ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ จะคุยกับลูกยังไงดีเมื่อรู้ว่าลูกแอบไปเที่ยว

สวัสดีค่ะ. วันนี้มีปัญหาอยากจะขอคำแนะนำจากเพื่อน ๆ สมาชิกค่ะ. ขออธิบายคร่าว ๆ ก่อนนะคะ

ลูกสาวอายุ 18  เพิ่งได้มาเรียนปี 1 ที่กรุงเทพโดยอยู่หอพักสตรีของมหาวิทยาลัยซึ่งไ่ม่ค่อยเข้มงวดเท่าไหร่ แต่ก็ปลอดภัยในระดับหนึ่ง
เป็นเด็กเรียบร้อย เรียนดิ หน้าตาดี ไม่เคยมีแฟน อยู่ในสายตาตลอด เท่าที่เลี้ยงดูลูกไม่ก็ไม่ได้เป็นเด็กที่แอบแรด หรือแรงอะไร
ตอนอยู่ที่บ้านไม่เคยเที่ยวสถานบันเทิงใด ๆ  ชีวิตตอนอยู่ที่บ้านก็เรียน กิน เที่ยวเล่นบ้า ๆ บอ กับเพื่อน เรารู้จักเพื่อน ๆ ในกลุ่มลูกทุกคน
พอมาปีนี้ แอดมิชชั่นได้ มหาวิทยาลัยที่ กท. ก็ได้เข้ามาเรียน ชีวิตในมหาวิทยาลัยที่ลูกเล่าให้ฟังก็เรียบ ๆ
ไม่หวือหวา ยังติดกับเพื่อนที่มาจาก รร เดียวกัน  สำหรับเพื่อนใหม่เราไม่รู้จักสักคนเคยเห็นแต่รูป ลูกก็จะคบแต่เพื่อนผู้หญิง  
อาจเป็นเพราะเพื่อนผู้ชายในคณะมีน้อยด้วย

เข้าเรื่องเลยนะคะ

พอดีว่าเราได้บังเอิญไปเจอข้อความที่ลูกคุยในไลน์กับเพื่อนกลุ่มใหม่ ชวนกันไปเที่ยวหลังสอบเสร็จ โดยตอนแรกนัดกัน 3 คน
คิดว่าคงจะไปเที่ยวผับที่ไหนซักแห่ง แล้วปรากฏว่าเพื่อนคนนึงเบี้ยวไม่ไป เลยเหลือลูกเรากะเพื่อนอีกคนไปเที่ยวกัน แต่เค้าก็บอก
เพื่อนคนที่ไม่ไปตลอดว่าตอนนี้อยู่ไหน ขึ้นแท๊กซี่ทะเบียนอะไร แต่ปรากฏว่าพอไปถึงผับแล้วคนคุมหน้าประตูไม่ให้เข้า รู้สึกว่าจะไป
สองหรือสามที่. จนคงถอดใจ เลยพากันกลับ ตลอดเวลาที่เราเห็นข้อความที่ลูกคุยกะเพื่อน เราหายใจไม่ทั่วท้องเลย. ใจจะขาด
นั่งน้ำตาไหล ไม่รู้จะปรึกษาใคร  ( สามีหลับไปแล้ว แต่ถึงอยู่ด้วยก็คงไม่กล้าบอก ) เครียดมากเลยค่ะ เป็นห่วงคิดไปสารพัดว่า
จะไปเจอกับอะไรบ้าง จะเจอแท๊กซี่หลอกพาไปไหนหรือเปล่า จนเห็นลูกบอกกับเพื่อนว่าเข้าผับไม่ได้จะกลับแล้ว ก็สบายใจขึ้นมา
นิดนึง.

