เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ประจำป้อมตำรวจทุ่งเสี้ยว อ.สันป่าตอง จ.เขียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2556 สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลาประมาณ 15.00น. ผมได้ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนที่บริเวณหน้าร้านเซเว่นทุ่งเสี้ยวห่างจากป้อมตำรวจประมาณ 30 เมตร ระหว่างที่ผมเดินทางจะไปซื้อของที่เซเว่น ซึ่งผมต้องอยู่เลนกลางเพื่อข้ามไปนั้น มีรถยนต์จอดอยู่เพื่อให้ผมข้ามและให้คนข้ามถนนข้าม ซึ่งเป็นเส้นทางสวนกันและไฟเขียวทั้งคู่ ระหว่างที่ผมขี่จักรยานยนต์ข้ามก็มีจักรยานยนต์อีกคันแซงซ้ายรถยนต์ที่จอดให้ทางผมมาพุ่งชนตรงกลางรถผมซึ่งก็ล้มลงทั้งสองคัน แต่คันที่ชนผมน่าจะเจ็บกว่าทุกคนก็รุมไปดูอาการของน้องคนที่มาชนผมโดยผมและแฟนก็ลุกขึ้นเองเพราะไม่เป็นไรมาก โดยหลังเกิดเหตุก็มีเจ้าพนักงานสองคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้นมาตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยคนหนึ่งแต่งชุดเครื่องแบบและอีกคนสวมครึ่งท่อน คนที่ใส่ชุดเครื่องแบบมาถึงก็มาตรวจความเสียหายแล้วก็บอกให้ผมไปเครียกับคู่กรณี ผมจึงตอบไปว่า “ผมไม่รู้จะเครียยังไงเพราะถ้าผมพูด ผมก็ต้องพูดเข้าข้างตัวเองว่าผมไม่ผิด ผมคิดว่าควรมีคนกลางในการไกล่เกลี่ย” หลังจากที่ผมพูดจบ ตำรวจที่แต่งเครื่องแบบก็ไปบอกให้พลเมืองดีคนหนึ่ง(ไทยมุง)ซึ่งไม่เห็นเหตุการณ์มาเป็นคนไกล่เกลี่ย แล้วตำรวจที่แต่งเครื่องแบบก็ไม่ทำอะไรอีกเลยนอกจากถ่ายรูปแล้วก็เดินจากไป ส่วนตำรวจอีกคนที่สวมครึ่งท่อนและพลเมืองดี(ที่ได้รับมอบหมายให้ไกล่เกลี่ย)ก็ไปสอบถามคู่กรณีของผมซึ่งเป็นน้องผู้หญิงประมาณว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นยังไง เจ็บตรงไหน คอมฯของน้องเสียมั้ย น้องคู่กรณีตอบว่า “น้องไม่เป็นไรค่ะ คอมก็ไม่เสียค่ะ” ตำรวจที่สวมครึ่งท่อนพูด "ลองเปิดดูก่อนเดี๋ยวถ้าไปถึงบ้านแล้วเปิดไม่ออกจะไม่มีคนรับผิดชอบ" น้องเค้าก็เปิดดูแล้วและก็ไม่เป็นไร ตำรวจที่สวมครึ่งท่อนถามต่อว่า “น้องจะเอาเรื่องมั้ย” น้องผู้หญิงตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” แล้วตำรวจคนนั้นก็เดินมาบอกผมกับแฟนว่า “น้องเค้าไม่เอาเรื่องเดี๋ยวก็แยกย้ายกันกลับ” อ้าวผมถึงกับงงเลยคุณตำรวจไม่ถามผมสักคำแล้วสรุปเรื่องตามที่น้องเค้าเล่าทุกอย่างทั้งๆที่น้องเขาแซงซ้ายมาชนผม แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่าไม่เป็นไร ไหนๆก็จะแยกย้ายกันล่ะ แล้วคุณตำรวจก็มาขอดูบัตรประจำตัวประชาชนและเบอร์โทรศัพท์ของผมไป ผมก็ให้ไปนึกว่ามันจะจบ แต่บังเอิญว่ารถน้องเค้าไม่สามารถขับขี่จึงต้องเรียกช่างมาเรื่องก็เลยยาวเลย หลังจากที่ตรวจสภาพรถอีกครั้งแล้วคุณตำรวจที่ส่วมเครื่องแบบแค่ครึ่งท่อนก็เดินมาบอกว่า “เดี๋ยวช่างจะยกรถน้องเค้าไปซ่อมที่ร้าน ถ้าเสร็จแล้วยังไงคุณก็ออกค่าใช้จ่ายให้เค้านะ” ผมถึงกลับงงเลย แฟนผมทนไม่ไหวจึงพูดระบายอารมณ์กับคุณตำรวจต่อหน้าสาธารณชนไทยมุงทั้งหลาย “คุณตำรวจค่ะ ตอนนี้คือน้องเป็นคนผิดหรอค่ะ ทำไมไม่มีใครมาสนใจสอบถามสักคำ โทรศัพท์ก็ตกลงไหนในท่อน้ำ เท้าก็เจ็บ ไม่เห็นจะมีใครมาสนใจ” คุณตำรวจจึงตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครผิด” อ้าว!! สรุปคืออะไรยังไง แล้วพลเมืองดีก็บอกว่าผมผิดเนื่องจากผมตัดหน้าน้องเค้า ผมก็ไม่รู้นะว่าใครผิดแต่คิดแล้วก็รู้สึกว่าตำรวจไม่ทำหน้าที่ที่ควรจะทำ แล้วเรื่องก็วุ่นวาย โดยทั้งสองฝ่ายก็ไปเถียงกันต่อที่ร้านซ่อมรถเพราะรถของผมก็ต้องซ่อมเหมือนกัน โดยฝ่ายคู่กรณีก็อ้างว่าเมื่อกี้ตำรวจบอกว่าฝ่ายผมจะรับผิดชอบให้ ฝ่ายผมก็บอกว่าน้องเค้าเป็นคนผิดดังนั้นก็ต่างคนต่างซ่อม เถียงกันไปเถียงกันมาตกลงไม่ได้(ณ ตอนนี้ตำรวจไม่อยู่ด้วย แล้วญาติของทั้งสองฝ่ายก็มารับลูกหลาน) ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงว่าโทรให้คุณตำรวจที่แม่ผมรู้จักมาเครียให้คนแรกบอกว่าอยู่คนละเขตกัน(ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้กัน) โทรหาตำรวจคนที่สองบอกว่าต้องแจ้งความ ถ้าไม่แจ้งก็จะไม่มา ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะผมคิดว่าถ้าตำรวจมาแล้วยังตกลงกันไม่ได้เราก็ไปดูกล้องวงจรที่ติดอยู่จะได้รู้ว่าใครถูกใครผิด แต่ตำรวจก็ไม่มาบวกกับทั้งสองฝ่ายก็เริ่มมีอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ แม่ผมจึงบอกว่าช่างมันเถอะรับผิดชอบก็ได้ถือว่าฟาดเคราะห์ไป แล้วอีกฝ่ายก็บอกว่าค่าคอมฯล่ะ อ้าว! ผมจึงเถียงไปว่าแล้วค่าโทรศัพท์ล่ะ เกือบจะมีการวางมวยใส่กันทั้งสองฝ่าย แม่ผมเห็นว่าเริ่มไม่ดีจึงบอกให้ฝ่ายผมกลับ แล้วผมอยากถามว่าเหตุการณ์แบบนี้ใครผิด
