ไม่เชิงรีวิวสมบูรณ์แบบเท่าไหร่ เพราะได้เล่นรอบละนิดรอบละหน่อย หลายรอบ ไม่ได้เล่นยาวๆ สักที ได้เล่นทีนึง ก็เอามาเล่าให้ฟังทีนึง คราวนี้รวบรวมไว้ซะหน่อย น่าจะเป็นรอบสุดท้ายซะที
หลังจาก Olympus PEN E-P5 เปิดตัว พวกเราหลายคนได้เล่นกล้อง pre producttion มาหลายรอบจนพอจะรู้จักกับมันพอสมควรแล้ว
เหลือประเด็นที่ผมยังสงสัยอยู่ 2-3 เรื่องเท่านั้น ว่ากล้องที่ผลิตจริงจะออกมาเป็นอย่างไร ต่างจากตัวต้นแบบอย่างไร
จนหลังจากวางขายอาทิตย์นึงจนน้าๆ หลายท่านซื้อไปลองเล่นบ้างแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสลองยืมกล้องจากน้าในกลุ่มผู้ใช้โอลิมปัสไปลองเล่นสัก 3-4 วันว่าที่สงสัยนั้น ที่จริงแล้วมันเป็นอย่างไร
เสียแต่ ได้กล้องไป 3 วัน ฝนตกทุกวัน...
ดังนั้นไม่ค่อยมีรูปมาโชว์เท่าไหร่นะครับ อีกอย่างนึง ทริปที่ไปนี่ผมไปถ่ายรูปให้กับครอบครัวพี่แขก acj ที่เคยมาประกาศหาคนไปเที่ยวนครนายกด้วย รูปส่วนใหญ่ก็เลยเป็นรูปครอบครัวท่องเที่ยว ไม่มีรูปอะไรที่จะแสดงให้เห็นว่ากล้องมันต่างยังไง
แต่ผมว่านะ ดูไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่หรอก เพราะภาพมันก็เหมือนๆ OM-D E-M5 นั่นแหละครับ ออกใสๆ กว่าหน่อยเดียว
คิดซะว่าใส่รูปคั่นสายตาไม่ให้ตัวอักษรเป็นพรืดมากไปก็พอ อย่าไปเอานิยมนิยายอะไร
**เพิ่มเติม..แบตก้อนนึงที่ผมเอาไปด้วยมีปัญหาครับ ประจุไฟได้ไม่เต็ม เป็นปัญหาจากแบตเองไม่เกี่ยวกับกล้อง**
เรื่องนี้เป็นความสงสัยข้อแรก มาตั้งแต่ก่อนได้กล้องตัวจริงไปเล่นแล้ว ว่ารูปมันจะออกมายังไงต่างแค่ไหนกับต้นแบบ
เพราะในกล้อง pre production ที่หลายๆ คนได้เล่นกันตอนเปิดตัว สีสันมันเข้มดุเดือดยังกะโอลิมปัสเก่าๆ พอตัวจริงสีสันลดความเข้มไปเยอะ แต่ไล่โทนดีขึ้นมาก นุ่มเนียน ความคมชัดอะไรก็พัฒนาเพิ่มขึ้นกว่า E-M5 จึ๋งนึง แต่โดยรวมๆ ผมว่าภาพที่ได้ ไม่ได้ผิดตาจาก E-M5 ไปมากนัก
รูปเก่าเล่าซ้ำ ไม่มีรีทัชใดๆ default จากกล้อง
ข้อสงสัยในการใช้งานจริงอย่างที่สองคือ เวลาใช้งานจริงๆ แล้ว Wi-Fi มันจะเป็นอย่างไร
อย่างแรกที่ต้องบอกเลยคือการเซ็ตอัพ Wi-Fi ง่ายโคตรๆ ง่ายสุดๆ มนุษย์ธรรมดาที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็น สามารถเซ็ตอัพใหัทำงานได้ทันทีในครั้งแรก ด้วยเวลาไม่เกิน 1 นาที
สิ่งที่ต้องทำคือ
1. เปิดกล้อง เปิดแอพ OI. Share ในโทรศัพท์ หรือแท็ปเลต (โหลดได้จาก App Store/ Play Store)
2. แตะไอคอน Wi-Fi ที่หน้าจอกล้อง ก็จะมี QR code โผล่มา
3. เลือก Remote Control หรือ Import Photos ก็ได้ จากในแอพ OI.Share
4. หันกล้องไปเล็งที่ QR code บนหน้าจอกล้อง
แค่นี้แหละ ที่เหลือมันจะทำให้เสร็จโดยอัตโนมัติ จะคุมกล้องผ่านแอพ จะก็อปภาพจากกล้อง หรือจะติด Geo-tag ในภาพก็ได้
เทียบกับตอนที่ผมอ่านคู่มือ กดโน่นนี่กลับไปกลับมา กล้องที โทรศัพท์ที ตอนเซ็ตอัพ Wi-Fi ของ 6D หรือ FlashAir Card ที่มีมากับ E-PL5/E-PM2
ขอบอกเลยว่า นี่มันสวรรค์ชัดๆ
อากาศแบบนี้ ไม่มีรูปสวยเลยยย
