฝากที่โรงแรม Wakayama Dai-ichi Fuji Hotel ก่อนค่ะ ซึ่งไม่ไกลจากสถานี
เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม บริเวณหน้าสถานี จะมีลักษณะเป็นสามแยก เราข้ามทางด้านซ้ายมือ
เดินตรงไปเจอไฟแดง ก็ข้ามถนนไปอีกครั้ง เดินอีกนิดก็เจอซอยเลี้ยวซ้ายไป เจอโรงแรมเลยค่ะ
แต่แว่ ป้ายโรงแรม ไม่มีภาษาอังกฤษเลยค่ะ แต่ใบจองมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น ดูเทียบได้เลย ก็จะรู้ว่าใช้
รูปอาคารสถานีค่ะ
โรงแรมที่จองไว้ค่ะ
ภาพอาคารโรงแรม นึกว่าสำนักงาน
เราไปถึงโรงแรมประมาณ 11 โมง ยังไม่ถึงเวลา Check-in แต่เอาใบจองให้เค้าดู และขอฝากกระเป๋าไว้
พนักงานก็ยินดีให้บริการมากๆ คร่า น่ารักสุดๆ
ออกเที่ยวกันดีกว่า เดินกลับไปสถานีรถไฟค่ะ ไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าสถาีนี
เนื่องจากป้ายนี้เป็นป้ายใหญ่ เป็นปลายทางของรถเมล์หลายสาย
ที่ป้ายรถเมล์ก็จะมีป้ายนี้ค่ะ จะบอกว่าสถานที่ไหน นั่งสายอะไรไปได้บ้าง และต้องไปรอที่ป้ายที่เท่าไหร่
ของเราจะไปปราสาทวากายาม่า ต้องไปรอที่ป้าย 8 หรือ 9 หรือ 10 (อยู่ใกล้ๆ กัน)
ขึ้นสาย 20 22 42 116 ไปได้ (จริงๆ มีหลายสายมากที่ผ่านปราสาทค่ะ)
หลังจากยืนรอซักครู่ สาย 42 มาจอด ก็ต่อคิวรอขึ้นทันทีค่ะ
ถ้ามี Kansai Thru Pass ขึ้นรถเมล์ในวากายาม่าฟรีค่า คุ้มจริงคุ้มจัง
เวลาขึ้นรถเมลล์ ต้องขึ้นประตูด้านหลัง และลงประตูด้านหน้านะคะ
เสียบ pass เข้าช่องสีเขียวโลด พอเด้งออกมาด้านบนก็เก็บ หาที่นั่ง ตั้งใจฟังชื่อป้ายที่จะถึง
เราต้องลงที่สถานี โควเอน มาเอะ นั่งไม่นานก็ถึงแล้วจ้า
ประตูทางเข้าจ้า มีป้ายห้ามให้อาหารนกด้วย
เหย นอกจากแกจะมาขี้ที่ระเบียงคอนโดช้านนน แกยังตามมาหลอนชั้นถึงนี่เชียวเรอะ ร้ายกาจมาก
เชิญชมทัศนียภาพภายในปราสาทวากายาม่าได้เลยค่ะ เดินเข้ามาก็จะเจอเจ้าที่ค่ะ
ชมนกมั้ยคะ ไมเห็นแต่กา กับพิราบหว่า????
