ในโลกฟุตบอลสมัยใหม่ มันหายากขึ้นทุกทีที่เราจะได้เห็นนักเตะคนหนึ่งอยู่รับใช้สโมสรเพียงแห่งเดียวอย่างยาวนานถึง 10 ปี โดยเฉพาะกับนักเตะชั้นนำที่มีฝีเท้าในระดับที่สามารถไปค้าแข้งที่ใดก็ได้ในโลก …โชคดีที่ลิเวอร์พูลมีนักเตะคนนั้น และถึงวันนี้ เขาก็รับใช้สโมสรมานานเกือบ 15 ปีแล้ว
มีภาพนิ่งและคลิปวิดีโอมากมาย ที่ยังคงย้อนรอยให้เราได้เห็นก้าวแรกในทีมชุดใหญ่ของเขา …วันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 ในเกมกับแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ที่แอนฟิลด์ ขณะที่ลิเวอร์พูลนำอยู่ 2-0 นาทีสุดท้ายของเวลาปกติ เด็กหนุ่มจากฮายตันคนหนึ่งถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทน เวการ์ด เฮกเกม แบ็คขวาชาวนอร์เวย์ เด็กคนนั้นชื่อ สตีเวน เจอร์ราร์ด…
นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานบทใหม่แห่งแอนฟิลด์…
ถัดจากวันนั้นเพียง 6 วัน เจอร์ราร์ดก็ได้โอกาสลงเล่นตัวจริงในทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในเกมเยือนสเปอร์ส ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน เขาต้องประกบปีกจอมพริ้วชาวฝรั่งเศสอย่าง ดาวิด ชิโนลา ซึ่งลิเวอร์พูลพ่ายไป 1-2 และเจอร์ราร์ดก็เล่นไม่ดีเอาเสียเลย และเขาเองก็คิดว่ามันอาจเป็นการทำลายโอกาสในทีมชุดใหญ่ของเขาเสียแล้ว แต่มันคงเป็นโชคชะตาของเขาจริงๆ เพราะเขายังได้โอกาสลงเล่นตัวจริงต่อเป็นเกมที่ 2 กับเซลตา บีโก ทีมจากสเปน ที่แอนฟิลด์ ในรายการแชมเปียนส์ลีก อันเนื่องมาจากลิเวอร์พูลนั้นหมดลุ้นแล้ว และกองกลางตัวหลักก็ติดโทษแบนบ้าง มีอาการบาดเจ็บบ้าง ซึ่งคราวนี้ เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งถนัดเป็นครั้งแรก นั่นคือ มิดฟิลด์ตัวกลาง
ลิเวอร์พูลแพ้คาบ้านไป 0-1 แต่แฟนบอลลิเวอร์พูลและหนังสือพิมพ์ได้หันมาจับตามองมิดฟิลด์วัย 18 ปี ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นพาดหัวหนังสือพิมพ์ จากนั้นเขาก็ไม่เคยต้องกลับไปเล่นในทีมสำรองของสโมสรอีกเลย
1 ปีถัดมา ในวันที่ 5 ธันวาคม 1999 ลิเวอร์พูลพบเชฟฟิลด์ เวนสเดย์ ที่แอนฟิลด์ เจอร์ราร์ดได้ลงตัวจริงและสามารถทำประตูแรกในสีเสื้อลิเวอร์พูลได้สำเร็จในที่สุด
จนถึงวันนี้ เจอร์ราร์ดลงเล่นให้ลิเวอร์พูลไปแล้วกว่า 600 เกม ยิงประตูมาแล้วมากกว่า 150 ประตู และแอสซิสอีกมากมาย ตลอดระยะเวลาเกือบ 15 ปี เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทีมและสโมสร ทั้งยิงประตูสำคัญที่ช่วยฉุดทีมขึ้นมาจากความพ่ายแพ้ จ่ายบอลทะลุช่องงามๆที่เรียกได้ว่าเป็นลูกถวายพานให้เพื่อนร่วมทีม และช่วยบล็อกลูกยิงไม่ให้ทีมเสียประตู