จากเหตุการณ์นี้อยากทราบว่า ทางกฎหมายนั้นใครเป็นคนผิด
เรื่องการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานที่ประจำป้อมตำรวจทุ่งเสี้ยว อ.สันป่าตอง จ.เขียงใหม่ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2556 สืบเนื่องมาจากเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2556 เวลาประมาณ 15.00น. ผมได้ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ชนที่บริเวณหน้าร้านเซเว่นทุ่งเสี้ยวห่างจากป้อมตำรวจประมาณ 30 เมตร ระหว่างที่ผมเดินทางจะไปซื้อของที่เซเว่น ซึ่งผมต้องอยู่เลนกลางเพื่อข้ามไปนั้น มีรถยนต์จอดอยู่เพื่อให้ผมข้ามและให้คนข้ามถนนข้าม ซึ่งเป็นเส้นทางสวนกันและไฟเขียวทั้งคู่ ระหว่างที่ผมขี่จักรยานยนต์ข้ามก็มีจักรยานยนต์อีกคันแซงซ้ายรถยนต์ที่จอดให้ทางผมมาพุ่งชนตรงกลางรถผมซึ่งก็ล้มลงทั้งสองคัน แต่คันที่ชนผมน่าจะเจ็บกว่าทุกคนก็รุมไปดูอาการของน้องคนที่มาชนผมโดยผมและแฟนก็ลุกขึ้นเองเพราะไม่เป็นไรมาก โดยหลังเกิดเหตุก็มีเจ้าพนักงานสองคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในขณะนั้นมาตรวจสอบที่เกิดเหตุโดยคนหนึ่งแต่งชุดเครื่องแบบและอีกคนสวมครึ่งท่อน คนที่ใส่ชุดเครื่องแบบมาถึงก็มาตรวจความเสียหายแล้วก็บอกให้ผมไปเครียกับคู่กรณี ผมจึงตอบไปว่า “ผมไม่รู้จะเครียยังไงเพราะถ้าผมพูด ผมก็ต้องพูดเข้าข้างตัวเองว่าผมไม่ผิด ผมคิดว่าควรมีคนกลางในการไกล่เกลี่ย” หลังจากที่ผมพูดจบ ตำรวจที่แต่งเครื่องแบบก็ไปบอกให้พลเมืองดีคนหนึ่ง(ไทยมุง)ซึ่งไม่เห็นเหตุการณ์มาเป็นคนไกล่เกลี่ย แล้วตำรวจที่แต่งเครื่องแบบก็ไม่ทำอะไรอีกเลยนอกจากถ่ายรูปแล้วก็เดินจากไป ส่วนตำรวจอีกคนที่สวมครึ่งท่อนและพลเมืองดี(ที่ได้รับมอบหมายให้ไกล่เกลี่ย)ก็ไปสอบถามคู่กรณีของผมซึ่งเป็นน้องผู้หญิงประมาณว่าเหตุการณ์เกิดขึ้นยังไง เจ็บตรงไหน คอมฯของน้องเสียมั้ย น้องคู่กรณีตอบว่า “น้องไม่เป็นไรค่ะ คอมก็ไม่เสียค่ะ” ตำรวจที่สวมครึ่งท่อนพูด "ลองเปิดดูก่อนเดี๋ยวถ้าไปถึงบ้านแล้วเปิดไม่ออกจะไม่มีคนรับผิดชอบ" น้องเค้าก็เปิดดูแล้วและก็ไม่เป็นไร ตำรวจที่สวมครึ่งท่อนถามต่อว่า “น้องจะเอาเรื่องมั้ย” น้องผู้หญิงตอบว่า “ไม่เป็นไรค่ะ” แล้วตำรวจคนนั้นก็เดินมาบอกผมกับแฟนว่า “น้องเค้าไม่เอาเรื่องเดี๋ยวก็แยกย้ายกันกลับ” อ้าวผมถึงกับงงเลยคุณตำรวจไม่ถามผมสักคำแล้วสรุปเรื่องตามที่น้องเค้าเล่าทุกอย่างทั้งๆที่น้องเขาแซงซ้ายมาชนผม แต่ตอนนั้นผมก็คิดว่าไม่เป็นไร ไหนๆก็จะแยกย้ายกันล่ะ แล้วคุณตำรวจก็มาขอดูบัตรประจำตัวประชาชนและเบอร์โทรศัพท์ของผมไป ผมก็ให้ไปนึกว่ามันจะจบ แต่บังเอิญว่ารถน้องเค้าไม่สามารถขับขี่จึงต้องเรียกช่างมาเรื่องก็เลยยาวเลย หลังจากที่ตรวจสภาพรถอีกครั้งแล้วคุณตำรวจที่ส่วมเครื่องแบบแค่ครึ่งท่อนก็เดินมาบอกว่า “เดี๋ยวช่างจะยกรถน้องเค้าไปซ่อมที่ร้าน ถ้าเสร็จแล้วยังไงคุณก็ออกค่าใช้จ่ายให้เค้านะ” ผมถึงกลับงงเลย แฟนผมทนไม่ไหวจึงพูดระบายอารมณ์กับคุณตำรวจต่อหน้าสาธารณชนไทยมุงทั้งหลาย “คุณตำรวจค่ะ ตอนนี้คือน้องเป็นคนผิดหรอค่ะ ทำไมไม่มีใครมาสนใจสอบถามสักคำ โทรศัพท์ก็ตกลงไหนในท่อน้ำ เท้าก็เจ็บ ไม่เห็นจะมีใครมาสนใจ” คุณตำรวจจึงตอบว่า “ตอนนี้ยังไม่มีใครผิด” อ้าว!! สรุปคืออะไรยังไง แล้วพลเมืองดีก็บอกว่าผมผิดเนื่องจากผมตัดหน้าน้องเค้า ผมก็ไม่รู้นะว่าใครผิดแต่คิดแล้วก็รู้สึกว่าตำรวจไม่ทำหน้าที่ที่ควรจะทำ แล้วเรื่องก็วุ่นวาย โดยทั้งสองฝ่ายก็ไปเถียงกันต่อที่ร้านซ่อมรถเพราะรถของผมก็ต้องซ่อมเหมือนกัน โดยฝ่ายคู่กรณีก็อ้างว่าเมื่อกี้ตำรวจบอกว่าฝ่ายผมจะรับผิดชอบให้ ฝ่ายผมก็บอกว่าน้องเค้าเป็นคนผิดดังนั้นก็ต่างคนต่างซ่อม เถียงกันไปเถียงกันมาตกลงไม่ได้(ณ ตอนนี้ตำรวจไม่อยู่ด้วย แล้วญาติของทั้งสองฝ่ายก็มารับลูกหลาน) ทั้งสองฝ่ายจึงตกลงว่าโทรให้คุณตำรวจที่แม่ผมรู้จักมาเครียให้คนแรกบอกว่าอยู่คนละเขตกัน(ถึงแม้ว่าจะอยู่ใกล้กัน) โทรหาตำรวจคนที่สองบอกว่าต้องแจ้งความ ถ้าไม่แจ้งก็จะไม่มา ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงเพราะผมคิดว่าถ้าตำรวจมาแล้วยังตกลงกันไม่ได้เราก็ไปดูกล้องวงจรที่ติดอยู่จะได้รู้ว่าใครถูกใครผิด แต่ตำรวจก็ไม่มาบวกกับทั้งสองฝ่ายก็เริ่มมีอารมณ์ด้วยกันทั้งคู่ แม่ผมจึงบอกว่าช่างมันเถอะรับผิดชอบก็ได้ถือว่าฟาดเคราะห์ไป แล้วอีกฝ่ายก็บอกว่าค่าคอมฯล่ะ อ้าว! ผมจึงเถียงไปว่าแล้วค่าโทรศัพท์ล่ะ เกือบจะมีการวางมวยใส่กันทั้งสองฝ่าย แม่ผมเห็นว่าเริ่มไม่ดีจึงบอกให้ฝ่ายผมกลับ แล้วผมอยากถามว่าเหตุการณ์แบบนี้ใครผิด