ถึงตอนนี้จะขอคำแนะนำจากเพื่อนสมาชิกแล้วล่ะค่ะ

เราจะมีโอกาสได้เจอลูกช่วงวันแม่ที่จะถึงนี้. อยากจะเตือน จะสอนเค้า ( ซึ่งก่อนหน้าที่อยู่บ้านก็ได้เตือนและสอนมาตลอด ยกตัวอย่างให้ดู
จากหลาย ๆ แหล่งข่าว บางทีเราเจอกระทู้ในพันทิพ เราก็ชอบเอาไปเล่าให้เค้าฟัง สอนเค้าไปในตัว )
แต่เราไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดยังไงดีไม่ให้เค้าสงสัย ว่าเราไปรู้อะไรมา เพราะถ้าเค้าสงสัยเดี๋ยวเราจะไม่ได้รู้อะไรอีกเลย ความจริงเราไม่ได้ห้ามลูก
เรื่องไปเที่ยว เพียงแต่ว่าอยากรอให้ถึงเวลา และถ้ามีเพื่อนไปให้มากกว่านี้อย่างน้อยหลายคนก็จะได้ช่วยกันดูแลกัน แต่นี่ไปกันแค่สองคน
รู้สึกเลยค่ะว่า อาการใจจะขาดมันเป็นยังไง ไม่อยากเป็นแบบนี้ค่ะ จะปรึกษาใครก็ไม่ได้

เพื่อนสมาชิกท่านใดมีคำแนะนำ ขอรบกวนชี้แนะหน่อยนะคะ เราไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไงดีที่เค้าจะไม่สงสัย


ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำแนะนำนะคะ. ขอให้ทุกท่านมีความสุขกับครอบครัวในวันแม่ที่จะมาถึงนะคะ ยิ้ม
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 1
ถ้าจะให้หนูแนะนำจริงๆ ก็คงต้องขออนุญาตพูดจากประสบการณ์ตัวเองเลยนะคะ มันอาจจะดูตรงหรือแรงไป หรือแม้แต่อาจจะดาร์คไปบ้าง แต่คิดว่าน่าจะทำให้คุณแม่ได้มุมมองอะไรใหม่ๆเกี่ยวกับวัยรุ่นและเด็กสมัยนี้เยอะขึ้นน่ะค่ะ

ส่วนตัวหนูเองโตมาในบ้านที่มีกรอบค่อนข้างเยอะ ไม่ค่อยปล่อย มีความคาดหวังเยอะให้ทำตัวแบบที่เขาต้องการ แต่หนูกลับทำตรงข้ามหมดเลย โดยที่ผู้ใหญ่ทั้งหมดไม่เคยรู้ไม่เคยระแคะระคายอะไรเลยแม้แต่น้อย อันนี้ไม่ได้จะว่าหรืออะไรนะคะ จากประสบการณ์ของหนู ต้องขอพูดตรงๆว่าผู้ใหญ่หลายๆบ้านอาจจะคิดว่าตัวเองรู้จักลูกดีแล้ว แต่จริงๆแล้วเปล่าเลยค่ะ ผู้ใหญ่หลายคนเข้าใจว่าวิธีที่เลี้ยงลูกตัวเองมานั้นทำให้ลูกอยู่ในกรอบดีแล้ว และลูกคิดหรือเห็นด้วยกับวิธีการเลี้ยงหรือค่านิยมต่างๆที่ผู้ใหญ่ป้อนข้อมูลให้ แต่ต้องอย่าลืมว่าผู้ใหญ่ไม่ได้ใช้เวลากับลูกตลอด 24 ชม.นะคะ ไม่มีทางจะรู้ได้ครอบคลุมหมดหรอกว่าลูกนั้นไปซึมซับทิศนคติหรือค่านิยมอะไรแบบไหนที่มันผิดไปจากที่ผู้ใหญ่ฟีดข้อมูลเอาไว้แต่แรก และบางทีมันก็อาจจะแตกต่างไปได้ไกลมากขนาดหน้ามือเป็นหลังมือเลยละค่ะ