สำหรับตำแหน่งกัปตันทีมลิเวอร์พูล เจอร์ราร์ดได้รับมอบปลอกแขนตำแหน่งกัปตันทีมลิเวอร์พูลต่อจาก ซามี ฮูเปีย ในเดือนตุลาคม ปี 2003 เชรา อุลลิเยร์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในขณะนั้น กล่าวกับเขาว่า “มันถึงเวลาแล้วที่เธอควรจะได้รับการสืบทอดตำแหน่งกัปตันทีมของสโมสรแห่งนี้” …นั่นแปลว่าเมื่อถึงเดือนตุลาคมปีนี้ เขาจะสวมปลอกแขนกัปตันครบ 10 ปี
มันคงเป็นอีกช่วงเวลาแห่งความยินดีของเหล่าสาวกลิเวอร์พูลทุกคนอย่างแน่นอน
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น กัปตันทีมของเราจะได้รับเกียรติจากสโมสร โดยการจัดเทสติโมเนียล แมตซ์ให้ในวันที่ 3 สิงหาคม 2013 โดยเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลจะพบกับโอลิมเปียกอส อีกครั้ง…
ทำไมถึงเป็นโอลิมเปียกอส…
หลายคนคงยังจำเกมนัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่ม รายการยูฟา แชมเปียนส์ลีก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2004 ได้ หากลิเวอร์พูลอยากเข้ารอบ ต้องเอาชนะด้วยสกอร์ 1-0 หรือไม่ก็ยิงมากกว่าคู่แข่ง 2 ประตูขึ้นไป ซึ่งแม้ลิเวอร์พูลจะพยายามบุกหนัก แต่กลับกลายเป็นโอลิมเปียกอสที่ทำประตูขึ้นนำได้ก่อน จากลูกฟรีคิกของริวัลโด ทำให้สถานการณ์ของลิเวอร์พูลเลวร้ายมากขึ้น เนื่องจากต้องยิงคืนให้ได้ถึง 3 ประตู มิฉะนั้นจะตกรอบแบ่งกลุ่มทันที
การผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในรายการยูฟา แชมเปียนส์ลีก คือ หนึ่งในความฝันของเจอร์ราร์ด และหากเขาทำไม่สำเร็จกับลิเวอร์พูลแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะคิดย้ายออกไปหาความสำเร็จในอาชีพกับทีมอื่น …เชลซี คือหนึ่งในนั้น และเป็นที่รู้กันว่า โฆเซ มูรินโญ ผู้จัดการทีมเชลซีในขณะนั้นอยากได้กัปตันทีมลิเวอร์พูลไปร่วมทีมของเขาเป็นที่สุด และแม้เมื่อเขาย้ายไปคุมทีมอย่างเรอัล มาดริด ก็ยังคงไม่ละความพยายาม
กลับไปที่เหตุการณ์ในเกมกับโอลิมเปียกอส …ราฟา เบนิเตซ เปลี่ยนตัวสำรองในครึ่งหลัง และได้ประตูตีเสมออย่างรวดเร็วในนาทีที่ 46 จากฟลอรอง ซินีมา ปองโกล์ และขึ้นนำ 2-1 ในนาทีที่ 80 จากนีล เมลเลอร์ แต่แค่นี้ยังไม่พอให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบ เพราะเราต้องการอีก 1 ประตู
…และในนาทีที่ 86 เจอร์ราร์ดก็จัดการซัดประตูชัยแห่งความทรงจำ ประตูที่เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง ประตูที่ทำให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบและต่อสู้ฝ่าฟันไปจนถึงนัดชิง และได้แชมป์ มันเป็นเกมที่มีความหมายต่อเขาโดยส่วนตัวและมีความหมายต่อประวัติศาสตร์สโมสรอย่างแท้จริง
