รู้ไหมว่าทำไม ebook เมืองไทยตัน และไม่มีใครซื้อ?

ก็เพราะไม่มีนักอ่านคนไหนอยากจะซื้อ ebook ที่เข้ารหัสไว้เพื่อจำกัดสิทธิและเปิดได้เฉพาะ in-app ของตัวเองหรอกค่ะ ต่างคนต่างทำแอพของตัวเองมั่วกันไปหมด ธุรกิจหนังสือเืมืองไทยไม่ได้ใหญ่อย่าง amazon หรือ bn

ถึงขนาดต้องลงทุนสร้างแอพกลัวคนซื้อจะก็อปปี้ สู้เอาเงินส่วนนี้ไปใช้มาตรฐาน epub และไม่ต้องเข้ารหัส ไม่ต้องลงทุนเสียไลเซนส์หลายแสนบาทหรือสร้างแอพให้ยุ่งยาก  คนส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการอ่านหนังสือ  โดยทั่วไปคนซื้อหนังสือมักจะซื้อหนังสือปีละเล่มหรือนานๆ ที สักเล่ม  ในทางตรงกันข้ามมีคนเพียงจำนวนหยิบมือที่เป็นนักอ่านตัวยง ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ซื้อหนังสือ 100-150 เล่มต่อปี นักอ่านกลุ่มนี้แหละค่ะที่มีเครื่อง e-reader เช่น sony, nook, kobo, kindle ที่อ่าน ebook อย่างจริงจังที่จะยอมควักเงินซื้อ ebook เป็นเรื่องเป็นราว

แต่คำตอบที่ได้ขณะนี้คือร้านหนังสือใหญ่ระดับประเทศยังไม่มีการรองรับนักอ่าน e-reader กลุ่มนี้เลย แค่นี้คุณยังตอบโจทย์ผิดเลยค่ะ ไม่มีใครอ่านหนังสือนวนิยายหรือตัวอักษรเป็นระยะเวลานานๆ บนไอแพด แท็บเล็ต ผ่านแอพของพวกคุณหรอกค่ะ

ในเมื่อเสียเงินซื้อ ebook แล้วใครๆ ก็อยากจะได้เป็นเจ้าของเสมือนเป็นสินทรัพย์ในระยะยาว เพราะอนาคตจะสามารถขายต่อให้กับคนอื่นหรือยกให้คนอื่นได้ และต่างคาดหวังว่าจะสามารถอ่านมันได้จนกว่าจะตายจากกันไป การจำกัดสิทธิ ebook มากจนเกินไป นักอ่านจะหมางเมินและยากที่จะกลับมาซื้ออีก

หากหนังสือของคุณมีราคาที่เหมาะสมและหาซื้อได้อย่างง่ายดายแล้ว ใครๆ ก็พร้อมที่จะจ่ายเงินซื้อมัน  การนำระบบป้องกันก๊อปปี้และเข้ารหัสออกไป ไม่ได้ทำให้ยอดขายลดลง ไม่เชื่อลองซื้อหนังสือมาเล่มหนึ่งแล้วไปให้ใครก็ได้ แล้วเจอกันอีกทีให้ถามว่าได้อ่านหนังสือที่ซื้อให้หรือเปล่า ผลจะปรากฏว่าไม่ได้อ่าน และต่อให้มีคนอัพโหลดขึ้นอินเทอร์เน็ต รับรองว่ามีเพียงไม่กี่คนที่อ่านจนจบ จะเห็นได้ว่าไม่ต่างอะไรกับร้านหนังสือที่มีคนมายืนอ่าน กลับเป็นการทำให้เพิ่มยอดขายเสียด้วยซ้ำ เนื่องจากลูกค้าของคุณจะได้รับประสบการณ์ที่ดีที่ได้อ่านผลงานของคุณ และจะมีแฟนๆ คอยเกาะติด  เพราะพวกเขาจะรู้ว่าหนังสือของคุณดีแค่ไหน และในครั้งต่อไปพวกเขาก็ยินดีที่จะจ่ายเงินซื้อหนังสือของคุณ

ยกตัวอย่างสำนักพิมพ์ Tor ที่จำหน่ายนิยายไซไฟและแฟนตาซีชื่อดังของอังกฤษ ยังยกเลิกระบบป้องกันและเข้ารหัสออกไป พวกเขายืนยันว่าไม่ได้ทำให้ยอดขายลดลง และการเข้ารหัสก็ไม่ได้เป็นหัวใจหลักของการทำธุรกิจของพวกเขา

