เจาะลึก "สลิ่ม"
คำว่า “สลิ่ม” ถูกบรรหยัดขึ้นโดยใครก็ไม่รู้ในนี้แหละ หมายถึง ในประเทศไทยนี่แหละค่ะ ฟังๆมาน่าจะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่กลุ่มเสื้อหลากสี
ที่มีทั้งสีเหลือง ชมพู ฟ้า ขาวอ่อน ขาวแก่ ขาวจั๊วะ ขาวโอโม่ บริส เปา แอทแทค..ซึ่งนำโดยนายแพร่ดตุน เจ้าเก่า ณ สารขัณฑ์ ออกมา
ชุมนุมกันเมื่อปี 53 (คนมากกว่า 10 คนมารวมกันก็เรียกว่าชุมนุมแล้วอะนะ) เพื่อแสดงพลังความรักชาติ ที่มันแน่นจุกอกอย่างเหลือล้น
จนต้องออกมาชุมนุมกันให้รถมันติดเล่นๆ ไม่เห็นเป็นไร โหยยย ... ช่างรักชาติมั่กๆ รักจุงเบย ขอบ่อก ใครไม่รักเหมือนข้านะเฟ้ย ...
โน่น เองออกนอกประเทศไปเลย ไม่ต้องมาอยู่ร่วมประเทศกับข้า ...ชิ๊วๆ ....
เมื่อมี “หลากสี” โดยเฉพาะสีหลักๆอย่าง สีชมพู และสีขาว มารวมตัวในจุดเดียวกัน คนทั่วไปเขาก็มองว่ามันเหมือนสีของขนมหวาน
“ซ่าหริ่ม” ที่นี้ชัดเจนเลย เพราะ “ซ่าหริ่ม” มันมีหลายสีในถ้วยเดียวกัน มันจึงเป็นตัวแทนของ “หลากสี” ตั้งแต่นั้นมา แต่ “ซ่าหริ่ม”
มันเรียกยากคนที่พูดเร็วๆพอจะพูดคำว่า “ซ่าหริ่ม”จะต้องลดสปีดความเร็วลงทันที (จะเวิ่นเว้อไปไหนเนี่ย?) ก็เลย เรียก “สลิ่ม”
ไปเลยง่ายดี
ทีนี้เข้าใจแล้วนะ สลิ่มทั้งหลาย อย่ามาถามให้เวิ่นเว้อวุ่นวายอีก ... สลิ่ม ไม่ใช่คำด่านะจ๊ะ
เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 3 ปี ตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดเป็นสลิ่มขึ้นมา ทำให้คนทั่วไปได้เห็นพฤติกรรม ลักษณะเด่นเป็นนิสัยที่ชัดเจนของกลุ่มคน
ที่เป็น สลิ่ม ซึ่งประมวลได้พอเป็นสังเขปดังนี้

“สลิ่ม” จะไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด
พวกเขาจะนอนยัน นั่งยัน ยืนยัน และ กระโดด(ถีบ)ยัน ว่า ตัวเองเป็นกลางมั่กๆ เพราะฉะนั้นขอให้รัฐบาลปู ช่วยเข้าใจด้วยว่าที่สลิ่มด่าว่า
รัฐบาลนั้น ก็เพราะความเป็นกลาง รัฐบาลทำผิดใจฉัน ฉันก็ต้องด่า ก็ถูกแล้ว ส่วนฝ่ายค้านนั้น ฉันไม่เคยด่าเพราะเขาทำถูกใจฉันมา
ตลอดฉันก็ต้องชื่นชม ฉันเป็นกลางนะจ๊ะ อย่ามายัดเยียดให้ฉันเป็นฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ฉันรักพ่อ (มักจะลงท้ายด้วยคำพูดเด็ดเยี่ยงนี้เสมอ ...