สมัยหนูเรียนม.ปลาย มีคลับชื่อดังแห่งนึงจากอังกฤษมาเปิดสาขาในกทม.แถวสุขุมวิท เป็นคลับที่ดังมาก มีดีเจเจ๋งๆรวมตัวกันเยอะแยะ ด้วยความที่หนูชอบฟังเพลง หนูตั้งใจว่าถ้าเข้ามหาลัยฯแล้วจะต้องหาทางไปให้ได้ ไม่เคยคิดว่าจะต้องรอโตก่อน รอจบมหาลัยหรือทำงานก่อนเลย เพราะรู้สึกว่าเราไปเที่ยวไปฟังเพลง เสพย์งานดนตรีเจ๋งๆ มันไม่น่ามีอะไรเสียหาย แต่ก็รู้แหละค่ะว่าผู้ใหญ่ไม่ชอบอะไรแบบนี้ สุดท้ายพอเข้ามหาลัยฯได้ก็ได้ไปเที่ยวสมใจ ให้เพื่อนจัดแจงพากันไปกับรุ่นพี่ของเพื่อนที่เข้าได้น่ะแหละค่ะ มีทั้งบัตรปลอมทั้งอะไรสารพัด ดื่มเหล้าด้วย แต่เรื่องเหล้านี่ที่บ้านค่อนข้างเปิดกว่าเรื่องอื่นหน่อย เพราะเขาดื่มแบบศึกษา สะสมเหล้า อ่านแมกกาซีนไวน์ หนูก็เลยดื่มเป็น ไม่เมาง่าย ไม่โดนมอมง่าย เชื่อมั้ยคะว่าหนูไปเที่ยวทั้งๆที่ไม่ได้อยู่หอนั่นแหละ แต่มันก็ต้องแลกมากกับการโกหก ปิดบัง อะไรสารพัด เพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตแบบที่ตัวเองต้องการ เพราะถ้าบอกไปตรงๆก็คงไม่มีทางได้ไปแน่ๆ ถึงโตแล้วก็บอกตรงๆไม่ได้อยู่ดี ตอนไปเรียนต่างประเทศนี่เที่ยวมันแทบทุกวีค จนตอนนี้คลับที่ว่านี่เลิกกิจการไปแล้ว จริงๆเปิดได้แค่ 3 ปีด้วยซ้ำ กลับกลายเป็นว่าหนูรู้สึกมันคุ้มค่ามากที่ตัดสินใจไปตอนนั้น เพราะอีกไม่กี่ปีถัดมามันก็เจ๊ง ถ้าจะได้ไปก็ต้องรอไปอังกฤษโน่นแน่ะ

การที่ใช้ชีวิตแบบนี้มันอึดอัดนะคะ ไม่ใช่ไม่อึดอัด จะบอกกับเพื่อนก็ไม่ได้ หนูเองเชื่อว่าวัยรุ่นหลายๆคนมีปมในแบบที่ว่าบ้านตัวเองไม่เหมือนบ้านคนอื่น บ้านตัวเองที่เคร่งผิดกับบ้านเพื่อนๆ เด็กจะไม่กล้าบอกใครค่ะ เขาจะมองว่ามันน่าอายหรือกลัวเพื่อนจะว่างี่เง่า เด็กจะเก็บความคับข้องใจเอาไว้ว่าทำไมบ้านเพื่อนเขาถึงยอมอะไรง่ายๆ แต่บ้านเราทำไมเคร่งจัง บางครั้งมันทรมานมากถึงกับอยากแลกบ้านกันเลยทีเดียว หนูเองก็เป็นค่ะ ตอนโตแล้วเนี่ยแหละเคยลองคุยกับที่บ้าน กลับได้ยินที่บ้านตัวเองด่าบ้านเพื่อนว่าห่วยแตกที่เลี้ยงลูกแบบนั้น แต่เพื่อนหนูเรียนเก่งกว่าหนูเสียอีกทั้งที่เขาโตมากับครอบครัวแบบที่บ้านหนูตัดสินว่าห่วย