นักอ่านทั้งหลายสามารถร่วมมือกันได้ค่ะ โดยไม่สนับสนุนและไม่ซื้ออีบุ๊คส์ที่ต้องอ่านเฉพาะใน in-app จำพวกที่ต้องเปิดด้วยแอพและโปรแกรมของร้านที่ท่านซื้อเท่านั้น ถ้าคุณเสียเงินซื้อคุณต้องได้ไฟล์มาเก็บไว้ในเครื่องด้วย เพื่อให้ได้สิทธิเป็นเจ้าของด้วยค่ะ เพื่อสามารถนำไปเปิดข้ามแอพ ข้ามโปรแกรม หรือโยนไปอ่านใน e-reader ได้ด้วย วิธีก็คือเลือกซื้อ ebook ที่ใช้มาตรฐานสากล เช่น epub และ mobi ทั้งเข้ารหัสและไม่เข้ารหัส เพราะอนาคตคุณจะสามารถเอาไฟล์ที่ซื้อมาแล้วมาขายต่อมือสอง หรือโอนให้ใครก็ได้เสมือนหนังสือจริงๆ ค่ะ
แก้ไขข้อความเมื่อ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 29
กระทู้นี้ถูกใจมาก มัวแต่กลัวโดนก็อป ตลาดก็ไม่โตหรอก

ราคาก็ไม่ได้ถูกกว่าเลย ทั้งที่ต้นทุนถูกกว่าตั้งเยอะ
ลดจากฉบับหนังสือแค่ประมาณยี่สิบสามสิบเปอร์เซ็นต์แต่ข้อจำกัดเยอะเหลือเกิน
ฉบับหนังสือเบื่อแล้วยังเอาไปขายมือสองได้นะครับ

ความยุ่งยากในการอ่านก็น่ารำคาญมาก ไม่ใช่ว่าจะต้องจำกัดอยู่แค่แอปใครแอปมัน
มันมีแอปที่ใช้ในการอ่านหลายตัว บางตัวมีลูกเล่นที่เราชอบ เราอยากเอามาอ่านกับแอปนี้ก็ไม่ได้
ในเครื่องพกมามันก็มีเนื้อที่จำกัด ซื้อมาอ่านจบแล้วจะก็อปไปเก็บไว้ที่อื่นก็ไม่ได้ แล้วจะให้ลบเหรอ?
ถ้าเกิดอีกหน่อยห้าปีสิบปีคุณเลิกทำหรือเจ๊งไป ถ้าผมอยากอ่านอีกรอบ จะไปโหลดใหม่จากที่ไหนได้ล่ะครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
ปกติผมมักจะไม่ค่อยดูถูกคนไทยด้วยกันนะ ไปไ่ล่เรียงดูรีพลายผมได้

แต่เคยมีครั้งนึงที่ ทาง Lonely Planet ให้โหลดได้ฟรี E-Book 1 ฉบับ

เหล่าบรรดาขาเที่ยวในห้อง Blue Planet ก็โหลดมาแล้วไปเซฟเก็บไว้ตามเวบฝากไฟล์ฟรี

แล้วก็มาบอกเพื่อน ๆ อีกว่า ฝากไว้ที่นี่ ที่นั่น เป็นอีบุ๊คของประเทศนั้น ประเทศนี้ เมืองนั้น เมืองนี้

ผมก็ไม่โหลด เพราะผมไม่สนับสนุนการกระทำแบบนี้ เขาให้โหลดฟรีคุณก็ควรจะเก็บไว้เอง ไม่ใช่มาไล่แจกต่อกันเป็นทอด ๆ แบบนี้

แล้วคนห้องนั้น เวลาไปเที่ยวเมืองนอกก็ว่า ทำไมเมืองนอกผู้คนเขามีวินัย เคารพกฏกติกา คนไทยนิสัยไม่ดี

แต่ตัวเองนะ ยังทำพฤติกรรมที่อัพโหลดไฟล์ที่เขาให้คุณได้อ่านฟรี มาไล่แจกเพื่อน ๆ คนอื่นแบบเนี้ยนะ
ความคิดเห็นที่ 46
คุณพูดในฐานะนักอ่านอย่างเดียวก็ได้สิ

คุณจะฟันธงได้ยังไงว่าถ้าแอพ ebook ทุกเจ้าเปลี่ยนมายกเลิกการจำกัดให้อ่านเฉพาะแอพ แต่ให้สามารถ copy ลง pc ลงทุกอุปกรณ์ได้แล้วจะไม่เกิดการ copy แจกจ่าย โหลดฟรี จนทำให้เกิดผลกระทบกับยอดขายของ ebook

คุณคิดว่ามันจะไม่มีผลกระทบจริงเหรอ?