ใครบ้าง(ฟะ)ไม่รักพ่อถามหน่อย ? นิด หนึ่ง แนน นนท์ นัน น้อย นก .... หรือใครก็ตอบได้ค่ะ)

“สลิ่ม” มักจะถ่อมตนไม่โอเว่อร์แรค (Overacting)
แต่การแสดงออกทางคำพูด การกระทำกริยาท่าทาง ซึ่งล้วนต้อง
เอาร้อยมาหารเอาล้านมาลบ จึงจะได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
“อะโหลๆ ตอนนี้คนมาชุมนุมมีเท่าไหร่แล้ว เยอะไม๊?” ผู้สนับสนุนม๊อบกากก๊าก ต่อสายถามผู้จูงม๊อบที่เดินโต๋เต๋ตุปัดตุเป๋อยู่บริเวณที่นัด
ชุมนุม
“เดี๋ยวก่อนนะลูกเพ่ ขอนับก่อน ห้า หก เจ็ด แปด ...”
“แปดหมื่นเหรอ?” เสียงถามตามสายอย่างลุ้นระทึก
“ไม่ใช่พี่ แปดล้าน!”
“ฮ้า ... ขนาดนั้นเลยรึ โอย...ตายแน่รัฐบาลตายแน่ล่ะคราวนี้”
“ไม่ใช่พี่ .... เท่าที่เห็นตอนนี้ รู้สึกจะมาแค่แปดหัวล้าน เท่านั้น” (ฮา)

“ สลิ่ม” ไม่หลงตัวเอง และฉลาดเลิศล้ำกว่าใครในโลกใบนี้
แต่...จะฟินกับการไปสืบเสาะแสวงหาเรื่องจากในเฟสบุคหรือเว็บไซต์ที่เป็นของพรรคพวกตัวเอง เอามาดีสเครดิตฝ่ายตรงข้าม แต่ทุกครั้ง
ที่ถูกย้อนศรหักล้างด้วยข้อมูลจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน สลิ่มก็จะออกอาการแถแถดตามนิสัยดั้งเดิมที่ไม่เคยยอมรับความจริง
“นี่เธอ ดูสิไอ้พวกนั้นน่ะโง่เนอะเขียน Birthday เป็น Bird day ไปได้ ฮ่า ๆ ๆ”
“เธอๆ จะไม่ลองเอากระจกมาส่องดูหนังหน้าป้าย่นของเธอดูหน่อยเหรอ ...ทีเธอ “วูแม่น” (Woman) กับ วีแม่น (Women) ยังใช้ถูกใช้ผิด
อันไหนใช้เป็นเอกพจน์ อันไหนใช้เป็นพหูพจน์ เธอยังแยกไม่ออกเลยนิ”
เจอย้อนรอยแบบนี้ก็ “เงิบ” และ “เงียบ” ไปตามระเบียบ หันไปหาเรื่องอื่นมาเตรียมตัว“เงิบ” ในภายภาคหน้าต่อไป อิอิ สม ...

เป็นสลิ่มต้องรักชาติมั่กๆ
... สลิ่มจะรักชาติมากเรย รักมากกว่าผู้ใดใน 3 โลก เขาพระวิหารใช่ไหม กัมพูชาจะมาทึกทักขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไม่ได้
ตัวเขาพระวิหารน่ะเอาไปเถอะ แต่ที่ดินใต้เขาพระวิหารน่ะเป็นของตรู …. ว่าแล้วนายแพร่ดตุน ก็จัดกระบวนทัพเรียกนักรบศรีวิชัยออกไป
กอบกู้เอาเขาพระวิหารคืนมา
“ว่าแต่เขาพระวิหารไรเนี่ย มันอยู่จังหวัดไหนฟะ ?” แพร่ดตุน หันมาถามพรรคพวก