แผนที่ภายในปราสาทค่ะ
พร้อมแล้วจ้า เพิ่งมาถึง พลังเหลือเฟือ ขึ้นไปชมความงามกันโลด เดินพอไม่เหนื่อยหอบซักเท่าไหร่ ก็ถึงแล้วจ้า
ค่าเข้า 400 เยน ใช้คูปองที่มากับคันไซ ทรู พาส ลดเหลือ 300 เยนค่ะ
เราเริ่มเข้าจากทางด้านข้างตัวปราสาทก่อน แต่ใครจะตรงเข้าไปเลยก็ได้ค่ะ มันวนถึงกันหมด
เข้าไปก็เจอทางลงใต้ดิน แต่ห้ามลง และข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อน
เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะมีจุดชมวิว พอถึงตัวปราสาทหลักก็จะมี การจัดแสดงชุดเกราะ อาวุธ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
โดยในส่วนด้านในห้ามถ่ายรูปค่ะ กะเหรี่ยงผู้นี้ มองไม่เห็นป้าย ถ่ายไปหลายชอต พอเห็นป้ายเก็บกล้องแทบไม่ทัน
วิวจากด้านบนปราสาทค่ะ
อีกซักมุม
มีแสตมป์ปุ ด้วยน้าา
นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ภาพ ที่มีผู้มีเมตตาถ่ายให้
รูปนี้ได้ความอนุเคราะห์จากนินจาฮาโตริ ที่ปราสาทวากายาม่า ดีใจน้ำตาแทบไหล มีรูปแล้วเว้ยยย (เว่อร์มาก)
อยากรู้ว่านินจาฮาโตริผู้มีเมตตา หน้าตาเป็นเช่นไร ขอเชิญไปชมที่ปราสาทวากายาม่าได้ค่ะ
อากาศร้อนมาก กินน้ำหน่อย อร่อยดีนะ
หลังจากชมตัวปราสาทเสร็จ เดินลงมา วนรอบปราสาท ยังมีอะไรให้ชมอีกมากมาย
เชื่อหรือไม่ ในปราสาทมีสวนสัตว์ด้วยยยยยยย
หมีหลับ
เพนกวินชอค อากาศร้อนจัด
เดินวนไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับสะพานไม้
ถอดรองเท้าด้วยจ้า
ด้านใน
เรือนกลางน้ำ
มุมมองจากด้านนอก
หลังจากนั้น ก็เดินไปป้ายรถเมล์ที่เราลงเมื่อกี๊ เพื่อไป Wakayama Marina City ต่อ
เนื่องจากชมปราสาทนานไปหน่อย ออกจากปราสาทประมาณบ่ายสอง
และจากข้อมูลที่หามา Porto Europa ปิดห้าโมงเย็น เลยยังไม่ได้แวะชม วัดคิมิเดระ
ตรงไปยัง Marina City ก่อน โดยรถเมล์สาย 22 ที่ป้ายเดิม (สาย 22 มาก่อน เลยขึ้นสายนี้)
[CR] ลุยเดี่ยวเที่ยว Japan 2013 (Episode 1) ตอน เศร้า เพ้อ เวิ่นเว้อ ชั้นเอาเธอมาทิ้ง Day1 Kansai Airport-Wakayama
ถ้าทำอะไรผิดพลาดไป ต้องขออภัยด้วยคร่าาา
เนื่องจากจิตตก ซึมเศร้า รักคุด ตุ๊ดเมิน เกินจะทนไหว เลยได้ตัดสินใจอย่างปัจจุบันทันด่วน
เมื่อเห็นโปรตั๋วบินตรง Business air ของ H.I.S. เดินทางคนเดียว 11,690 บาทเท่านั้น (รวมภาษีสนามบิน)
ก่อนเดินทางแค่ 2 วัน เลยแว่บเข้าไปถามที่ H.I.S. ยังมีที่นั่งว่างมั้ยคะ เสียงสวรรค์มาโปรด ตอบกลับมาว่า ยังว่างค่ะ
เลยตอบไปทันที แบบไม่คิดชีวิต ตกลงจองเลยค่ะ หลังจากได้ใบ Booking ก็ไปแลกเงิน Rate วันนั้นอยู่ที่ 0.3255 ค่ะ
เดินทาง 10 ส.ค.2556 เครื่องออก 01.30 น. ถึง Kansai International Airport (KIX) 09.00 น.
เดินทางกลับวันที่ 13 ส.ค. 2556 เครื่องออก 11.00 น. ถึงกรุงเทพ 15.00 น. (ระยะเวลาประมาณ 5 ชั่วโมงกว่าๆค่ะ)
เนื่องจากเป็นตั๋วโปรโมชัน จะระบุช่วงวันไป-กลับ ไว้
และด้วยความที่ไม่อยากจะลางานหลายวัน เดี๋ยวจะมีห่วง
เลยเลือกเดินทางคืนวันศุกร์ที่ 9 ถึงเช้าวันที่ 10 ส.ค.
