สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 2
เคยเห็นคนเอา essays มาแปะใน pantip ให้ตรวจแก้บ่อยๆ ส่วนใหญ่ต้องแก้เกือบทุกประโยค นานๆทีจะมีคนเขียนเก่งพอใช้ได้มาแปะ essays ให้แก้ แต่บางทีก็มีคนเก่งระดับเซียนแกล้งแปะข้อความภาษาอังกฤษที่เขียนได้สวยงามเป็นธรรมชาติไม่มีที่ติใน pantip เพื่อหลอกให้คนอ่อนหัด (ที่อยากโชว์ฟอร์ม) แก้จากถูกเป็นผิดเล่นสนุกๆ (สงสัยจะว่างมาก หาเรื่องนั่งแอบหัวเราะเยาะคนที่หน้าแหก คงเป็นพวก sadists...555+++...)
ถ้าผู้เรียนอ่อนขนาดเขียนมาต้องแล้วแก้เกือบทุกประโยคเลย แล้วมีนักเรียนแบบนี้ใน class แค่ 20 คนนะ เราว่าครูที่สอนกว่าจะตรวจแก้ให้นักเรียนครบหมดครูคงเครียดจนไปผูกคอตายซะก่อน...555+++...
เมื่อก่อนเรารับสอนภาษาอังกฤษแบบสุ่มเอา คือรับมาหลายระดับ แล้วจากนักเรียนตั้งหลายร้อยคนนะ จะเจอนักเรียนหลงมาแค่คนเดียวที่พูดอังกฤษไม่มีผิด grammar เลย แถมยังทำข้อสอบ error identification ของ toefl ถูกหมดทุกข้อด้วยดิ ที่เธอมาเรียน writing เพราะเธอเขียนภาษาอังกฤษได้เป็นธรรมชาติก็จริง แต่เธอเขียนแบบเด็กๆเขียน มันดูไม่สวยงามพอที่จะนำไปใช้งานในระดับที่ต้องการสร้างความประทับใจให้คนอ่านได้ นักเรียนแบบนี้สิเรียน writing ได้ง่าย สอนเรื่องราวเกี่ยวกับ clauses และวิธีใช้ punctuation กับสอน sentence structure types ได้เลย นั่นคือสอนทฤษฎี จากนั้นก็สอนปฏิบัติโดยการหา writing templates (เป็นตัวอย่าง paragraphs สวยๆที่ฝรั่งเขียนไว้เป็นตัวอย่าง) มาให้นักเรียนหัดเขียนใหม่พลิกแพลงกลับไปกลับมาหลายๆรูปแบบ บางทีก็ใช้บทเรียนแบมีภาพจำลองเหตุการณ์ให้นักเรียนดู แล้วให้นักเรียน discuss ก่อน แล้วค่อยเขียนภาษาอังกฤษแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น และมีแบบฝึกหัดดีๆอย่างอื่นอีกมากมาย
^
แต่คนที่ภาษาอังกฤษยังพูดฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เขียนประโยคง่ายๆผิดเละ สอนแบบนี้ไม่ได้ผลหรอก เรียนไปจบมาก็ไม่ได้อะไร คือก่อนที่จะขยับไปสอนในระดับ syntactic level มันต้องสอนกันตั้งแต่ระดับ lexical level ซะก่อน นั่นก็คือ
"ต้องล้างสมองนักเรียนซะก่อนว่า ไอ้คำศัพท์ที่อยู่ในสมองคุณน่ะ คุณเรียนมาโดยการท่องศัพท์เป็นคำๆโดด (โดยจำคำแปลเป็นภาษาไทย) แต่ไม่เคยจำคำศัพท์เป็นตัวอย่างประโยคพลิกแพลงหลายๆประโยคต่อคำศัพท์แต่ละคำ คราวนี้ต้องเริ่มเรียนคำศัพท์ใหม่ อย่างน้อยที่สุด 5,000 คำที่ใช้กันเยอะที่สุด โดยต้องจำ meanings เป็นภาษาอังกฤษและจำตัวอย่างประโยคพลิกแพลงค่อนข้างมาก แล้วจำนวน permutations มันจะออกมาตั้งเท่าไหร่...!!???"