แล้วเราจะได้เห็นเกมแห่งเกียรติยศของกัปตันกับทีมโอลิมเปียกอสอีกครั้ง…
เจอร์ราร์ดมักพูดเสมอว่า ตัวเขาเองใช้ชีวิตตามความฝัน …ความฝันอันน่ามหัศจรรย์ เขาอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาได้เป็น เขาอยากเป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูล เขาได้เป็น เขาอยากพาทีมเป็นแชมป์ เขาได้ทำ ที่สำคัญ มันเป็นฝันที่เป็นจริงกับทีมที่รัก ที่ตามเชียร์มาตั้งแต่เด็ก
แต่ก็ใช่ว่าการเดินตามความฝันของเขาจะมีแต่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป หลายครั้งที่เขาต้องพบกับอุปสรรค บางครั้งก็หนักหนาสาหัสไม่น้อย
ในวัยเด็ก เขาเคยได้รับอุบัติเหตุจนเกือบถูกตัดนิ้วหัวแม่เท้าขวา เขาถูก ลีลล์แชล สถาบันสอนฟุตบอลแห่งชาติตอบปฏิเสธ ทำให้โอกาสในการติดทีมชาติชุดเยาวชนต้องล่าช้าออกไป ในช่วงที่กำลังจะได้ขึ้นทีมชุดใหญ่ เขามีปัญหาบาดเจ็บที่บริเวณหลัง อันเนื่องมาจากส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป เขาเคยมีปัญหากับการเข้าสกัดบอลในยามที่เล่นเกมรับ ที่เราทุกคนน่าจะรู้จักดีกับท่าเสียบ “ขาคู่” ที่ทำให้เขาโดนใบแดงไปหลายใบ และเขาเคยได้รับบาดเจ็บจนทำให้อดไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อปี 2002 ที่เปเล่ ตำนานลูกหนังชาวบราซิลถึงกับออกปากว่า
“เจอร์ราร์ดเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดที่ไม่ได้อยู่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้”
ในปี 2004 และ 2005 เขาต้องพบกับทางแยกของชีวิต เมื่อต้องเลือกระหว่าง โอกาสเป็นแชมป์ลีกกับหัวใจของตัวเอง
ขณะที่กำลังจะย้ายไปเชลซีอยู่รอมร่อ ด้วยความทะเยอทะยานที่แรงกล้าที่สุดในชีวิต คือ โอกาสในการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ในที่สุดแล้ว สิ่งที่แรงกล้ายิ่งกว่าความทะเยอทะยานในการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ก็คือ ความรักและผูกพันที่เขามีต่อสโมสรลิเวอรพูลนี่เอง
ในห้วงเวลาแห่งความสับสนอันเกิดจากความเข้าใจผิดคิดว่า สโมสรอาจจะอยากขายเขาเพื่อเงินก้อนโต เจอร์ราร์ดขึ้นบัญชีขอย้ายทีม แฟนบอลช็อกและมีคนออกมาเผาเสื้อเบอร์ 17 ที่เขาเคยใส่หน้าสโมสร มันอาจเป็นภาพที่สร้างความเจ็บปวดที่สุด แต่คุณพ่อของกัปตันก็ยังยืนกรานกับลูกชายคนเล็กว่า
“อย่าจากสโมสรที่แกรักไปเลย”
…กัปตันเล่าในหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัวว่า