แต่อย่าเพิ่งดีใจไป ธรรมชาติของโอลิมปัส มักจะมีอะไรที่ดีมากๆ กับแย่มากๆ มาพร้อมกันเสมอ ...ที่ว่าไปคือส่วนที่ดี
ส่วนสิ่งที่แย่คือซอฟท์แวร์ OI.Share เหมือนจะยังทำไม่เสร็จดี
Remote Control ผ่านมือถือสามารถจะทำได้แค่ถ่ายภาพนิ่งในโหมด iAuto ได้เท่านั้น การควบคุมกล้องทำได้จำกัดมาก
ส่วนเวลาแปะแท็กนี่ง่ายเหมือนเสก กดปุ่มจึ้ก ทุกภาพจะมี location tag หมดทันที
การติด geo-tag ก็เหมือนจะดี แต่ปัญหาคือโทรศัพท์จะต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อเก็บ log ของ GPS เอาไว้ เพื่อเอาไปแปะใน meta-data ของรูป
และการจัดการพลังงานก็ไม่ดีเสียด้วย โทรศัพท์ผมสูบแบตฮวบๆ เปิดค้างไว้ชั่วโมงเดียว พอเห็นเปอร์เซ็นต์แบตโทรศัพท์แล้วรีบปิดฟังก์ชั่นนี้แทบไม่ทัน
ฟังก์ชั่นเดิมๆ อย่าง import photos หรือ edit photos ก็เหมือนเดิม สะดวก เล่นง่ายใช้สนุก เอารูปอะไรมาใส่อาร์ตฟิลเตอร์ก็ได้เหมือนเดิม และก็ไม่ได้ดีกว่าเดิม
ถ้าเทียบแอพของ 6D กับ E-P5แล้ว ก็เหมือนนรกกับสวรรค์อีกนั่นแหละ แต่รอบนี้ใครเป็นอะไร ก็กลับกันกับรอบที่แล้ว
เรื่องแอพนี่ก็ยังมีความหวังว่าในภายภาคหน้าอาจจะมีการอัพเดท หรืออัพเกรดอะไรให้มากกว่านี้ได้อยู่
แต่ในวันนี้ถ้าซื้อ E-P5 เพราะเหตุนี้ ผมว่ามันมีประโยชน์ไม่มากเท่าไหร่นัก
ปรับแบบซอฟท์ๆ นุ่มๆ คอนทราสท์ต่ำๆ มากเท่าที่กล้องจะอำนวย
เรื่องที่ 3 ที่ผมสงสัยคือ เวลาใช้จริง การคอนโทรลมันจะเป็นยังไงมั่ง
E-P5 ออกแบบการจัดวางปุ่ม แป้น วงล้อใหม่ และยังเพิ่มคาน 2x2 มาอีกอันนึง
ผมชอบปุ่มกระจายแบบนี้มากกว่าปุ่มเข้าแถวแบบเดิม เพราะมันทำให้กดได้โดยไม่ต้องมอง ไม่ต้องคลำนับปุ่ม ว่าจะกดปุ่มลำดับที่เท่าไหร่ในแถว
แต่ว่ามันจะกดถนัดมั้ย เพราะเล่นเอาปุ่ม Play ไปหลบไว้มุมล่างขวา ผมก็กดบ่อยเสียด้วยแล้วเอาปุ่ม delete มาไว้ซะเด่นเลย
เวลาใช้จริงกลับถนัดแฮะ ใช้โคนนิ้วโป้งกดปุ่ม Play ได้ ส่วนปุ่ม delete เป็นปุ่มที่อยู่ไกลนิ้วมากที่สุด กดได้ไม่ง่ายนักต้องปล่อยกริ๊ปก่อน ซึ่งก็สมเหตุสมผลดี ปุ่มส่วนใหญ่ก็อยู่ในที่ที่สมควรอยู่ ทำงานได้แบบที่สมควรทำ กดถนัดมือดี ไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรซ์เหมือนกล้องบางรุ่น
ปุ่มก็เยอะเหลือเฟือ ตั้งฟังก์ชั่นโน่นนี่แล้ว ยังเหลือปุ่มอีกแน่ะ ผมใช้ไม่ครบทุกปุ่มหรอก
ส่วนของใหม่อย่างคานสวิชท์เปิดปิดกล้อง ก็ทำงานได้ดี รวดเร็วกว่าปุ่มกดแบบเดิม กล้องก็ start-up ได้เร็วทันใจ ตอบสนองการทำงานได้ทันที
วงแหวนหน้าหลังที่ถนัดมือกว่า มาแทนวงแหวนทรงกระบอกที่นิ้วโป้ง และวงแหวนรอบปุ่มสี่ทิศทางเดิมๆ ที่ปรับไม่ค่อยถนัด
คาน 2x2 ทำให้วงแหวนหน้าหลังเปลี่ยนหน้าที่ จากวงแหวนปรับการเปิดรับแสง กลายเป็นปรับ ISO/WB แทน
ฟังดูดี แต่พอใช้จริง คานมันไวเกิน ชอบเคลื่อนอยู่เรื่อย ทำให้วงแหวนมันเปลี่ยนหน้าที่ไปๆ มาๆ จนไม่มั่นใจว่าตอนนั้นวงแหวนมันทำหน้าที่อะไรอยู่กันแน่
นอกจากนี้แล้ว เวลาใช้คานนี้ แล้วหมุนปรับ ISO กับ WB มันจะมี lag นิดๆ ชวนสับสนว่าปรับไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว
ผมว่าการปรับ exposure มันเป็นงานระดับ critical มากนะครับ จำเป็นจะต้องปรับได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ
สามารถไว้วางใจได้ทุกครั้ง ทุกสถานการณ์ ปรับได้โดยไม่ต้องคิด หรือกังวลใจ
แต่ไอ้คานอันนี้มันเพิ่มความสะดวกก็จริง แต่ก็ทำให้กล้องอยู่ในสภาวะไม่น่าไว้วางใจ มีเรื่องต้องกังวลเพิ่มขึ้นอีกเรื่องนึง
ถ้าต้องทำงานระดับพลาดไม่ได้ ผมว่าตั้งไว้ในโหมด 3, 4 จะดีกว่า 1, 2 แล้วย้ายการปรับ ISO/WB ไปไว้ที่ปุ่มอื่น หรือใช้ปุ่ม OK เปิด SCP ปรับเอาก็ได้
นั่นยังไม่เท่าไหร่ ถึงมีผลกับผม แต่ไม่ได้ส่งผลกับคนใช้กล้องที่เป็นเป้าหมายของกล้องรุ่นนี้เท่าไหร่
ส่วนที่น่ารำคาญที่สุดของกล้องคือปุ่มเปิดแฟลชครับ ที่ส่งผลกับทุกคนที่ใช้กล้อง
มันเซ็นซิทีฟมากไป ไวสุดๆ แทบจะเป่าลั่น ใส่กล้องไว้ในกระเป๋า กระแทกไปมาแฟลชก็เด้งได้เอง
ตลอดสามวันที่ผมเอากล้องออกจากกระเป๋า มีโอกาสอย่างมากที่เอากล้องออกมาจากกระเป๋า แล้วแฟลชเด้งเปิดอยู่แล้ว เรื่องนี้มันน่าหงุดหงิดสุดๆ
นี่ถ้าเป็นกล้องของตัวเอง ไม่ได้ยืมใครมา ภายในสามวันแรก ผมคงตัดฟองน้ำแปะรอบปุ่มแฟลชไปแล้ว จะได้กดยากขึ้นอีกหน่อย
จอเยี่ยมมากสวยคมชัด ถึงสีไม่สวยเท่า E-M5 แต่ก็ดูภาพได้สบายตากว่ามาก
บางเฉียบ ง้างเปิดปิดง่าย สะดวก ลื่นดี ปิดแล้วก็แนบไปกับตัวกล้อง
ดูกลางแจ้งได้ชัดเจนดี ไม่มีปัญหามองจอไม่เห็นเลย
ตัวกล้องก็จับได้ถนัดดี น้ำหนักกำลังเหมาะมือในการใช้งานทั่วไป และการพกพาไปไหนมาไหนตลอดเวลา
ถึงจะวางปุ่มไว้ทางขวาหมด แต่กล้องมันหนักเกินกว่าจะควบคุมสมดุลย์ได้ด้วยมือเดียว โดยไม่ใช้มือซ้ายประคอง
การประกอบแน่นหนาแข็งแรง สัมผัสดี ไม่มีโยกคลอน เทียบแล้วดีกว่า E-M5 ไปอีกเยอะ ถือไว้ในมือแล้วมั่นใจดี
แก้ไขข้อบกพร่องเรื่องการผลิตจากรุ่นเก่าๆ ไปหมดเลย
แต่ว่าอย่างหนึ่งที่ผิดคาดมากๆ คือมันเป็นกล้องที่กินแบตโหดสุดๆ ผมใช้ได้ 3 ชั่วโมง ถ่ายไปร้อยกว่ารูปแบตหมดซะแล้ว
ในขณะที่การใช้งานคล้ายๆ กัน แต่ใช้ EVF เป็นหลัก ผมถ่าย E-M5 ได้ค่อนวัน เกือบ 3 ร้อยรูป
สาเหตุมาจากอะไร จริงหรือไม่ ผมไม่มีเวลาสำรวจให้ละเอียด ฝากไว้ให้คนอื่นทดสอบละกัน ผมได้ลองผลาญแบตแค่ 2 รอบเอง
และเป็นแบตฯ ที่ใช้เป็นประจำอยู่กับ E-M5 ไม่ใช่แบตฯ ที่มากับกล้องเสียด้วย
ผมว่ามันกินแบตเยอะกว่า E-M5 แน่นอน แต่ไม่รู้ว่ากินขนาดไหน เรื่องนี้ผมยกประโยชน์ให้ละกัน
น่าซื้อมั้ย
พิจารณาเฉพาะตัวกล้อง มันเป็นกล้องที่ดีมาก แทบจะหาข้อเสียร้ายแรงไม่ได้เลย
ที่ผมพยายามยก พยายามหามา เป็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนช่างจับผิดเท่านั้น
แต่ถ้าเอาราคาเข้ามาเป็นปัจจัยด้วย มันกลายเป็นกล้องที่น่าซื้อน้อยลงไปเยอะสำหรับนักถ่ายภาพ
อดไม่ได้ที่จะต้องเอาไปเทียบกับ OM-D E-M5 เพราะฟังก์ชั่น ฟีเจอร์ มันเหมือนกันแทบทุกกระเบียด แต่มันก็ไม่เชิงเป็นกล้องที่ใช้แทนกันได้เสียทีเดียว
อย่างเช่นวันแรกที่ถ่ายทดสอบ ฝนตกปรอยๆ ผมก็ต้องเก็บกล้องหลบเข้าร่ม ซึ่งถ้าถือ OM-D มา ผมก็อาจจะเดินถ่ายต่อไปได้เลย