ขอบอกว่าเรานี่เคยโหลดหนังสือเป็นไฟล์ pdf ที่เค้าแจกใต้ดินกันมานะคะ หลายเรื่องเราคิดอยากจะซื้อพอดี แต่เมื่อมันได้ไฟล์อ่านฟรีมาแล้ว เราจะซื้ออีกทำไมให้เปลืองที่เก็บหนังสือ (นิสัยไม่ดีนั่นแหละ แต่มันคือความจริงป่ะ)

แล้วไฟล์ที่ว่านี้คือเขาแสกนจากหนังสือทั้งเล่มนะคะ คิดดูว่ามันต้องใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้มาเล่มนึง เขายังสู้อุตส่าห์ทำมาแจกจ่ายกันได้เลย
นับประสาอะไรกับ ebook คลิกเมาส์ไม่ถึงสิบนาทีก็กระจายได้ทั่วประเทศแล้วมั้งคะ หนังสือออกใหม่ทั้งนั้นเลยด้วย และรับรองได้เลยว่าทำแบบนี้กระทบต่อทั้งวงการ ebook และหนังสือเล่มด้วยแน่นอน เศรษฐกิจแบบนี้ ใครอยากเสียเงินกัน (นิสัยไม่ดีอีกรอบ)

คุณจะไปเปรียบเทียบกับการยืนอ่านตามร้านหนังสือไม่ได้หรอกค่ะ มันไม่เหมือนกันเลย การยืนอ่านตามร้านจบแล้ววางเก็บ เอากลับไปบ้านไม่ได้ สามชั่วโมงก็ลืมหมดแล้ว และบางทีก็อ่านได้เพียงตัวอย่างแล้วก็อยากซื้อ เพราะจะได้เก็บไปอ่านต่อที่บ้านจนจบได้ ส่วนการ copy นั้นเอามาอ่านตอนไหนก็ได้ เพราะมีไฟล์เก็บไว้ และยัง copy ต่อไปอีกกี่แสนกี่ล้านเล่มก็ได้

คุณถามตัวเองเถอะ ถ้าคุณอ่านหนังสือเล่มนั้นจบแล้วแต่ไม่ได้ประทับใจมาก คุณจะควักเงินซื้ออีกมั้ย หรือต่อให้อ่านไม่จบ อ่านได้ครึ่งๆ กลางๆ ต่อให้ประทับใจมาก คุณก็จะทิ้งไฟล์นั้นแล้วหันไปซื้ออย่างถูกลิขสิทธิ์มาอ่านต่ออย่างงั้นเหรอ นึกภาพไม่ออกเลย คนไทยไม่ได้มีจิตสำนึกสนับสนุนของถูกลิขสิทธิ์กันทุกคนนะคะ คนไทยชอบของฟรีค่ะ

ยกเว้นว่าจะมีการควบคุมการจำหน่ายจ่ายแจกไฟล์อย่างผิดลิขสิทธิ์ได้อย่างรัดกุมและได้ผลจริง แต่ก็เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ ทุกวันนี้หนัง เพลง โหลดฟรีเพียบ คุณว่าไม่มีผลกระทบ แต่ไม่รู้ว่าคุณสังเกตมั้ย เดี๋ยวนี้ร้านเช่าหนังแผ่นพากันปิดตัวลงและอยู่กันไม่ได้แล้วนะคะ และธุรกิจนี้กำลังตายไปจากประเทศไทยแล้ว หวังว่าคุณคงไม่คิดว่าเป็นเพราะคนแห่กันเข้าไปดูหนังในโรงภาพยนตร์มากขึ้นหรอกนะ
ความคิดเห็นที่ 38
เจ้าของกระทู้ไม่ใช่คนขายนี่ครับเป็นคนเสพอย่างเดียวก็ว่าได้สิครับ ไม่ลองมาเป็นสำนักพิมพ์ หรือคนขาย คนเขียน
ดูบ้างล่ะครับ