‘ผมจะใส่เสื้อเชลซี และกลับมายืนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับแฟนลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ได้อย่างไร ผมเห็นโอกาสอันมากมายกับเชลซี แต่หัวใจของผมไม่ยอมให้ผมไปจากลิเวอร์พูล…’
ถ้าเขาย้ายไปเชลซี เขาได้แชมป์ลีก เขาจะเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้แชมป์รายการหลักทั้งในประเทศและในยุโรปครบทุกรายการ แต่เขาทิ้งโอกาสนั้นไป และไม่เคยหันกลับไปคิดถึงมันอีกเลย
สิ่งที่ผูกรัดเจอร์ราร์ดไว้ สิ่งที่ทำให้เขาหันกลับมา คือ ความรักและผูกพันที่มีต่อสโมสรลิเวอร์พูล…
จากนั้นมันไม่เคยมีข้อสงสัยในข่าวลือใดๆที่เกี่ยวข้องกับการย้ายทีมของเขาสำหรับเราอีกแล้ว เพราะเขาจะไม่มีวันจากไปไหน หากว่าสโมสรแห่งนี้ยังต้องการเขาอยู่
นักเตะชั้นนำโดนทั่วไป มักมีความทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จ เจอร์ราร์ดเองก็มีความทะเยอทะยานอยู่ตลอดเวลา อาจมีบางคนมองว่าเขาตัดสินใจผิดที่ไม่ย้ายออกไปหาความสำเร็จให้ตัวเอง แต่คนเหล่านั้นไม่มีวันเข้าใจว่ามันมีบางสิ่งที่มีคุณค่ากว่าความสำเร็จส่วนตัว กัปตันเคยพูดไว้ว่า
“ผู้คนข้างนอกนั่น คนที่ไม่ได้มีความผูกพันกับสโมสรอย่างที่ผมมีอาจจะไม่เข้าใจ พวกเขาอาจะตัดสินและพูดได้ว่า ผมจะสามารถเป็นแชมป์และหาเงินได้มากกว่านี้ถ้าผมย้ายออกไปที่ไหนก็ตาม แต่นั่นมันไม่ได้สำคัญสำหรับผมเลย เพราะผมยังคงรู้สึกอยู่เสมอว่า ผมสามารถจะเป็นแชมป์กับลิเวอร์พูลได้อีก และถ้าผมทำได้ พวกเขาจะเข้าใจว่ามันมีความหมายมากมายขนาดไหนต่อผม”
เจอร์ราร์ดอาจไม่ใช่นักเตะที่จะได้แชมป์มากที่สุดในโลก ไม่ใช่นักเตะที่มีคนชื่นชมมากที่สุดในโลก ไม่ใช่นักเตะที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลก แต่เราเชื่อเหลือเกินว่า เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีความสุขที่สุดในโลกอย่างแน่นอน
…ความสุขจากการแบ่งปันความสำเร็จร่วมกับทีมอันเป็นที่รัก แฟนบอลอันเป็นที่รัก และครอบครัวอันเป็นที่รัก
อุปสรรคในอาชีพล่าสุดของเขา คือ เมื่อปี 2011 เจอร์ราร์ดต้องรับการผ่าตัดโคนขาหนีบ ซึ่งไม่ได้เล่นฟุตบอลเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดในชีวิต แต่เรื่องแย่ยังไม่จบเพียงแค่นั้น หลังจากกลับมาลงตัวจริงเพียง 2 นัดเมื่อเดือนตุลาคม 2011 มันก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อเขาเกิดอุบัติเหตุกับข้อเท้าของเขา ตอนซ้อมก่อนเกมไปเยือนเวสบรอมวิช อัลเบียน ซึ่งมันทำให้ข้อเท้าของเขาติดเชื้อ ความเลวร้ายของมันถึงขั้นที่อาจทำให้เขาต้องเลิกเล่นฟุตบอลไปเลยถ้าหากไปโรงพยาบาลไม่ทัน เขาพูดถึงเรื่องนี้ว่า