ในสิ่งที่หนูแชร์มาทั้งหมดนี่ก็อยากจะบอกว่า มันเป็นการยากอะค่ะ ที่พ่อแม่ผู้ใหญ่จะรู้ว่าจริงๆแล้วลูกของตัวเองเป็นยังไง บางทีสิ่งที่แสดงต่อหน้าก็อาจจะไม่ใช่ตัวตนที่แท้จริงก็ได้ อันนี้หนูไม่ได้พูดให้กลัวหรือแพนิคอะไรนะคะ พูดจากประสบการณ์ตรงของตัวเองและเพื่อนๆเลย สิ่งที่เด็กแบบพวกหนูต้องการให้ผู้ใหญ่เข้าใจก็คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่เห็นว่าดี มันอาจจะไม่ใช่สิ่งที่เราชอบหรือเป็นตัวตนของเราก็ได้ การจะแก้ไขปัญหาตรงนี้มันอาจจะยากสักหน่อย มันต้องเริ่มจากการที่พ่อแม่เลี้ยงลูกมาแบบเพื่อน มีความร่วมสมัยกับวัยของเด็กมากพอที่เด็กจะไม่รู้สึกว่าสิ่งที่เขาฮิตเขาชอบหรืออยากลองเป็นสิ่งที่โคตรจะผิดบาปในสายตาผู้ใหญ่ มันจะทำให้เด็กกล้าที่จะบอกกล้าที่จะแชร์ความต้องการ ความคิด หรือทัศนคติต่างๆของตัวเองให้ผู้ใหญ่รับรู้ค่ะ ยิ่งถ้าผู้ใหญ่รู้ตัวว่าตัวเองหัวโบราณ ก็ยิ่งต้องพยายามปรับลดลงค่ะ ไม่งั้นจูนกันยาก หรือถ้ารู้ตัวว่าปรับไม่ไหว ก็ต้องตัดใจเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เสีย ดูแลอยู่ห่างๆไม่ให้ล้ำเส้นเกินไปก็พอ ถึงจะยังมีจุดไหนที่รับไม่ได้เหลือบ้างก็ต้องทำใจค่ะ

อีกทางหนึ่งคือลองเปิดอกคุยกันดูค่ะ ต้องเตรียมตั้งรับอย่างเดียวเลย บอกเขาว่าอยากให้เขาเป็นตัวเองกับครอบครัวได้มากที่สุด อยากให้เขาไม่ต้องปกปิดความเป็นตัวเองกับครอบครัว ไม่ต้องซ่อนตัวเองในมุมที่เขาคิดว่าครอบครัวอาจจะไม่ค่อยแฮปปี้กับมันเท่าไหร่เอาไว้ การจับเข่าคุยกันแบบนี้คอนเฟิร์มเลยว่ามีการหลั่งน้ำตากันแน่นอน ปมปัญหาทุกอย่างและความคับข้องใจที่เคยมีในตัวเด็กมันจะถูกคลี่คลายออกมา เขาจะระบายมันออกมาหมดทั้งน้ำตา พร้อมกับที่พวกผู้ใหญ่จะได้รู้ว่าเขาเคยรู้สึกกดดันหรือไม่มีความสุขมากแค่ไหนกับเวลาที่ผ่านมา ทั้งนี้ทั้งนั้นการจับเข่าคุยนี้จะสูญเปล่าเลยถ้าผู้ใหญ่ทำลงไปเพราะมีความคิดแค่อยากจะฟังลูกหลานตัวเอง 'คายความลับ' ออกมา แล้วสุดท้ายก็กลับไปตีกรอบหรือบังคับกันเหมือนเดิม

ท้ายสุดแล้วหนูอยากจะบอกว่า การจะเป็นพ่อแม่ที่ได้ใจลูก จะต้องเข้าใจและยอมรับในตัวตนและสิ่งที่ลูกเป็นให้ได้เสียก่อน ที่พูดนี้ไม่ได้แปลว่าให้ตามใจตลอดไม่ว่าจะทำอะไร แต่เป็นการรับฟังความคิดเห็นและแนะนำการตัดสินใจต่างๆของลูกในมุมมองที่ทันยุคทันสมัย และมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวเองให้รับกับค่านิยมที่มันเปลี่ยนไปตามสมัยได้อะค่ะ อีกอย่างก็คือ อย่าพยายามยัดเยียดความเป็นตัวพ่อแม่ให้ลูก โดยคิดว่ามันคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ปล่อยให้เขาเป็นแบบที่เขาอยากจะเป็นดีกว่าค่ะ แค่คอยดูแลให้ภาพรวมของเขาเป็นคนดีคนนึงในสังคม แค่นี้ก็โอเคแล้ว ไม่มีใครเป็นดังใจใครไปได้ทุกอย่างหรอกค่ะ

ป.ล. ยาวจริงๆนะเนี่ยนะ ตอบตรงๆจากใจจะแอบโดนใครสับมั้ยนิ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่