"ยังไม่จบก็เหมือนจบ" สับรางวันอาทิตย์ ลิขิต จงสกุล ไทยรัฐออนไลน์

กระทู้สนทนา
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่าน วาระแรกฉลุยแล้วเกมต้าน ในสภา-นอกสภา
รั้งไม่อยู่ยกต่อไปคงจะฟัดกันใน กมธ.เพื่อแปรญัตติปชป.ตกที่นั่ง
ลำบากหันไปเล่นเกมท้องถนนก็ไม่มีอะไรดีขึ้น

ข่าว“เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้หลัง
พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านสภาผู้แทนฯวาระแรกเรียบร้อยไปแล้ว
สถานการณ์การเมืองก็เข้าสู่ภาวะปกติ

พ.ร.บ.มั่นคงถูกยกเลิก ตำรวจกลับเข้าสู่ที่ตั้ง ม็อบสีฟ้าสลายตัวไป
ตามระเบียบ เหลือก็ม็อบสวนลุมฯ ที่ปลุกไม่ขึ้นกำลังหาทางลงอยู่

นี่เป็นแค่ยกแรก  ต่อไปคงไม่มีอะไรในกอไผ่

ยกต่อไปน่าจะอยู่ที่การแปรญัตติร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมโดย กมธ. 35 คน
ตามสัดส่วนดังนี้คือ ครม. 3 คน เพื่อไทย 17 คน ปชป. 10 คน ภท. 2 คน
ชทพ.–ชพ.–พลังชลพรรคละ 1 คน ภายในเวลา 7 วัน

ครม.ดัน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ และอดีตหัวหน้าคณะ ปว.รัฐบาล
“ทักษิณ” แต่หลังจากกินยาผิดระดับลับ ลวง พราง

กลายร่างมาเป็น “นักปรองดอง”... ให้ฮือฮามาแล้ว

พท.นั้นระดมมือกฎหมายเข้ามาเพียบ
เพื่อยืนระยะยํ้าสาระว่าด้วยหลักการสำคัญตามเจตนารมณ์ที่เสนอ พ.ร.บ.ฉบับนี้

ปชป.นั้นส่งหัวหน้าพรรค “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” และ “แก้วสรร อติโพธิ”
นักเคลื่อนไหวการเมืองระดับรู้เท่าทัน “ทักษิณ” เข้าไปลุย

แน่นอนว่าการแปรญัตติที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาสาระหลักๆของ
พ.ร.บ.ฉบับนี้มีความสำคัญและไม่ไว้วางใจกัน

จึงต้องส่งคนสำคัญเข้าไปเปิดเกมกันต่อ

ล่าสุดจะให้ “สามารถ แก้วมีชัย” ส.ส.เพื่อไทย ได้นั่งเก้าอี้ประธาน
กมธ.เพื่อกำหนดทิศทางตามที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องการและสามารถกดปุ่มได้ร้อยเปอร์เซ็นต์

ประเด็นหลักก็คือ ปชป.ที่ต่อต้าน พ.ร.บ.ฉบับนี้ ต้องจับตาว่าเพื่อไทยจะมาไม้ไหน
จะเพิ่มเติมหรือพ่วงอะไรนอกเหนือจากที่สัญญาต่อประชาคมไปแล้วหรือไม่

ว่าที่จริงแล้ว พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับนี้
สาระสำคัญก็คือใครจะอยู่ในบัญชีรายชื่อที่จะได้สิทธิ์นิรโทษกรรมกันบ้าง

เพราะคำจำกัดความของ “ผู้สั่งการ–แกนนำ” นั้นมันต้องมี “คุณสมบัติ” อย่างไร

ถ้าตีความตรงนี้ไม่ชัดเจน จะสามารถสอดแทรก “บุคคลต้องห้าม”
ให้ได้รับการนิรโทษกรรมผสมโรงไปด้วย

ที่สุดแล้วตรงนี้คงจะฟัดกันแหลกแน่

เหนืออื่นใดเมื่อ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านวาระแรกไปได้
ก็ถือว่าเป็นชัยชนะเบื้องต้นของรัฐบาลเพื่อไทยและคนเสื้อแดง

กลับกันก็แสดงให้เห็นว่าแรงต่อต้านระบอบทักษิณ
เริ่มจะเกิดอาการว้าเหว่มากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อแต่ละกลุ่มทำท่าจะไปคนละทิศละทาง
แม้จะมีเป้าหมายตรงกันก็ตาม

เช่นกัน ปชป.ที่ต้องกลายเป็น “การ เมืองลูกครึ่ง” คือเล่นทั้งในสภาและนอกสภา
เปลี่ยนสภาพจากยึดมั่นในระบอบรัฐสภา

จริงๆแล้ว ปชป.นั้นมีปัญหาภายในว่าด้วยการบริหารจัดการเป็นเรื่องสำคัญ
การเปลี่ยนแปลงเพื่อปฏิรูปแนวทางพรรคจึงเป็นทางออกที่จะต้องเร่งจัดการ

ขืนเดินไปอย่างนี้ก็จะเหี่ยวลงไปเรื่อยๆ

มวลชนฐานเสียงก็จะลดน้อยลงไปเป็นลำดับ

นี่คือสิ่งที่ทำให้ ปชป.พ่ายเลือกตั้งมาตลอด
จนไม่สามารถรักษาแนวทางการเมืองที่ยึดมั่นในระบอบรัฐสภาได้

เมื่อเบนเข็มไปอย่างนี้ด้านหนึ่งก็คือ สะใจของกองเชียร์

แต่อีกด้านหนึ่งก็จะเกิดผลเสียและถูกโจมตีจากฝ่ายตรงข้าม
ทำนองว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง ด่าคนอื่นแต่ตัวเองก็ทำ

ถ้าคิดจะสู้กับระบอบทักษิณด้วยลักษณะอย่างนี้ จึงเป็นเรื่องยาก
แม้ว่ารัฐบาลชุดนี้จะมีข้อด้อยจุดอ่อนเพียบ  แต่ก็ไม่สามารถเขย่าให้ร่วงได้

“การเมือง” มันซับซ้อนขึ้น ตามไม่ทันก็ตกที่นั่งเยี่ยงนี้แหละ!!!

“ลิขิต จงสกุล”


http://www.thairath.co.th/column/pol/subrhang/362628

คอลัมน์นี้  ปกติเชียร์ประชาธิปัตย์  วิจารณ์รัฐบาลแบบไม่เลี้ยง  แต่วันนี้
เขาให้ข้อคิดกับ  ปชป.  เหมือนกับกองเชียร์ปชป.  หลายคน  อ้อ ยกเว้น
nonแดง ในรดน.  เพราะยังไม่เคยเห็นปชป.คิดผิดเลย ..... ไม่เคยสักครั้ง
ที่บอกให้ปชป. คิดใหม่  ....
ก็คิดแบบนี้ต่อไป  ก็แล้วกัน  อายุ  70  แล้ว จะให้มาคิดใหม่คงยากนะคะ
ยิ้ม

Mr.H เพลีย

สาวแว่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่