“การบาดเจ็บและไม่ได้ลงเล่นมันทำให้ผมหวงแหนอาชีพนี้มากขึ้นและเข้าใจว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้ใช้เกิดมาเป็นนักฟุตบอล และผมจะสนุกกับทุกนาทีที่เหลืออยู่ในอาชีพของผมให้มากที่สุด…”
< < < + + TIA Column : กว่าจะเป็นเทสติโมเนียล แมตซ์ ของสตีเวน เจอร์ราร์ด + + > > >
มีภาพนิ่งและคลิปวิดีโอมากมาย ที่ยังคงย้อนรอยให้เราได้เห็นก้าวแรกในทีมชุดใหญ่ของเขา …วันที่ 29 พฤศจิกายน 1998 ในเกมกับแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ที่แอนฟิลด์ ขณะที่ลิเวอร์พูลนำอยู่ 2-0 นาทีสุดท้ายของเวลาปกติ เด็กหนุ่มจากฮายตันคนหนึ่งถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทน เวการ์ด เฮกเกม แบ็คขวาชาวนอร์เวย์ เด็กคนนั้นชื่อ สตีเวน เจอร์ราร์ด…
นั่นเองที่เป็นจุดเริ่มต้นของตำนานบทใหม่แห่งแอนฟิลด์…
ถัดจากวันนั้นเพียง 6 วัน เจอร์ราร์ดก็ได้โอกาสลงเล่นตัวจริงในทีมชุดใหญ่เป็นครั้งแรก ในเกมเยือนสเปอร์ส ที่ไวท์ ฮาร์ท เลน เขาต้องประกบปีกจอมพริ้วชาวฝรั่งเศสอย่าง ดาวิด ชิโนลา ซึ่งลิเวอร์พูลพ่ายไป 1-2 และเจอร์ราร์ดก็เล่นไม่ดีเอาเสียเลย และเขาเองก็คิดว่ามันอาจเป็นการทำลายโอกาสในทีมชุดใหญ่ของเขาเสียแล้ว แต่มันคงเป็นโชคชะตาของเขาจริงๆ เพราะเขายังได้โอกาสลงเล่นตัวจริงต่อเป็นเกมที่ 2 กับเซลตา บีโก ทีมจากสเปน ที่แอนฟิลด์ ในรายการแชมเปียนส์ลีก อันเนื่องมาจากลิเวอร์พูลนั้นหมดลุ้นแล้ว และกองกลางตัวหลักก็ติดโทษแบนบ้าง มีอาการบาดเจ็บบ้าง ซึ่งคราวนี้ เขาได้ลงเล่นในตำแหน่งถนัดเป็นครั้งแรก นั่นคือ มิดฟิลด์ตัวกลาง
ลิเวอร์พูลแพ้คาบ้านไป 0-1 แต่แฟนบอลลิเวอร์พูลและหนังสือพิมพ์ได้หันมาจับตามองมิดฟิลด์วัย 18 ปี ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่น เป็นครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นพาดหัวหนังสือพิมพ์ จากนั้นเขาก็ไม่เคยต้องกลับไปเล่นในทีมสำรองของสโมสรอีกเลย
1 ปีถัดมา ในวันที่ 5 ธันวาคม 1999 ลิเวอร์พูลพบเชฟฟิลด์ เวนสเดย์ ที่แอนฟิลด์ เจอร์ราร์ดได้ลงตัวจริงและสามารถทำประตูแรกในสีเสื้อลิเวอร์พูลได้สำเร็จในที่สุด
จนถึงวันนี้ เจอร์ราร์ดลงเล่นให้ลิเวอร์พูลไปแล้วกว่า 600 เกม ยิงประตูมาแล้วมากกว่า 150 ประตู และแอสซิสอีกมากมาย ตลอดระยะเวลาเกือบ 15 ปี เขาทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อทีมและสโมสร ทั้งยิงประตูสำคัญที่ช่วยฉุดทีมขึ้นมาจากความพ่ายแพ้ จ่ายบอลทะลุช่องงามๆที่เรียกได้ว่าเป็นลูกถวายพานให้เพื่อนร่วมทีม และช่วยบล็อกลูกยิงไม่ให้ทีมเสียประตู