ในทางการวางตำแหน่งการตลาดมันเป็นกล้องไลฟสไตล์ระดับหรู ซึ่งก็ไม่ได้โฟกัสไปที่นักถ่ายภาพเป็นหลักอยู่แล้ว ความคุ้มค่ามันไม่ได้อยู่ในเรื่องของการถ่ายภาพอย่างเดียว บางทีความคุ้มค่ามันก็อยู่ที่ได้ใช้กล้องหรูๆ สวยๆ แพงๆ ไม่เหมือนใคร
สำหรับคนที่อยากได้กล้องแนวไลฟสไตล์ มันก็อาจจะคุ้มในแง่นี้
ถ้าถามความคุ้มค่าในมุมมองของช่างภาพ ผมว่าซื้อ OM-D E-M5 คุ้มค่าเงินกว่ามาก
หากอยากได้จริงๆ ผมแนะนำให้ซื้อกล้อง gray market ครับ ราคาเท่ากันเป๊ะ แต่ได้เลนส์ 17 mm ราคาหมื่นห้า (ลดแล้ว) ในขณะที่โอลิมปัสประเทศไทยให้แค่เลนส์คิดมาก 14-42 ที่หลายคนมีในครอบครอง 2-3 ตัวแล้ว ถ้าอยากได้จริงๆ ขอเอาฟรีๆ หรือซื้อต่อมือสองสภาพใหม่กิ๊ก สามพันฝ่าๆ เอง
เรื่องราคาแพงเว่อร์ บวกด้วยเรื่อง
สูญศูนย์บริการที่แย่สุดๆ และบางร้านเอากล้องนอกมาขายราคาถูกกว่าเป็นหมื่น การบริการส่งซ่อมดีกว่าประกันศูนย์อีกตะหาก
ผมไม่เห็นว่าทำไมเราควรซื้อกล้องจากตัวแทนจำหน่ายโอลิมปัสประเทศไทย ในขณะที่ซื้อกล้องประกันร้านคุ้มกว่าด้วยประการทั้งปวง
หรือจะให้ดีกว่านี้ รออีกสัก 6 เดือน ให้มันลดราคาลงอีกสัก 5 พัน หรือหมื่นนึง ความน่าใช้จะดีกว่านี้อีกมาก
เพิ่มเติม
ความคิดเห็น หลังเปิดตัว E-P5 ในประเทศไทย
http://ppantip.com/topic/30499644
ไปลอง Olympus E-P5 อีกที คราวมีโฟโต้สตอรี่
http://ppantip.com/topic/30687072
พา E-P5 ไปเที่ยวมาครับ
http://ppantip.com/topic/30755010
disclaimer
การปฏิเสธความรับผิดชอบ
ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ ระมัดระวังความไม่เป็นกลางในบทความที่อาจจะมีอยู่ด้วยตนเอง
ถึงผู้รีวิวจะใช้กล้องและอุปกรณ์นิคอนเป็นการส่วนตัว และไม่มีสินค้าโอลิมปัสในครอบครองแม้แต่ชิ้นเดียวมา 4 ปีแล้วก็ตาม แต่ก็เป็น admin และจัดกิจกรรมให้กลุ่มผู้ใช้โอลิมปัส Olympus Club Thailand และ Olympus User Thailand เป็นประจำ รวมทั้งมีเพื่อนฝูงที่สนิทอยู่ใน บริษัท Olympus ประเทศไทยด้วย
อุปกรณ์ที่ใช้ในบทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนท่านหนึ่งในโอลิมปัสประเทศไทย ที่เป็นสมาชิกในเพจดังกล่าว เพื่อให้เป็นข้อมูลไว้ใช้ในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มผู้ใช้โอลิมปัส
การสนับสนุนนี้ "เป็นการส่วนตัว" ในหมู่เพื่อน โดยที่โอลิมปัสประเทศไทยไม่มีส่วนใดๆ ทั้งสิ้น
[SR] รีวิวครึ่งๆ กลางๆ พา Olympus PEN E-P5 ไปเที่ยวนครนายก
หลังจาก Olympus PEN E-P5 เปิดตัว พวกเราหลายคนได้เล่นกล้อง pre producttion มาหลายรอบจนพอจะรู้จักกับมันพอสมควรแล้ว
เหลือประเด็นที่ผมยังสงสัยอยู่ 2-3 เรื่องเท่านั้น ว่ากล้องที่ผลิตจริงจะออกมาเป็นอย่างไร ต่างจากตัวต้นแบบอย่างไร
จนหลังจากวางขายอาทิตย์นึงจนน้าๆ หลายท่านซื้อไปลองเล่นบ้างแล้ว ผมก็เลยถือโอกาสลองยืมกล้องจากน้าในกลุ่มผู้ใช้โอลิมปัสไปลองเล่นสัก 3-4 วันว่าที่สงสัยนั้น ที่จริงแล้วมันเป็นอย่างไร
เสียแต่ ได้กล้องไป 3 วัน ฝนตกทุกวัน...