อ่านหนังสือเล่มอย่างเดิมดีกว่าผ่อนคลายมากกว่าเยอะ ส่วนตัวไม่เดือดร้อนครับไม่ได้สนใจ ฝากทางสำนักพิมพ์
ด้วยครับไม่ต้องทำลงe-bookก็ได้ครับ ทำออกมาเป็นเล่มเหอะ นักอ่านที่ช่วยอุดหนุนหนังสือเล่มอย่างผมรออยู่
ความคิดเห็นที่ 25
คนอ่านไม่ต้องห่วงสนพ.หรอก ข้อมูลที่จขกท.เล่ามา หลายสนพ.รู้อยู่แล้ว เพราะเขาไปงานหนังสือในหลายประเทศมานานแล้ว

สนพ.และร้านหนังสือในอเมริกาเจ๊งเพราะอีบุ๊ค ก็พูดกันมานานแล้ว   สนพ.เป็นบริษัททำธุรกิจ  อะไรที่ทำแล้วเจ๊ง เขาไม่ทำหรอก

ถ้าเขาเห็นว่าทำแล้วมันขายได้ เขามีกำไร เขาทำแน่นอน

แล้วถ้าสนพ.ที่มีอยู่ตอนนี้เจ๊ง มันต้องมีสนพ.ที่ทำแล้วไม่เจ๊งเกิดใหม่อย่างแน่นอน

เราไม่ค่อยห่วงเรื่องโปรแกรม หรือระบบหรอก  เพราะไม่ว่ามันจะเป็นกระดาษหรืออีบุ๊ค มันก็เป็นแค่รูปแบบในการสื่อสาร ซึ่งในที่สุดแล้วมันก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามเทคโนโลยีที่เจริญขึ้น เหมือนระบบการพิมพ์หนังสือนั่นแหละ ที่วิวัฒนาการมาเรื่อย ๆ จากบล็อก เลตเตอร์เพรส  ออฟเซต

สิ่งที่สำคัญกว่าคือ  "เนื้อหา"  ของหนังสือต่างหาก  ต่อให้คุณมีเทคโนโลยีในการสื่อสารดีเลิศขนาดไหน หรือมีวิธีทำตลาดล้ำหน้าขนาดไหน

แต่ถ้า "เนื้อหา" ใน หนังสือหรืออีบุ๊ค ไม่ดี  มันก็ไม่มีคนอ่านอยู่ดี
ความคิดเห็นที่ 26
อาจจะต้องเปลี่ยนค่านิยม ของคนไทยด้วย ในประเด็น
"สิ่งที่ออนไลน์ไม่มีราคา"

ซึ่งเป็นแนวคิดที่เห็นได้บ่อยครั้งมาก ลองคิดดูได้ คนจำนวนหนึ่งที่ไม่เล็กเลย เชื่อแบบนั้น
หนัง เพลง หาโหลดได้ฟรี เจ้าของที่คิดเงิน ถือว่าเป็นพวกเห็นแก่ตัว
ใครที่อุดหนุนเสียเงิน ถือเป็นพวกโง่ ทำไมต้องเสียเงินแบบนั้น

สิ่งที่ สำนักพิมพ์กลัวที่สุด ไม่ใช่ขายไม่ออก
แต่เป็น ลิขสิทธิ์หลุด
แค่ มีนิยายออนไลน์ ให้อ่านฟรี ยังสามารถ Copy เกลานิดๆ ส่งตีพิมพ์แทนนักเขียนได้เลย
สำนักพิมพ์ก็ไม่อยากจะขายหลายเจ้า ร้าน E-book หรอก
แต่เราไม่มีเจ้าใหญ่ เจ้าเดียว แบบผูกขาดได้แบบนั้น

จึงต้องทำเหมือน ขายหลายร้านไปแทน
ซึ่ง แนวคิดที่คุณบอกว่า ไม่สามารถขายต่อได้
ก็ทดแทนด้วย มูลค่าที่ลดลง จากหนังสือรุปเล่ม
แต่ก็จริงอยู่ ที่ตอนนี้ ราคา E-book แพง
ผมประมาณว่า ราคาที่ควรเป็น น่าจะลดประมาณ 50% ด้วยซ้ำ
ไม่มีค่าต้นทุนกระดาษ ค่าขนส่ง ค่าจัดเก็บ
แต่ยังคงมีค่าลิขสิทธิ์ ค่าสัญญา อีกหลายส่วน

แต่ก็ไม่มีเจ้าไหน มั่นใจได้ว่า ถ้าลดถึงขนาดนั้นแล้วจะได้กำไร
ถ้าลดขนาดนั้น สู้ตีพิมพ์เป็นเล่ม แล้วค่อยจัดโปรโมชั่น อาจจะดีกว่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่