“ลำปางคับ” มีเสียงตอบมา
“เออ รู้แล้วๆ “ แพร่ดตุนร้องบอกเพื่อนก่อนจะออกรถมุ่งหน้าลงใต้ (ฮา)

"สลิ่ม" ไม่เคยดูถูกใคร
เพียงแต่คิดว่าคนอื่นเรียนมาน้อยและมีฐานะยากจน จึงน่าจะไม่รู้เท่าทันพวกเขา
“ฮ่า ฮ่า ... คนอีสานนี่โง่กว่าคนภาคอื่นนะ อ่านจากรายงานสถิติในหัวข้อที่
หนึ่งจุดหนึ่งศูนย์ (1.10) เขาบอกว่า
ร้อยละ 30 เปอร์เซ็นต์คนอีสานไม่ได้เรียนหนังสือ และ
ร้อยละ 40 เปอร์เซ็นต์ มีฐานะยากจน แล้วยังงี้ มันจะไม่โง่ได้ยังไงวะ”
"เขาอ่านว่า หนึ่งจุดสิบนะครับพี่ และถ้าพูด"ร้อยละ"แล้วก็ไม่ต้องมีเปอร์เซ็นต์ตามหลังอีก เพราะ
"ร้อยละ" มันก็คือ
"เปอร์เซ็นต์"น่ะแหละ"
"เฮ้ย ถูกแล้วเราอ่านถูกแล้ว นี่รู้อะไรไหมเราเคยสอบได้ที่ 1 โรงเรียนประจำจังหวัดมาหลายครั้งแล้วนาเฟ้ย ขอบ่อก ๆ” สลิ่มศักดิ์เถียง
“เอ่อ แล้วเท่าที่รู้มา เจ้าของบริษัทที่พี่เป็นพนักงานกินเงินเดือนเขาอยู่นี่ เป็นคนขอนแก่นไม่ใช่เหรอ?”
“เออ ...ก็ใช่น่ะสิ แล้วไง?” สลิ่มศักดิ์ ทำหน้างุนงงเล็กน้อยกับคำถามของเพื่อน
“แล้วขอนแก่นนี่อยู่ภาคไหน?”
“ ขอนแก่นก็อยู่ภาคเหนือไง อย่าโง่สิวะ”
“เออ...เมิงฉลาดไปคนเดียวเหอะ แต่คราวหลังถ้าจะฉลาดก็ช่วยปรึกษาเพื่อนหน่อย อะไรว้า ฉลาดไม่แบ่งปันเพื่อนเลย”
จบดีก่า .... เด่วออกพรรษาแล้วจะมีคนจองกฐินเยอะ ไปเกะดีกว่า อิอิ
+ + + + [คั่นเวลารอม็อบ] ..... มาเจาะลึก "สลิ่ม" กันดีกว่า + + + +
คำว่า “สลิ่ม” ถูกบรรหยัดขึ้นโดยใครก็ไม่รู้ในนี้แหละ หมายถึง ในประเทศไทยนี่แหละค่ะ ฟังๆมาน่าจะเกิดขึ้นเมื่อตอนที่กลุ่มเสื้อหลากสี
ที่มีทั้งสีเหลือง ชมพู ฟ้า ขาวอ่อน ขาวแก่ ขาวจั๊วะ ขาวโอโม่ บริส เปา แอทแทค..ซึ่งนำโดยนายแพร่ดตุน เจ้าเก่า ณ สารขัณฑ์ ออกมา
ชุมนุมกันเมื่อปี 53 (คนมากกว่า 10 คนมารวมกันก็เรียกว่าชุมนุมแล้วอะนะ) เพื่อแสดงพลังความรักชาติ ที่มันแน่นจุกอกอย่างเหลือล้น
จนต้องออกมาชุมนุมกันให้รถมันติดเล่นๆ ไม่เห็นเป็นไร โหยยย ... ช่างรักชาติมั่กๆ รักจุงเบย ขอบ่อก ใครไม่รักเหมือนข้านะเฟ้ย ...
โน่น เองออกนอกประเทศไปเลย ไม่ต้องมาอยู่ร่วมประเทศกับข้า ...ชิ๊วๆ ....