สำหรับตำแหน่งกัปตันทีมลิเวอร์พูล เจอร์ราร์ดได้รับมอบปลอกแขนตำแหน่งกัปตันทีมลิเวอร์พูลต่อจาก ซามี ฮูเปีย ในเดือนตุลาคม ปี 2003 เชรา อุลลิเยร์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในขณะนั้น กล่าวกับเขาว่า “มันถึงเวลาแล้วที่เธอควรจะได้รับการสืบทอดตำแหน่งกัปตันทีมของสโมสรแห่งนี้” …นั่นแปลว่าเมื่อถึงเดือนตุลาคมปีนี้ เขาจะสวมปลอกแขนกัปตันครบ 10 ปี
มันคงเป็นอีกช่วงเวลาแห่งความยินดีของเหล่าสาวกลิเวอร์พูลทุกคนอย่างแน่นอน
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น กัปตันทีมของเราจะได้รับเกียรติจากสโมสร โดยการจัดเทสติโมเนียล แมตซ์ให้ในวันที่ 3 สิงหาคม 2013 โดยเป็นเกมที่ลิเวอร์พูลจะพบกับโอลิมเปียกอส อีกครั้ง…
ทำไมถึงเป็นโอลิมเปียกอส…
หลายคนคงยังจำเกมนัดสุดท้ายในรอบแบ่งกลุ่ม รายการยูฟา แชมเปียนส์ลีก เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2004 ได้ หากลิเวอร์พูลอยากเข้ารอบ ต้องเอาชนะด้วยสกอร์ 1-0 หรือไม่ก็ยิงมากกว่าคู่แข่ง 2 ประตูขึ้นไป ซึ่งแม้ลิเวอร์พูลจะพยายามบุกหนัก แต่กลับกลายเป็นโอลิมเปียกอสที่ทำประตูขึ้นนำได้ก่อน จากลูกฟรีคิกของริวัลโด ทำให้สถานการณ์ของลิเวอร์พูลเลวร้ายมากขึ้น เนื่องจากต้องยิงคืนให้ได้ถึง 3 ประตู มิฉะนั้นจะตกรอบแบ่งกลุ่มทันที
การผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายในรายการยูฟา แชมเปียนส์ลีก คือ หนึ่งในความฝันของเจอร์ราร์ด และหากเขาทำไม่สำเร็จกับลิเวอร์พูลแล้ว ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขาจะคิดย้ายออกไปหาความสำเร็จในอาชีพกับทีมอื่น …เชลซี คือหนึ่งในนั้น และเป็นที่รู้กันว่า โฆเซ มูรินโญ ผู้จัดการทีมเชลซีในขณะนั้นอยากได้กัปตันทีมลิเวอร์พูลไปร่วมทีมของเขาเป็นที่สุด และแม้เมื่อเขาย้ายไปคุมทีมอย่างเรอัล มาดริด ก็ยังคงไม่ละความพยายาม
กลับไปที่เหตุการณ์ในเกมกับโอลิมเปียกอส …ราฟา เบนิเตซ เปลี่ยนตัวสำรองในครึ่งหลัง และได้ประตูตีเสมออย่างรวดเร็วในนาทีที่ 46 จากฟลอรอง ซินีมา ปองโกล์ และขึ้นนำ 2-1 ในนาทีที่ 80 จากนีล เมลเลอร์ แต่แค่นี้ยังไม่พอให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบ เพราะเราต้องการอีก 1 ประตู
…และในนาทีที่ 86 เจอร์ราร์ดก็จัดการซัดประตูชัยแห่งความทรงจำ ประตูที่เปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง ประตูที่ทำให้ลิเวอร์พูลเข้ารอบและต่อสู้ฝ่าฟันไปจนถึงนัดชิง และได้แชมป์ มันเป็นเกมที่มีความหมายต่อเขาโดยส่วนตัวและมีความหมายต่อประวัติศาสตร์สโมสรอย่างแท้จริง