ดังนั้นไม่ค่อยมีรูปมาโชว์เท่าไหร่นะครับ อีกอย่างนึง ทริปที่ไปนี่ผมไปถ่ายรูปให้กับครอบครัวพี่แขก acj ที่เคยมาประกาศหาคนไปเที่ยวนครนายกด้วย รูปส่วนใหญ่ก็เลยเป็นรูปครอบครัวท่องเที่ยว ไม่มีรูปอะไรที่จะแสดงให้เห็นว่ากล้องมันต่างยังไง
แต่ผมว่านะ ดูไปก็ไม่ค่อยมีประโยชน์เท่าไหร่หรอก เพราะภาพมันก็เหมือนๆ OM-D E-M5 นั่นแหละครับ ออกใสๆ กว่าหน่อยเดียว
คิดซะว่าใส่รูปคั่นสายตาไม่ให้ตัวอักษรเป็นพรืดมากไปก็พอ อย่าไปเอานิยมนิยายอะไร
**เพิ่มเติม..แบตก้อนนึงที่ผมเอาไปด้วยมีปัญหาครับ ประจุไฟได้ไม่เต็ม เป็นปัญหาจากแบตเองไม่เกี่ยวกับกล้อง**
เรื่องนี้เป็นความสงสัยข้อแรก มาตั้งแต่ก่อนได้กล้องตัวจริงไปเล่นแล้ว ว่ารูปมันจะออกมายังไงต่างแค่ไหนกับต้นแบบ
เพราะในกล้อง pre production ที่หลายๆ คนได้เล่นกันตอนเปิดตัว สีสันมันเข้มดุเดือดยังกะโอลิมปัสเก่าๆ พอตัวจริงสีสันลดความเข้มไปเยอะ แต่ไล่โทนดีขึ้นมาก นุ่มเนียน ความคมชัดอะไรก็พัฒนาเพิ่มขึ้นกว่า E-M5 จึ๋งนึง แต่โดยรวมๆ ผมว่าภาพที่ได้ ไม่ได้ผิดตาจาก E-M5 ไปมากนัก
รูปเก่าเล่าซ้ำ ไม่มีรีทัชใดๆ default จากกล้อง
ข้อสงสัยในการใช้งานจริงอย่างที่สองคือ เวลาใช้งานจริงๆ แล้ว Wi-Fi มันจะเป็นอย่างไร
อย่างแรกที่ต้องบอกเลยคือการเซ็ตอัพ Wi-Fi ง่ายโคตรๆ ง่ายสุดๆ มนุษย์ธรรมดาที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็น สามารถเซ็ตอัพใหัทำงานได้ทันทีในครั้งแรก ด้วยเวลาไม่เกิน 1 นาที
สิ่งที่ต้องทำคือ
1. เปิดกล้อง เปิดแอพ OI. Share ในโทรศัพท์ หรือแท็ปเลต (โหลดได้จาก App Store/ Play Store)
2. แตะไอคอน Wi-Fi ที่หน้าจอกล้อง ก็จะมี QR code โผล่มา
3. เลือก Remote Control หรือ Import Photos ก็ได้ จากในแอพ OI.Share
4. หันกล้องไปเล็งที่ QR code บนหน้าจอกล้อง
แค่นี้แหละ ที่เหลือมันจะทำให้เสร็จโดยอัตโนมัติ จะคุมกล้องผ่านแอพ จะก็อปภาพจากกล้อง หรือจะติด Geo-tag ในภาพก็ได้
เทียบกับตอนที่ผมอ่านคู่มือ กดโน่นนี่กลับไปกลับมา กล้องที โทรศัพท์ที ตอนเซ็ตอัพ Wi-Fi ของ 6D หรือ FlashAir Card ที่มีมากับ E-PL5/E-PM2
ขอบอกเลยว่า นี่มันสวรรค์ชัดๆ
อากาศแบบนี้ ไม่มีรูปสวยเลยยย
แต่อย่าเพิ่งดีใจไป ธรรมชาติของโอลิมปัส มักจะมีอะไรที่ดีมากๆ กับแย่มากๆ มาพร้อมกันเสมอ ...ที่ว่าไปคือส่วนที่ดี
ส่วนสิ่งที่แย่คือซอฟท์แวร์ OI.Share เหมือนจะยังทำไม่เสร็จดี
Remote Control ผ่านมือถือสามารถจะทำได้แค่ถ่ายภาพนิ่งในโหมด iAuto ได้เท่านั้น การควบคุมกล้องทำได้จำกัดมาก
ส่วนเวลาแปะแท็กนี่ง่ายเหมือนเสก กดปุ่มจึ้ก ทุกภาพจะมี location tag หมดทันที