เมื่อมี “หลากสี” โดยเฉพาะสีหลักๆอย่าง สีชมพู และสีขาว มารวมตัวในจุดเดียวกัน คนทั่วไปเขาก็มองว่ามันเหมือนสีของขนมหวาน
“ซ่าหริ่ม” ที่นี้ชัดเจนเลย เพราะ “ซ่าหริ่ม” มันมีหลายสีในถ้วยเดียวกัน มันจึงเป็นตัวแทนของ “หลากสี” ตั้งแต่นั้นมา แต่ “ซ่าหริ่ม”
มันเรียกยากคนที่พูดเร็วๆพอจะพูดคำว่า “ซ่าหริ่ม”จะต้องลดสปีดความเร็วลงทันที (จะเวิ่นเว้อไปไหนเนี่ย?) ก็เลย เรียก “สลิ่ม”
ไปเลยง่ายดี
ทีนี้เข้าใจแล้วนะ สลิ่มทั้งหลาย อย่ามาถามให้เวิ่นเว้อวุ่นวายอีก ... สลิ่ม ไม่ใช่คำด่านะจ๊ะ
เมื่อเวลาผ่านไปกว่า 3 ปี ตั้งแต่ถือกำเนิดเกิดเป็นสลิ่มขึ้นมา ทำให้คนทั่วไปได้เห็นพฤติกรรม ลักษณะเด่นเป็นนิสัยที่ชัดเจนของกลุ่มคน
ที่เป็น สลิ่ม ซึ่งประมวลได้พอเป็นสังเขปดังนี้
พวกเขาจะนอนยัน นั่งยัน ยืนยัน และ กระโดด(ถีบ)ยัน ว่า ตัวเองเป็นกลางมั่กๆ เพราะฉะนั้นขอให้รัฐบาลปู ช่วยเข้าใจด้วยว่าที่สลิ่มด่าว่า
รัฐบาลนั้น ก็เพราะความเป็นกลาง รัฐบาลทำผิดใจฉัน ฉันก็ต้องด่า ก็ถูกแล้ว ส่วนฝ่ายค้านนั้น ฉันไม่เคยด่าเพราะเขาทำถูกใจฉันมา
ตลอดฉันก็ต้องชื่นชม ฉันเป็นกลางนะจ๊ะ อย่ามายัดเยียดให้ฉันเป็นฝ่ายนั้นฝ่ายนี้ ฉันรักพ่อ (มักจะลงท้ายด้วยคำพูดเด็ดเยี่ยงนี้เสมอ ...
ใครบ้าง(ฟะ)ไม่รักพ่อถามหน่อย ? นิด หนึ่ง แนน นนท์ นัน น้อย นก .... หรือใครก็ตอบได้ค่ะ)
แต่การแสดงออกทางคำพูด การกระทำกริยาท่าทาง ซึ่งล้วนต้องเอาร้อยมาหารเอาล้านมาลบ จึงจะได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง
“อะโหลๆ ตอนนี้คนมาชุมนุมมีเท่าไหร่แล้ว เยอะไม๊?” ผู้สนับสนุนม๊อบกากก๊าก ต่อสายถามผู้จูงม๊อบที่เดินโต๋เต๋ตุปัดตุเป๋อยู่บริเวณที่นัด
ชุมนุม
“เดี๋ยวก่อนนะลูกเพ่ ขอนับก่อน ห้า หก เจ็ด แปด ...”
“แปดหมื่นเหรอ?” เสียงถามตามสายอย่างลุ้นระทึก
“ไม่ใช่พี่ แปดล้าน!”
“ฮ้า ... ขนาดนั้นเลยรึ โอย...ตายแน่รัฐบาลตายแน่ล่ะคราวนี้”
“ไม่ใช่พี่ .... เท่าที่เห็นตอนนี้ รู้สึกจะมาแค่แปดหัวล้าน เท่านั้น” (ฮา)
แต่...จะฟินกับการไปสืบเสาะแสวงหาเรื่องจากในเฟสบุคหรือเว็บไซต์ที่เป็นของพรรคพวกตัวเอง เอามาดีสเครดิตฝ่ายตรงข้าม แต่ทุกครั้ง
ที่ถูกย้อนศรหักล้างด้วยข้อมูลจากฝ่ายตรงข้าม เมื่อถูกจับได้ไล่ทัน สลิ่มก็จะออกอาการแถแถดตามนิสัยดั้งเดิมที่ไม่เคยยอมรับความจริง
“นี่เธอ ดูสิไอ้พวกนั้นน่ะโง่เนอะเขียน Birthday เป็น Bird day ไปได้ ฮ่า ๆ ๆ”
“เธอๆ จะไม่ลองเอากระจกมาส่องดูหนังหน้าป้าย่นของเธอดูหน่อยเหรอ ...ทีเธอ “วูแม่น” (Woman) กับ วีแม่น (Women) ยังใช้ถูกใช้ผิด
อันไหนใช้เป็นเอกพจน์ อันไหนใช้เป็นพหูพจน์ เธอยังแยกไม่ออกเลยนิ”
เจอย้อนรอยแบบนี้ก็ “เงิบ” และ “เงียบ” ไปตามระเบียบ หันไปหาเรื่องอื่นมาเตรียมตัว“เงิบ” ในภายภาคหน้าต่อไป อิอิ สม ...