^
จริงๆแล้วครูที่เก่งๆจะมีวิธีสอน เช่นใช้ computer software ช่วยทุ่นแรง และสอนเคล็ดลับในการจำ
^
นี่คือจุดยากที่สุดในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เพราะคำศัพท์ส่วนใหญ่ไม่ได้แปลเป็นคำๆโดดๆ แต่มันแปลเป็นกลุ่มคำ เมื่อเปลี่ยนกลุ่มคำไปคำศัพท์ก็เปลี่ยนความหมายไปเรื่อยๆ
การล้างสมองนักเรียนที่อ่อน writing มากๆ ให้หันมาเปลี่ยนวิธีเรียนให้ครบองค์ประกอบ โดยในแต่ละ session (รอบการสอน) ต้องสอน interactive communication โดยสอนทักษะให้ครบ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน (สอนเขียนประโยคง่ายๆ จากการเรียนศัพท์โดยการจำ meanings เป็นภาษาอังกฤษและจำตัวอย่างประโยค) grammar (สอน grammar โดยไม่อธิบายกฎ grammar แต่สอนให้นักเรียนฟังแล้วพูดประโยคพลิกกลับไปกลับมาจนนักเรียนพัฒนา "สัมผัสพิเศษ" ที่ใช้หยั่งรู้ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก) phonetics (สอนออกแนว pronunciation workshop) improvisation and role play และอื่นๆ
^
เราว่าถ้านักเรียนที่อ่อน writing มากๆ โดนล้างสมองมาโดยการโดนสอนแบบนี้สักระยะหนึ่งนะ นักเรียนจะขยับไปเรียน writing ยากๆได้ง่ายขึ้น
เหตุผลก็คือ
"เขาเรียน interactive communication มามากพอที่จะ คิดเป็นภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติได้แล้ว"
^
แต่ในทางกลับกัน นักเรียนที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษโดยการเรียน intensive grammar ซึ่งต้องนั่งฟังครูอธิบายกฎ grammar ยาวๆเป็นภาษาไทย (ซึ่งเรียกว่า passive learning) โดยที่นักเรียนไม่เคยฝึกฟังฝึกพูดภาษาอังกฤษ แล้วนักเรียนก็ท่องศัพท์เป็นคำๆโดดเป็นจำนวนมาก (โดยจำคำแปลเป็นภาษาไทย)...บางคนท่องมากระดับแปลหนังสือภาษาอังกฤษเป็นอาชีพได้เลย...แต่พอเขียนภาษาอังกฤษกลายเป็นเขียนออกมาไม่เป็นภาษาคน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านักเรียนแบบนี้ learn to understand แต่ไม่เคย learn to compose ต่อให้เรียน writing เรียนจบมาก็ยังเขียนไม่เป็นภาษาคนอีกนั่นแหละ เหตุผลก็เพราะว่านักเรียนประเภทนี้ยังคิดเป็นภาษาอังกฤษไม่เป็น ทำให้ต้องคิดเป็นไทยก่อนแล้วแปลเป็นอังกฤษ (มันก็เลยผิดธรรมชาติ) และใช้ภาษาอังกฤษผิดในระดับ lexical level ถ้าไปเรียน writing ในระดับ syntactic level มันเป็นการกระโดดข้ามขั้น เรียนไปยังไง จบมาก็เขียนผิดธรรมชาติอยู่ดีนั่นแหละ
ดังนั้นก่อนลงเรียนหลักสูตร writing ควรสำรวจตัวเองว่าตอนนี้เขียนได้ดีขนาดไหน แล้วสำรวจดูด้วยว่าเนื้อหาหลักสูตร offer solutions ที่แก้ไขจุดอ่อนและข้อบกพร่องของคุณได้หรือเปล่า ถ้าขนาดเขียนผิดธรรมชาติเละจนต้องแก้กันยืบยั่บเกือบทุกประโยคละก็ รับรองว่าการเรียนโดยเขียนออกมาให้ครูแก้นั้น มันไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้เลย
^
ถ้าไม่เชื่อก็ลองคำนวณ probability ของ non-native speaker's errors ที่คุณจะสร้างมันขึ้นมาทั้งในระดับ lexical level กับ syntactic level ดิ จะเห็นได้ว่าตัวเลข probability มันจะมีขนาดใหญ่ที่น่าตกใจมากๆ! นั่นก็คือไม่มีครูเทวดาที่ไหนจะ exhaust all possibilities (หาความเป็นไปได้ทั้งหมด) ของ errors แล้วแก้มัน (เยียวยา) ให้ครบหมดได้ภายใน 1 หลักสูตร writing หรอก
ถ้าผู้เรียนอ่อนขนาดเขียนมาต้องแล้วแก้เกือบทุกประโยคเลย แล้วมีนักเรียนแบบนี้ใน class แค่ 20 คนนะ เราว่าครูที่สอนกว่าจะตรวจแก้ให้นักเรียนครบหมดครูคงเครียดจนไปผูกคอตายซะก่อน...555+++...