แล้วเราจะได้เห็นเกมแห่งเกียรติยศของกัปตันกับทีมโอลิมเปียกอสอีกครั้ง…
เจอร์ราร์ดมักพูดเสมอว่า ตัวเขาเองใช้ชีวิตตามความฝัน …ความฝันอันน่ามหัศจรรย์ เขาอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ เขาได้เป็น เขาอยากเป็นกัปตันทีมลิเวอร์พูล เขาได้เป็น เขาอยากพาทีมเป็นแชมป์ เขาได้ทำ ที่สำคัญ มันเป็นฝันที่เป็นจริงกับทีมที่รัก ที่ตามเชียร์มาตั้งแต่เด็ก
แต่ก็ใช่ว่าการเดินตามความฝันของเขาจะมีแต่เส้นทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไป หลายครั้งที่เขาต้องพบกับอุปสรรค บางครั้งก็หนักหนาสาหัสไม่น้อย
ในวัยเด็ก เขาเคยได้รับอุบัติเหตุจนเกือบถูกตัดนิ้วหัวแม่เท้าขวา เขาถูก ลีลล์แชล สถาบันสอนฟุตบอลแห่งชาติตอบปฏิเสธ ทำให้โอกาสในการติดทีมชาติชุดเยาวชนต้องล่าช้าออกไป ในช่วงที่กำลังจะได้ขึ้นทีมชุดใหญ่ เขามีปัญหาบาดเจ็บที่บริเวณหลัง อันเนื่องมาจากส่วนสูงที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินไป เขาเคยมีปัญหากับการเข้าสกัดบอลในยามที่เล่นเกมรับ ที่เราทุกคนน่าจะรู้จักดีกับท่าเสียบ “ขาคู่” ที่ทำให้เขาโดนใบแดงไปหลายใบ และเขาเคยได้รับบาดเจ็บจนทำให้อดไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายเมื่อปี 2002 ที่เปเล่ ตำนานลูกหนังชาวบราซิลถึงกับออกปากว่า
“เจอร์ราร์ดเป็นนักฟุตบอลที่ดีที่สุดที่ไม่ได้อยู่ในฟุตบอลโลกครั้งนี้”
ในปี 2004 และ 2005 เขาต้องพบกับทางแยกของชีวิต เมื่อต้องเลือกระหว่าง โอกาสเป็นแชมป์ลีกกับหัวใจของตัวเอง
ขณะที่กำลังจะย้ายไปเชลซีอยู่รอมร่อ ด้วยความทะเยอทะยานที่แรงกล้าที่สุดในชีวิต คือ โอกาสในการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ในที่สุดแล้ว สิ่งที่แรงกล้ายิ่งกว่าความทะเยอทะยานในการเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีก ก็คือ ความรักและผูกพันที่เขามีต่อสโมสรลิเวอรพูลนี่เอง
ในห้วงเวลาแห่งความสับสนอันเกิดจากความเข้าใจผิดคิดว่า สโมสรอาจจะอยากขายเขาเพื่อเงินก้อนโต เจอร์ราร์ดขึ้นบัญชีขอย้ายทีม แฟนบอลช็อกและมีคนออกมาเผาเสื้อเบอร์ 17 ที่เขาเคยใส่หน้าสโมสร มันอาจเป็นภาพที่สร้างความเจ็บปวดที่สุด แต่คุณพ่อของกัปตันก็ยังยืนกรานกับลูกชายคนเล็กว่า
“อย่าจากสโมสรที่แกรักไปเลย”
…กัปตันเล่าในหนังสืออัตชีวประวัติส่วนตัวว่า ‘ผมจะใส่เสื้อเชลซี และกลับมายืนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับแฟนลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ได้อย่างไร ผมเห็นโอกาสอันมากมายกับเชลซี แต่หัวใจของผมไม่ยอมให้ผมไปจากลิเวอร์พูล…’