และกลับวันที่ 13 ส.ค. เพราะจะได้ลางานแค่วันเดียว
เดินทางคนเดียว ไม่อยากพบประสบการณ์ระทึกขวัญเหมือนตอนไปแบคแพคที่อื่นๆ ที่ผ่านมา
ที่ไม่ได้ทำการจองโรงแรมไป เจอแต่ป้าย No Vacancy จนหลอน ครานี้เลยจองไปดีกว่าเพื่อความชัวร์
วางแผนการเดินทางคืนแรกพักที่เมือง Wakayama โรงแรม Wakayama Dai-ichi Fuji Hotel 1 คืน
คืนที่ 2 และ 3 พักที่เมือง Osaka โรงแรม Taiyo (ถูกและดี แต่เหมาะกับพวกแบคแพคเกอร์ ไม่เหมาะกับคนที่มาเป็นครอบครัวนะคะ)
เนื่องจากตื่นเต้นจัด รีบไป Check-in ที่สุวรรณภูมิตั้งแต่หัววัน ไปถึง 21.00 น.
Check-in ที่เคานท์เตอร์พี่ไทย ไหงไม่มีคนเลยฟร๊าาาา หรือจะยังไม่มากัน
พนักงานพี่ไทย ตรวจเคร่งกว่า ตม. ที่ญี่ปุ่นอีก ไปคนเดียวเหรอ ไปกี่วัน กลับวันไหน ขอดูใบจองโรงแรมด้วย
เอาไปให้หมดเลยค่ะ ดูซักพักก็ออก Boarding Pass ให้ หลังจากนั้นก็ผ่าน ตม. ไปเดินเชิบๆ ในดิวตี้ฟรี
แต่ไม่ซื้อ เนื่องจากมีปัญหาด้านงบประมาณ อิอิ และก็ไปนั่งรอหงายเงิบหน้า gate จนตี 1 ถึงจะได้ขึ้นเครื่อง
หลังจากขึ้นเครื่องซักพัก พนักงานก็ปิดประตู แม่เจ้า นึกว่าเครื่องบินส่วนตัว คนน้อยไปไหน
Business class มีแต่คนใส่ชุดกัปตันนั่งเต็มเลย
ส่วน Economy class ไม่ถึง 50 คนแน่นอน
เราเลยได้รับบริการอย่างราชา ในราคามิตรภาพ และตีตั๋วนอนบายใจ คุ้มจริงๆ
ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งก่อนเครื่องลง อาหารเช้ามาเสิร์ฟจ้า
บะหมี่ไก่ ไม่หร่อยเท่าไหร่ หรือว่ายังสลึมสลืออยู่ก็ไม่รู้ เลยกินไม่หมด
เวลา 9.05 น. ท้องถิ่น ถึงแล้วจ้าาาาา
อย่าลืมกรอกใบผ่านเข้า-ออก ตม. และใบ Customs Declaration ให้ครบถ้วนนะคะจะได้ไม่เสียเวลา
ด้านล่างใบ Customs Declaration จ้า
เดินไปขึ้นรถไฟไป Terminal 1 ผ่าน ตม. และออกไปเผชิญโลกกว้างได้เลยคร่าาา
เนื่องจากไม่ต้องขอวีซ่าแล้ว แอบกังวล แต่ ตม. ก็ไม่ได้ตรวจสอบเข้มงวดเท่าไหร่
ดูๆ Passport แล้วก็ประทับตราให้
ไม่ถามไรเลยแฮะ
หลังจากผ่าน ตม. เดินออกจากประตูมาเลี้ยวขวา จะเห็นป้ายไฟ Tourist Information
พุ่งเข้าไปเลยค่ะ ไปที่ Travel Desk
3 days ticket Kansai Thru Pass please พร้อมกับจ่ายไป 5,000 เยน
หลังจากนั้นเดินออกจาก Terminal ตรงไปไม่ต้องลงไปข้างล่างนะคะ
ออกมาชั้นไหน ก็เดินออกประตูที่ชั้นนั้น ตรงไปเรื่อยๆ จะเจอป้ายนี้จ้า
เราเริ่มใช้ Kansai Thru Pass ตั้งแต่วันนี้เลย เดินเข้าฝั่งสีส้ม ที่เขียนว่า Nankai แต่ถ้าใครซื้อ JR Pass มาต้องเอาไปแลกก่อนที่นี่จ้า
อยู่ซ้ายมือ ตรงข้ามกับทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินจ้า
หลังจากนั้นก็ออกไปลุยได้เลย วันแรกวางแผนว่าจะไปวากายาม่าก่อน
เนื่องจากใกล้สนามบินคันไซมากกว่าเข้าโอซาก้า ประกอบกับคืนแรกที่พักที่โอซาก้าเต็มเกือบทุกแห่ง