เมื่อก่อนเรารับสอนภาษาอังกฤษแบบสุ่มเอา คือรับมาหลายระดับ แล้วจากนักเรียนตั้งหลายร้อยคนนะ จะเจอนักเรียนหลงมาแค่คนเดียวที่พูดอังกฤษไม่มีผิด grammar เลย แถมยังทำข้อสอบ error identification ของ toefl ถูกหมดทุกข้อด้วยดิ ที่เธอมาเรียน writing เพราะเธอเขียนภาษาอังกฤษได้เป็นธรรมชาติก็จริง แต่เธอเขียนแบบเด็กๆเขียน มันดูไม่สวยงามพอที่จะนำไปใช้งานในระดับที่ต้องการสร้างความประทับใจให้คนอ่านได้ นักเรียนแบบนี้สิเรียน writing ได้ง่าย สอนเรื่องราวเกี่ยวกับ clauses และวิธีใช้ punctuation กับสอน sentence structure types ได้เลย นั่นคือสอนทฤษฎี จากนั้นก็สอนปฏิบัติโดยการหา writing templates (เป็นตัวอย่าง paragraphs สวยๆที่ฝรั่งเขียนไว้เป็นตัวอย่าง) มาให้นักเรียนหัดเขียนใหม่พลิกแพลงกลับไปกลับมาหลายๆรูปแบบ บางทีก็ใช้บทเรียนแบมีภาพจำลองเหตุการณ์ให้นักเรียนดู แล้วให้นักเรียน discuss ก่อน แล้วค่อยเขียนภาษาอังกฤษแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น และมีแบบฝึกหัดดีๆอย่างอื่นอีกมากมาย
^
แต่คนที่ภาษาอังกฤษยังพูดฟังไม่ค่อยรู้เรื่อง เขียนประโยคง่ายๆผิดเละ สอนแบบนี้ไม่ได้ผลหรอก เรียนไปจบมาก็ไม่ได้อะไร คือก่อนที่จะขยับไปสอนในระดับ syntactic level มันต้องสอนกันตั้งแต่ระดับ lexical level ซะก่อน นั่นก็คือ
"ต้องล้างสมองนักเรียนซะก่อนว่า ไอ้คำศัพท์ที่อยู่ในสมองคุณน่ะ คุณเรียนมาโดยการท่องศัพท์เป็นคำๆโดด (โดยจำคำแปลเป็นภาษาไทย) แต่ไม่เคยจำคำศัพท์เป็นตัวอย่างประโยคพลิกแพลงหลายๆประโยคต่อคำศัพท์แต่ละคำ คราวนี้ต้องเริ่มเรียนคำศัพท์ใหม่ อย่างน้อยที่สุด 5,000 คำที่ใช้กันเยอะที่สุด โดยต้องจำ meanings เป็นภาษาอังกฤษและจำตัวอย่างประโยคพลิกแพลงค่อนข้างมาก แล้วจำนวน permutations มันจะออกมาตั้งเท่าไหร่...!!???"
