นิสัยอย่างนี้ บางทีก็ทุกข์ได้นะ กระทู้นี้เป็นเรื่องเล่ากึ่งปรับทุกข์ค่ะ
คนเขียนกระทู้นี้ชอบอยู่ลำพังมาก มากจนเกินพอดี เกินกว่าที่คนปรกติทั่วไปเขาเป็นกัน สมัยที่สามียังไม่เสียชีวิตแต่งงานไปอยู่บ้านเขา ก็แอบไปซื้อที่นอกเมืองแปลงเล็กๆนะ สร้างบ้านหลังน้อย ปลูกต้นไม้ไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ดอกหอม ทุกวันพอทำงานบ้านเสร็จ เตรียมอาหารกลางวัน ไปนั่งทานกับสามีมื้อเที่ยงที่บริษัท เสร็จแล้วมักหลบไปที่สวน ขยายพันธ์(หัด) บ้าง นอนเล่นอ่านหนังสือบ้าง จนกว่าจะเย็นจึงจะเตรียมอาหารให้สามีกลับเข้าบริษัทไปทานกับเขา และกลับบ้านด้วยกัน
แล้วสามีรู้ไหมว่าทำอย่างนั้น รู้นะ ก่อนซื้อชวนเขาไปดูที่ อยู่บนเินินเชิงเขา หน้าเป็นหนองน้ำหลังพิงเขา อากาศดี เขาไม่ชอบน่ะ เพราะคนนี้หากไม่มี 711 หรือ express อยู่ในระยะที่เดินถึงได้ละก็ เธอว่าไม่ไหวไกลทั้งนั้นแหละค่ะ ดังนั้นเมื่อไม่ชอบแต่เราชอบจึงทำเองลำพัง ซื้อที่ ปลูกสร้าง เสร็จแล้วจึงค่อยบอกกับพาไปดูว่าทำตรงนี้ไว้ ตอนที่สร้างก็เล่นห้องชายคาหาความรู้ อ่านเรื่องของคนอื่นครอบครัวสุขสันต์ช่วยกันเลือกช่วยกันออกความเห็น แต่ไหงเราเป็นคนอย่างนี้หนอ อยากมีที่ไว้อยู่ลำพัง
หลายปีต่อมา บ้านในตลาดน้ำท่วม เราเลยอพยพมาอยู่บ้านสวนกันแบบถาวร ความที่ทำบ้านไว้พักเล่นๆ มันก็คับแคบน่ะ มีห้องนอนเดียว เวลาลูกปิดเทอมจากโรงเรียนประจำกลับบ้าน อยู่ด้วยกันแค่สามคน แต่อิแม่คนนี้เริ่มครั่นเนื้อครั่นตัวอยากหาที่อยู่ลำพังอีกละ แต่ไม่เคยพูดหรือแสดงอะไรนะ คือจะนิสัยประหลาดแค่ไหนก็รักคนของตัวเกินกว่าจะทำให้เสียน้ำใจน่ะ
บ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นอาคารสองหลังยกพื้นสูงเชื่อมด้วยสะพาน หลังหนึ่งไว้นอน อีกหลังเป็นครัวและระเบียงขนาดใหญ่ คงนึกออกว่าไม่สะดวกเหมือนมีครัวในบ้าน (แต่เราชอบอย่างนั้นนี่นา) เพราะว่า ถ้าหิวนี่ต้องเปิดประตูออกมาเดินผ่านที่โล่งมีแค่หลังคาคลุมกันแดดฝนไปอีกอาคาร ดังนั้น บ่อยครั้งที่สองพ่อลูกจะซื้ออาหารมาทานในเรือนนอน ให้ยัยแม่แอบบ่นในใจว่าบ้านเหม็น เช้ารุ่งขึ้นต้องรีบเปิดประตูหน้าต่างทุกบานระบายอากาศ