เหลือแต่พวก 4-5 ดาว ไม่ไหวค่ะ ไปนอนชนบทก็ด้ายยย
หลังจากเข้าไปในสถานีปรากฎว่ามีสองขบวน ปลายทาง Namba ซึ่งเราต้องไปเปลี่ยนสายที่สถานี Izumisano
ขบวนแรก Rapid Express-มีต่อท้ายเป็นสัญลักษณ์แอลฟ่า เบต้า อะไรซักตัวจำไม่ได้ อีก 5 นาทีรถไฟออก แต่เสียเงินเพิ่ม 100 เยน
ส่วนอีกขบวนอีก 40 นาที ออก เอาวะ 100 เยนเอง ซื้อเวลา เผื่อหลง 555
พอถึงสถานี Izumisano เราก็เปลี่ยนสายเดินตามป้ายไปขึ้นชานชาลาที่ไป Wakayamashi
ถึงแล้วจ้า จากสนามบินใช้เวลาเดินทางประมาณ 40 นาทีค่ะ
เรานั่งขบวนนี้มาจากสถานี Izumisano ค่า
เดินออกมาจากสถานี มี mascot มารอรับด้วยจ้า น่ารักเชียว อีก 777 วันน่าจะมีแข่งกีฬาอะไรกันซักอย่าง
เดินออกมานอกอาคารสถานี จะเจออนุสาวรีย์นี้ค่ะ ด้านหลังอนุสาวรีย์จะเป็นป้ายรถเมล์ใหญ่ค่ะ ไปได้หลายที่มากๆ
แต่เราจะเอาของไปฝากที่โรงแรม Wakayama Dai-ichi Fuji Hotel ก่อนค่ะ ซึ่งไม่ไกลจากสถานี
เดินข้ามถนนไปฝั่งตรงข้าม บริเวณหน้าสถานี จะมีลักษณะเป็นสามแยก เราข้ามทางด้านซ้ายมือ
เดินตรงไปเจอไฟแดง ก็ข้ามถนนไปอีกครั้ง เดินอีกนิดก็เจอซอยเลี้ยวซ้ายไป เจอโรงแรมเลยค่ะ
แต่แว่ ป้ายโรงแรม ไม่มีภาษาอังกฤษเลยค่ะ แต่ใบจองมีตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น ดูเทียบได้เลย ก็จะรู้ว่าใช้
รูปอาคารสถานีค่ะ
โรงแรมที่จองไว้ค่ะ
ภาพอาคารโรงแรม นึกว่าสำนักงาน
เราไปถึงโรงแรมประมาณ 11 โมง ยังไม่ถึงเวลา Check-in แต่เอาใบจองให้เค้าดู และขอฝากกระเป๋าไว้
พนักงานก็ยินดีให้บริการมากๆ คร่า น่ารักสุดๆ
ออกเที่ยวกันดีกว่า เดินกลับไปสถานีรถไฟค่ะ ไปขึ้นรถเมล์ที่หน้าสถาีนี
เนื่องจากป้ายนี้เป็นป้ายใหญ่ เป็นปลายทางของรถเมล์หลายสาย
ที่ป้ายรถเมล์ก็จะมีป้ายนี้ค่ะ จะบอกว่าสถานที่ไหน นั่งสายอะไรไปได้บ้าง และต้องไปรอที่ป้ายที่เท่าไหร่
ของเราจะไปปราสาทวากายาม่า ต้องไปรอที่ป้าย 8 หรือ 9 หรือ 10 (อยู่ใกล้ๆ กัน)
ขึ้นสาย 20 22 42 116 ไปได้ (จริงๆ มีหลายสายมากที่ผ่านปราสาทค่ะ)
หลังจากยืนรอซักครู่ สาย 42 มาจอด ก็ต่อคิวรอขึ้นทันทีค่ะ
ถ้ามี Kansai Thru Pass ขึ้นรถเมล์ในวากายาม่าฟรีค่า คุ้มจริงคุ้มจัง
เวลาขึ้นรถเมลล์ ต้องขึ้นประตูด้านหลัง และลงประตูด้านหน้านะคะ
เสียบ pass เข้าช่องสีเขียวโลด พอเด้งออกมาด้านบนก็เก็บ หาที่นั่ง ตั้งใจฟังชื่อป้ายที่จะถึง
เราต้องลงที่สถานี โควเอน มาเอะ นั่งไม่นานก็ถึงแล้วจ้า
ประตูทางเข้าจ้า มีป้ายห้ามให้อาหารนกด้วย
เหย นอกจากแกจะมาขี้ที่ระเบียงคอนโดช้านนน แกยังตามมาหลอนชั้นถึงนี่เชียวเรอะ ร้ายกาจมาก
เชิญชมทัศนียภาพภายในปราสาทวากายาม่าได้เลยค่ะ เดินเข้ามาก็จะเจอเจ้าที่ค่ะ
ชมนกมั้ยคะ ไมเห็นแต่กา กับพิราบหว่า????