การติด geo-tag ก็เหมือนจะดี แต่ปัญหาคือโทรศัพท์จะต้องทำงานตลอดเวลาเพื่อเก็บ log ของ GPS เอาไว้ เพื่อเอาไปแปะใน meta-data ของรูป
และการจัดการพลังงานก็ไม่ดีเสียด้วย โทรศัพท์ผมสูบแบตฮวบๆ เปิดค้างไว้ชั่วโมงเดียว พอเห็นเปอร์เซ็นต์แบตโทรศัพท์แล้วรีบปิดฟังก์ชั่นนี้แทบไม่ทัน
ฟังก์ชั่นเดิมๆ อย่าง import photos หรือ edit photos ก็เหมือนเดิม สะดวก เล่นง่ายใช้สนุก เอารูปอะไรมาใส่อาร์ตฟิลเตอร์ก็ได้เหมือนเดิม และก็ไม่ได้ดีกว่าเดิม
ถ้าเทียบแอพของ 6D กับ E-P5แล้ว ก็เหมือนนรกกับสวรรค์อีกนั่นแหละ แต่รอบนี้ใครเป็นอะไร ก็กลับกันกับรอบที่แล้ว
เรื่องแอพนี่ก็ยังมีความหวังว่าในภายภาคหน้าอาจจะมีการอัพเดท หรืออัพเกรดอะไรให้มากกว่านี้ได้อยู่
แต่ในวันนี้ถ้าซื้อ E-P5 เพราะเหตุนี้ ผมว่ามันมีประโยชน์ไม่มากเท่าไหร่นัก
ปรับแบบซอฟท์ๆ นุ่มๆ คอนทราสท์ต่ำๆ มากเท่าที่กล้องจะอำนวย
เรื่องที่ 3 ที่ผมสงสัยคือ เวลาใช้จริง การคอนโทรลมันจะเป็นยังไงมั่ง
E-P5 ออกแบบการจัดวางปุ่ม แป้น วงล้อใหม่ และยังเพิ่มคาน 2x2 มาอีกอันนึง
ผมชอบปุ่มกระจายแบบนี้มากกว่าปุ่มเข้าแถวแบบเดิม เพราะมันทำให้กดได้โดยไม่ต้องมอง ไม่ต้องคลำนับปุ่ม ว่าจะกดปุ่มลำดับที่เท่าไหร่ในแถว
แต่ว่ามันจะกดถนัดมั้ย เพราะเล่นเอาปุ่ม Play ไปหลบไว้มุมล่างขวา ผมก็กดบ่อยเสียด้วยแล้วเอาปุ่ม delete มาไว้ซะเด่นเลย
เวลาใช้จริงกลับถนัดแฮะ ใช้โคนนิ้วโป้งกดปุ่ม Play ได้ ส่วนปุ่ม delete เป็นปุ่มที่อยู่ไกลนิ้วมากที่สุด กดได้ไม่ง่ายนักต้องปล่อยกริ๊ปก่อน ซึ่งก็สมเหตุสมผลดี ปุ่มส่วนใหญ่ก็อยู่ในที่ที่สมควรอยู่ ทำงานได้แบบที่สมควรทำ กดถนัดมือดี ไม่มีอะไรให้เซอร์ไพรซ์เหมือนกล้องบางรุ่น
ปุ่มก็เยอะเหลือเฟือ ตั้งฟังก์ชั่นโน่นนี่แล้ว ยังเหลือปุ่มอีกแน่ะ ผมใช้ไม่ครบทุกปุ่มหรอก
ส่วนของใหม่อย่างคานสวิชท์เปิดปิดกล้อง ก็ทำงานได้ดี รวดเร็วกว่าปุ่มกดแบบเดิม กล้องก็ start-up ได้เร็วทันใจ ตอบสนองการทำงานได้ทันที
วงแหวนหน้าหลังที่ถนัดมือกว่า มาแทนวงแหวนทรงกระบอกที่นิ้วโป้ง และวงแหวนรอบปุ่มสี่ทิศทางเดิมๆ ที่ปรับไม่ค่อยถนัด
คาน 2x2 ทำให้วงแหวนหน้าหลังเปลี่ยนหน้าที่ จากวงแหวนปรับการเปิดรับแสง กลายเป็นปรับ ISO/WB แทน
ฟังดูดี แต่พอใช้จริง คานมันไวเกิน ชอบเคลื่อนอยู่เรื่อย ทำให้วงแหวนมันเปลี่ยนหน้าที่ไปๆ มาๆ จนไม่มั่นใจว่าตอนนั้นวงแหวนมันทำหน้าที่อะไรอยู่กันแน่
นอกจากนี้แล้ว เวลาใช้คานนี้ แล้วหมุนปรับ ISO กับ WB มันจะมี lag นิดๆ ชวนสับสนว่าปรับไปมากน้อยแค่ไหนแล้ว