ถ้าเขาย้ายไปเชลซี เขาได้แชมป์ลีก เขาจะเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้แชมป์รายการหลักทั้งในประเทศและในยุโรปครบทุกรายการ แต่เขาทิ้งโอกาสนั้นไป และไม่เคยหันกลับไปคิดถึงมันอีกเลย
สิ่งที่ผูกรัดเจอร์ราร์ดไว้ สิ่งที่ทำให้เขาหันกลับมา คือ ความรักและผูกพันที่มีต่อสโมสรลิเวอร์พูล…
จากนั้นมันไม่เคยมีข้อสงสัยในข่าวลือใดๆที่เกี่ยวข้องกับการย้ายทีมของเขาสำหรับเราอีกแล้ว เพราะเขาจะไม่มีวันจากไปไหน หากว่าสโมสรแห่งนี้ยังต้องการเขาอยู่
นักเตะชั้นนำโดนทั่วไป มักมีความทะเยอทะยานที่จะประสบความสำเร็จ เจอร์ราร์ดเองก็มีความทะเยอทะยานอยู่ตลอดเวลา อาจมีบางคนมองว่าเขาตัดสินใจผิดที่ไม่ย้ายออกไปหาความสำเร็จให้ตัวเอง แต่คนเหล่านั้นไม่มีวันเข้าใจว่ามันมีบางสิ่งที่มีคุณค่ากว่าความสำเร็จส่วนตัว กัปตันเคยพูดไว้ว่า
“ผู้คนข้างนอกนั่น คนที่ไม่ได้มีความผูกพันกับสโมสรอย่างที่ผมมีอาจจะไม่เข้าใจ พวกเขาอาจะตัดสินและพูดได้ว่า ผมจะสามารถเป็นแชมป์และหาเงินได้มากกว่านี้ถ้าผมย้ายออกไปที่ไหนก็ตาม แต่นั่นมันไม่ได้สำคัญสำหรับผมเลย เพราะผมยังคงรู้สึกอยู่เสมอว่า ผมสามารถจะเป็นแชมป์กับลิเวอร์พูลได้อีก และถ้าผมทำได้ พวกเขาจะเข้าใจว่ามันมีความหมายมากมายขนาดไหนต่อผม”
เจอร์ราร์ดอาจไม่ใช่นักเตะที่จะได้แชมป์มากที่สุดในโลก ไม่ใช่นักเตะที่มีคนชื่นชมมากที่สุดในโลก ไม่ใช่นักเตะที่ได้รับการยกย่องมากที่สุดในโลก แต่เราเชื่อเหลือเกินว่า เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่มีความสุขที่สุดในโลกอย่างแน่นอน
…ความสุขจากการแบ่งปันความสำเร็จร่วมกับทีมอันเป็นที่รัก แฟนบอลอันเป็นที่รัก และครอบครัวอันเป็นที่รัก
อุปสรรคในอาชีพล่าสุดของเขา คือ เมื่อปี 2011 เจอร์ราร์ดต้องรับการผ่าตัดโคนขาหนีบ ซึ่งไม่ได้เล่นฟุตบอลเป็นระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดในชีวิต แต่เรื่องแย่ยังไม่จบเพียงแค่นั้น หลังจากกลับมาลงตัวจริงเพียง 2 นัดเมื่อเดือนตุลาคม 2011 มันก็มีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อเขาเกิดอุบัติเหตุกับข้อเท้าของเขา ตอนซ้อมก่อนเกมไปเยือนเวสบรอมวิช อัลเบียน ซึ่งมันทำให้ข้อเท้าของเขาติดเชื้อ ความเลวร้ายของมันถึงขั้นที่อาจทำให้เขาต้องเลิกเล่นฟุตบอลไปเลยถ้าหากไปโรงพยาบาลไม่ทัน เขาพูดถึงเรื่องนี้ว่า
“การบาดเจ็บและไม่ได้ลงเล่นมันทำให้ผมหวงแหนอาชีพนี้มากขึ้นและเข้าใจว่าตัวเองโชคดีแค่ไหนที่ได้ใช้เกิดมาเป็นนักฟุตบอล และผมจะสนุกกับทุกนาทีที่เหลืออยู่ในอาชีพของผมให้มากที่สุด…”