แผนที่ภายในปราสาทค่ะ
พร้อมแล้วจ้า เพิ่งมาถึง พลังเหลือเฟือ ขึ้นไปชมความงามกันโลด เดินพอไม่เหนื่อยหอบซักเท่าไหร่ ก็ถึงแล้วจ้า
ค่าเข้า 400 เยน ใช้คูปองที่มากับคันไซ ทรู พาส ลดเหลือ 300 เยนค่ะ
เราเริ่มเข้าจากทางด้านข้างตัวปราสาทก่อน แต่ใครจะตรงเข้าไปเลยก็ได้ค่ะ มันวนถึงกันหมด
เข้าไปก็เจอทางลงใต้ดิน แต่ห้ามลง และข้าวของเครื่องใช้สมัยก่อน
เดินไปเรื่อย ๆ ก็จะมีจุดชมวิว พอถึงตัวปราสาทหลักก็จะมี การจัดแสดงชุดเกราะ อาวุธ ข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ
โดยในส่วนด้านในห้ามถ่ายรูปค่ะ กะเหรี่ยงผู้นี้ มองไม่เห็นป้าย ถ่ายไปหลายชอต พอเห็นป้ายเก็บกล้องแทบไม่ทัน
วิวจากด้านบนปราสาทค่ะ
อีกซักมุม
มีแสตมป์ปุ ด้วยน้าา
นี่เป็นหนึ่งในไม่กี่ภาพ ที่มีผู้มีเมตตาถ่ายให้
รูปนี้ได้ความอนุเคราะห์จากนินจาฮาโตริ ที่ปราสาทวากายาม่า ดีใจน้ำตาแทบไหล มีรูปแล้วเว้ยยย (เว่อร์มาก)
อยากรู้ว่านินจาฮาโตริผู้มีเมตตา หน้าตาเป็นเช่นไร ขอเชิญไปชมที่ปราสาทวากายาม่าได้ค่ะ
อากาศร้อนมาก กินน้ำหน่อย อร่อยดีนะ
หลังจากชมตัวปราสาทเสร็จ เดินลงมา วนรอบปราสาท ยังมีอะไรให้ชมอีกมากมาย
เชื่อหรือไม่ ในปราสาทมีสวนสัตว์ด้วยยยยยยย
หมีหลับ
เพนกวินชอค อากาศร้อนจัด
เดินวนไปเรื่อยๆ ก็จะพบกับสะพานไม้
ถอดรองเท้าด้วยจ้า
ด้านใน
เรือนกลางน้ำ
มุมมองจากด้านนอก
หลังจากนั้น ก็เดินไปป้ายรถเมล์ที่เราลงเมื่อกี๊ เพื่อไป Wakayama Marina City ต่อ
เนื่องจากชมปราสาทนานไปหน่อย ออกจากปราสาทประมาณบ่ายสอง
และจากข้อมูลที่หามา Porto Europa ปิดห้าโมงเย็น เลยยังไม่ได้แวะชม วัดคิมิเดระ
ตรงไปยัง Marina City ก่อน โดยรถเมล์สาย 22 ที่ป้ายเดิม (สาย 22 มาก่อน เลยขึ้นสายนี้)