ผมว่าการปรับ exposure มันเป็นงานระดับ critical มากนะครับ จำเป็นจะต้องปรับได้อย่างรวดเร็วแม่นยำ
สามารถไว้วางใจได้ทุกครั้ง ทุกสถานการณ์ ปรับได้โดยไม่ต้องคิด หรือกังวลใจ
แต่ไอ้คานอันนี้มันเพิ่มความสะดวกก็จริง แต่ก็ทำให้กล้องอยู่ในสภาวะไม่น่าไว้วางใจ มีเรื่องต้องกังวลเพิ่มขึ้นอีกเรื่องนึง
ถ้าต้องทำงานระดับพลาดไม่ได้ ผมว่าตั้งไว้ในโหมด 3, 4 จะดีกว่า 1, 2 แล้วย้ายการปรับ ISO/WB ไปไว้ที่ปุ่มอื่น หรือใช้ปุ่ม OK เปิด SCP ปรับเอาก็ได้
นั่นยังไม่เท่าไหร่ ถึงมีผลกับผม แต่ไม่ได้ส่งผลกับคนใช้กล้องที่เป็นเป้าหมายของกล้องรุ่นนี้เท่าไหร่
ส่วนที่น่ารำคาญที่สุดของกล้องคือปุ่มเปิดแฟลชครับ ที่ส่งผลกับทุกคนที่ใช้กล้อง
มันเซ็นซิทีฟมากไป ไวสุดๆ แทบจะเป่าลั่น ใส่กล้องไว้ในกระเป๋า กระแทกไปมาแฟลชก็เด้งได้เอง
ตลอดสามวันที่ผมเอากล้องออกจากกระเป๋า มีโอกาสอย่างมากที่เอากล้องออกมาจากกระเป๋า แล้วแฟลชเด้งเปิดอยู่แล้ว เรื่องนี้มันน่าหงุดหงิดสุดๆ
นี่ถ้าเป็นกล้องของตัวเอง ไม่ได้ยืมใครมา ภายในสามวันแรก ผมคงตัดฟองน้ำแปะรอบปุ่มแฟลชไปแล้ว จะได้กดยากขึ้นอีกหน่อย
จอเยี่ยมมากสวยคมชัด ถึงสีไม่สวยเท่า E-M5 แต่ก็ดูภาพได้สบายตากว่ามาก
บางเฉียบ ง้างเปิดปิดง่าย สะดวก ลื่นดี ปิดแล้วก็แนบไปกับตัวกล้อง
ดูกลางแจ้งได้ชัดเจนดี ไม่มีปัญหามองจอไม่เห็นเลย
ตัวกล้องก็จับได้ถนัดดี น้ำหนักกำลังเหมาะมือในการใช้งานทั่วไป และการพกพาไปไหนมาไหนตลอดเวลา
ถึงจะวางปุ่มไว้ทางขวาหมด แต่กล้องมันหนักเกินกว่าจะควบคุมสมดุลย์ได้ด้วยมือเดียว โดยไม่ใช้มือซ้ายประคอง
การประกอบแน่นหนาแข็งแรง สัมผัสดี ไม่มีโยกคลอน เทียบแล้วดีกว่า E-M5 ไปอีกเยอะ ถือไว้ในมือแล้วมั่นใจดี
แก้ไขข้อบกพร่องเรื่องการผลิตจากรุ่นเก่าๆ ไปหมดเลย
แต่ว่าอย่างหนึ่งที่ผิดคาดมากๆ คือมันเป็นกล้องที่กินแบตโหดสุดๆ ผมใช้ได้ 3 ชั่วโมง ถ่ายไปร้อยกว่ารูปแบตหมดซะแล้ว
ในขณะที่การใช้งานคล้ายๆ กัน แต่ใช้ EVF เป็นหลัก ผมถ่าย E-M5 ได้ค่อนวัน เกือบ 3 ร้อยรูป
สาเหตุมาจากอะไร จริงหรือไม่ ผมไม่มีเวลาสำรวจให้ละเอียด ฝากไว้ให้คนอื่นทดสอบละกัน ผมได้ลองผลาญแบตแค่ 2 รอบเอง
และเป็นแบตฯ ที่ใช้เป็นประจำอยู่กับ E-M5 ไม่ใช่แบตฯ ที่มากับกล้องเสียด้วย
ผมว่ามันกินแบตเยอะกว่า E-M5 แน่นอน แต่ไม่รู้ว่ากินขนาดไหน เรื่องนี้ผมยกประโยชน์ให้ละกัน
น่าซื้อมั้ย
พิจารณาเฉพาะตัวกล้อง มันเป็นกล้องที่ดีมาก แทบจะหาข้อเสียร้ายแรงไม่ได้เลย
ที่ผมพยายามยก พยายามหามา เป็นข้อบกพร่องเล็กๆ น้อยๆ ของคนช่างจับผิดเท่านั้น
แต่ถ้าเอาราคาเข้ามาเป็นปัจจัยด้วย มันกลายเป็นกล้องที่น่าซื้อน้อยลงไปเยอะสำหรับนักถ่ายภาพ