^
จริงๆแล้วครูที่เก่งๆจะมีวิธีสอน เช่นใช้ computer software ช่วยทุ่นแรง และสอนเคล็ดลับในการจำ
^
นี่คือจุดยากที่สุดในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เพราะคำศัพท์ส่วนใหญ่ไม่ได้แปลเป็นคำๆโดดๆ แต่มันแปลเป็นกลุ่มคำ เมื่อเปลี่ยนกลุ่มคำไปคำศัพท์ก็เปลี่ยนความหมายไปเรื่อยๆ
การล้างสมองนักเรียนที่อ่อน writing มากๆ ให้หันมาเปลี่ยนวิธีเรียนให้ครบองค์ประกอบ โดยในแต่ละ session (รอบการสอน) ต้องสอน interactive communication โดยสอนทักษะให้ครบ คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน (สอนเขียนประโยคง่ายๆ จากการเรียนศัพท์โดยการจำ meanings เป็นภาษาอังกฤษและจำตัวอย่างประโยค) grammar (สอน grammar โดยไม่อธิบายกฎ grammar แต่สอนให้นักเรียนฟังแล้วพูดประโยคพลิกกลับไปกลับมาจนนักเรียนพัฒนา "สัมผัสพิเศษ" ที่ใช้หยั่งรู้ได้ว่าอะไรผิดอะไรถูก) phonetics (สอนออกแนว pronunciation workshop) improvisation and role play และอื่นๆ
^
เราว่าถ้านักเรียนที่อ่อน writing มากๆ โดนล้างสมองมาโดยการโดนสอนแบบนี้สักระยะหนึ่งนะ นักเรียนจะขยับไปเรียน writing ยากๆได้ง่ายขึ้น
เหตุผลก็คือ
"เขาเรียน interactive communication มามากพอที่จะ คิดเป็นภาษาอังกฤษอย่างเป็นธรรมชาติได้แล้ว"
^
แต่ในทางกลับกัน นักเรียนที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษโดยการเรียน intensive grammar ซึ่งต้องนั่งฟังครูอธิบายกฎ grammar ยาวๆเป็นภาษาไทย (ซึ่งเรียกว่า passive learning) โดยที่นักเรียนไม่เคยฝึกฟังฝึกพูดภาษาอังกฤษ แล้วนักเรียนก็ท่องศัพท์เป็นคำๆโดดเป็นจำนวนมาก (โดยจำคำแปลเป็นภาษาไทย)...บางคนท่องมากระดับแปลหนังสือภาษาอังกฤษเป็นอาชีพได้เลย...แต่พอเขียนภาษาอังกฤษกลายเป็นเขียนออกมาไม่เป็นภาษาคน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่านักเรียนแบบนี้ learn to understand แต่ไม่เคย learn to compose ต่อให้เรียน writing เรียนจบมาก็ยังเขียนไม่เป็นภาษาคนอีกนั่นแหละ เหตุผลก็เพราะว่านักเรียนประเภทนี้ยังคิดเป็นภาษาอังกฤษไม่เป็น ทำให้ต้องคิดเป็นไทยก่อนแล้วแปลเป็นอังกฤษ (มันก็เลยผิดธรรมชาติ) และใช้ภาษาอังกฤษผิดในระดับ lexical level ถ้าไปเรียน writing ในระดับ syntactic level มันเป็นการกระโดดข้ามขั้น เรียนไปยังไง จบมาก็เขียนผิดธรรมชาติอยู่ดีนั่นแหละ
ดังนั้นก่อนลงเรียนหลักสูตร writing ควรสำรวจตัวเองว่าตอนนี้เขียนได้ดีขนาดไหน แล้วสำรวจดูด้วยว่าเนื้อหาหลักสูตร offer solutions ที่แก้ไขจุดอ่อนและข้อบกพร่องของคุณได้หรือเปล่า ถ้าขนาดเขียนผิดธรรมชาติเละจนต้องแก้กันยืบยั่บเกือบทุกประโยคละก็ รับรองว่าการเรียนโดยเขียนออกมาให้ครูแก้นั้น มันไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จได้เลย
^
ถ้าไม่เชื่อก็ลองคำนวณ probability ของ non-native speaker's errors ที่คุณจะสร้างมันขึ้นมาทั้งในระดับ lexical level กับ syntactic level ดิ จะเห็นได้ว่าตัวเลข probability มันจะมีขนาดใหญ่ที่น่าตกใจมากๆ! นั่นก็คือไม่มีครูเทวดาที่ไหนจะ exhaust all possibilities (หาความเป็นไปได้ทั้งหมด) ของ errors แล้วแก้มัน (เยียวยา) ให้ครบหมดได้ภายใน 1 หลักสูตร writing หรอก
แสดงความคิดเห็น
เรียนพิเศษwritingภาษาอังกฤษที่ไหนดี ขอแนวแบบเขียนบทความแล้วมีคนตรวจให้เราได้
อยากรู้ว่าควรไปเรียนสภาบันไหน ครอสอะไร
ขอในกรุงเทพนะ ขอราคาไม่แพงมาก
ย้อนไปดูกระทู็เก่าๆมาบ้างแล้ว แต่อยากได้คำแนะนำใหม่ๆประกอบการตัดสินใจ