... สลิ่มจะรักชาติมากเรย รักมากกว่าผู้ใดใน 3 โลก เขาพระวิหารใช่ไหม กัมพูชาจะมาทึกทักขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกไม่ได้
ตัวเขาพระวิหารน่ะเอาไปเถอะ แต่ที่ดินใต้เขาพระวิหารน่ะเป็นของตรู …. ว่าแล้วนายแพร่ดตุน ก็จัดกระบวนทัพเรียกนักรบศรีวิชัยออกไป
กอบกู้เอาเขาพระวิหารคืนมา
“ว่าแต่เขาพระวิหารไรเนี่ย มันอยู่จังหวัดไหนฟะ ?” แพร่ดตุน หันมาถามพรรคพวก
“ลำปางคับ” มีเสียงตอบมา
“เออ รู้แล้วๆ “ แพร่ดตุนร้องบอกเพื่อนก่อนจะออกรถมุ่งหน้าลงใต้ (ฮา)
เพียงแต่คิดว่าคนอื่นเรียนมาน้อยและมีฐานะยากจน จึงน่าจะไม่รู้เท่าทันพวกเขา
“ฮ่า ฮ่า ... คนอีสานนี่โง่กว่าคนภาคอื่นนะ อ่านจากรายงานสถิติในหัวข้อที่ หนึ่งจุดหนึ่งศูนย์ (1.10) เขาบอกว่า ร้อยละ 30 เปอร์เซ็นต์คนอีสานไม่ได้เรียนหนังสือ และร้อยละ 40 เปอร์เซ็นต์ มีฐานะยากจน แล้วยังงี้ มันจะไม่โง่ได้ยังไงวะ”
"เขาอ่านว่า หนึ่งจุดสิบนะครับพี่ และถ้าพูด"ร้อยละ"แล้วก็ไม่ต้องมีเปอร์เซ็นต์ตามหลังอีก เพราะ"ร้อยละ" มันก็คือ"เปอร์เซ็นต์"น่ะแหละ"
"เฮ้ย ถูกแล้วเราอ่านถูกแล้ว นี่รู้อะไรไหมเราเคยสอบได้ที่ 1 โรงเรียนประจำจังหวัดมาหลายครั้งแล้วนาเฟ้ย ขอบ่อก ๆ” สลิ่มศักดิ์เถียง
“เอ่อ แล้วเท่าที่รู้มา เจ้าของบริษัทที่พี่เป็นพนักงานกินเงินเดือนเขาอยู่นี่ เป็นคนขอนแก่นไม่ใช่เหรอ?”
“เออ ...ก็ใช่น่ะสิ แล้วไง?” สลิ่มศักดิ์ ทำหน้างุนงงเล็กน้อยกับคำถามของเพื่อน
“แล้วขอนแก่นนี่อยู่ภาคไหน?”
“ ขอนแก่นก็อยู่ภาคเหนือไง อย่าโง่สิวะ”
“เออ...เมิงฉลาดไปคนเดียวเหอะ แต่คราวหลังถ้าจะฉลาดก็ช่วยปรึกษาเพื่อนหน่อย อะไรว้า ฉลาดไม่แบ่งปันเพื่อนเลย”
จบดีก่า .... เด่วออกพรรษาแล้วจะมีคนจองกฐินเยอะ ไปเกะดีกว่า อิอิ