อดไม่ได้ที่จะต้องเอาไปเทียบกับ OM-D E-M5 เพราะฟังก์ชั่น ฟีเจอร์ มันเหมือนกันแทบทุกกระเบียด แต่มันก็ไม่เชิงเป็นกล้องที่ใช้แทนกันได้เสียทีเดียว
อย่างเช่นวันแรกที่ถ่ายทดสอบ ฝนตกปรอยๆ ผมก็ต้องเก็บกล้องหลบเข้าร่ม ซึ่งถ้าถือ OM-D มา ผมก็อาจจะเดินถ่ายต่อไปได้เลย
ในทางการวางตำแหน่งการตลาดมันเป็นกล้องไลฟสไตล์ระดับหรู ซึ่งก็ไม่ได้โฟกัสไปที่นักถ่ายภาพเป็นหลักอยู่แล้ว ความคุ้มค่ามันไม่ได้อยู่ในเรื่องของการถ่ายภาพอย่างเดียว บางทีความคุ้มค่ามันก็อยู่ที่ได้ใช้กล้องหรูๆ สวยๆ แพงๆ ไม่เหมือนใคร
สำหรับคนที่อยากได้กล้องแนวไลฟสไตล์ มันก็อาจจะคุ้มในแง่นี้
ถ้าถามความคุ้มค่าในมุมมองของช่างภาพ ผมว่าซื้อ OM-D E-M5 คุ้มค่าเงินกว่ามาก
หากอยากได้จริงๆ ผมแนะนำให้ซื้อกล้อง gray market ครับ ราคาเท่ากันเป๊ะ แต่ได้เลนส์ 17 mm ราคาหมื่นห้า (ลดแล้ว) ในขณะที่โอลิมปัสประเทศไทยให้แค่เลนส์คิดมาก 14-42 ที่หลายคนมีในครอบครอง 2-3 ตัวแล้ว ถ้าอยากได้จริงๆ ขอเอาฟรีๆ หรือซื้อต่อมือสองสภาพใหม่กิ๊ก สามพันฝ่าๆ เอง
เรื่องราคาแพงเว่อร์ บวกด้วยเรื่อง
สูญศูนย์บริการที่แย่สุดๆ และบางร้านเอากล้องนอกมาขายราคาถูกกว่าเป็นหมื่น การบริการส่งซ่อมดีกว่าประกันศูนย์อีกตะหากผมไม่เห็นว่าทำไมเราควรซื้อกล้องจากตัวแทนจำหน่ายโอลิมปัสประเทศไทย ในขณะที่ซื้อกล้องประกันร้านคุ้มกว่าด้วยประการทั้งปวง
หรือจะให้ดีกว่านี้ รออีกสัก 6 เดือน ให้มันลดราคาลงอีกสัก 5 พัน หรือหมื่นนึง ความน่าใช้จะดีกว่านี้อีกมาก
เพิ่มเติม
ความคิดเห็น หลังเปิดตัว E-P5 ในประเทศไทย
http://ppantip.com/topic/30499644
ไปลอง Olympus E-P5 อีกที คราวมีโฟโต้สตอรี่
http://ppantip.com/topic/30687072
พา E-P5 ไปเที่ยวมาครับ
http://ppantip.com/topic/30755010
การปฏิเสธความรับผิดชอบ
ผู้อ่านโปรดใช้วิจารณญาณ ระมัดระวังความไม่เป็นกลางในบทความที่อาจจะมีอยู่ด้วยตนเอง
ถึงผู้รีวิวจะใช้กล้องและอุปกรณ์นิคอนเป็นการส่วนตัว และไม่มีสินค้าโอลิมปัสในครอบครองแม้แต่ชิ้นเดียวมา 4 ปีแล้วก็ตาม แต่ก็เป็น admin และจัดกิจกรรมให้กลุ่มผู้ใช้โอลิมปัส Olympus Club Thailand และ Olympus User Thailand เป็นประจำ รวมทั้งมีเพื่อนฝูงที่สนิทอยู่ใน บริษัท Olympus ประเทศไทยด้วย
อุปกรณ์ที่ใช้ในบทความนี้ได้รับการสนับสนุนจากเพื่อนท่านหนึ่งในโอลิมปัสประเทศไทย ที่เป็นสมาชิกในเพจดังกล่าว เพื่อให้เป็นข้อมูลไว้ใช้ในการดำเนินกิจกรรมของกลุ่มผู้ใช้โอลิมปัส
การสนับสนุนนี้ "เป็นการส่วนตัว" ในหมู่เพื่อน โดยที่โอลิมปัสประเทศไทยไม่มีส่วนใดๆ ทั้งสิ้น