คุณพ่อบ้านนั้น เคยอยู่บ้านกระจก พอมาเจอบ้านประตูหน้าต่างไม้ กลางคืนปิดมืดมองออกไปไม่ได้เริ่มทนไม่ไหว ขอเปิดประตูนอน เราก็กลัว นอนไม่หลับ เที่ยวเวียนลุกตื่นมาดูกลัวโจรสิ เปิดโร่ซะอย่างนั้น แต่คนเราต้องนอนนี่นา จึงไปหาช่างมาทำประตูกระจกอีกชั้น เปลี่ยนประตูไม้จากเฟี้ยมเป็นประตูเปิดสองบาน และติดอุปกรณ์เพิ่มความอุ่นใจอีกสองอย่าง คือกล้องวงจรปิด และเลเซอร์เตือนเมื่อประตูหน้าต่างถูกเปิด ไหนๆก็ไหนๆ กั้นห้องนอนห้องน้ำอีกซีกหนึ่งของบ้านให้ลูกซะด้วยเลย
ส่วนตัวเองก็หลบไปอยู่ลำพังในหนังสือ (อ่านหนังสือเป็นว่าเล่น) หน้าจอคอมพิวเตอร์ (หัดเขียนบล็อค) และกล้อง (หัดถ่ายรูป)
ชอบอยู่ลำพัง ไม่อยากพึ่งพาใคร
คนเขียนกระทู้นี้ชอบอยู่ลำพังมาก มากจนเกินพอดี เกินกว่าที่คนปรกติทั่วไปเขาเป็นกัน สมัยที่สามียังไม่เสียชีวิตแต่งงานไปอยู่บ้านเขา ก็แอบไปซื้อที่นอกเมืองแปลงเล็กๆนะ สร้างบ้านหลังน้อย ปลูกต้นไม้ไว้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไม้ดอกหอม ทุกวันพอทำงานบ้านเสร็จ เตรียมอาหารกลางวัน ไปนั่งทานกับสามีมื้อเที่ยงที่บริษัท เสร็จแล้วมักหลบไปที่สวน ขยายพันธ์(หัด) บ้าง นอนเล่นอ่านหนังสือบ้าง จนกว่าจะเย็นจึงจะเตรียมอาหารให้สามีกลับเข้าบริษัทไปทานกับเขา และกลับบ้านด้วยกัน
แล้วสามีรู้ไหมว่าทำอย่างนั้น รู้นะ ก่อนซื้อชวนเขาไปดูที่ อยู่บนเินินเชิงเขา หน้าเป็นหนองน้ำหลังพิงเขา อากาศดี เขาไม่ชอบน่ะ เพราะคนนี้หากไม่มี 711 หรือ express อยู่ในระยะที่เดินถึงได้ละก็ เธอว่าไม่ไหวไกลทั้งนั้นแหละค่ะ ดังนั้นเมื่อไม่ชอบแต่เราชอบจึงทำเองลำพัง ซื้อที่ ปลูกสร้าง เสร็จแล้วจึงค่อยบอกกับพาไปดูว่าทำตรงนี้ไว้ ตอนที่สร้างก็เล่นห้องชายคาหาความรู้ อ่านเรื่องของคนอื่นครอบครัวสุขสันต์ช่วยกันเลือกช่วยกันออกความเห็น แต่ไหงเราเป็นคนอย่างนี้หนอ อยากมีที่ไว้อยู่ลำพัง
หลายปีต่อมา บ้านในตลาดน้ำท่วม เราเลยอพยพมาอยู่บ้านสวนกันแบบถาวร ความที่ทำบ้านไว้พักเล่นๆ มันก็คับแคบน่ะ มีห้องนอนเดียว เวลาลูกปิดเทอมจากโรงเรียนประจำกลับบ้าน อยู่ด้วยกันแค่สามคน แต่อิแม่คนนี้เริ่มครั่นเนื้อครั่นตัวอยากหาที่อยู่ลำพังอีกละ แต่ไม่เคยพูดหรือแสดงอะไรนะ คือจะนิสัยประหลาดแค่ไหนก็รักคนของตัวเกินกว่าจะทำให้เสียน้ำใจน่ะ
บ้านหลังนี้มีลักษณะเป็นอาคารสองหลังยกพื้นสูงเชื่อมด้วยสะพาน หลังหนึ่งไว้นอน อีกหลังเป็นครัวและระเบียงขนาดใหญ่ คงนึกออกว่าไม่สะดวกเหมือนมีครัวในบ้าน (แต่เราชอบอย่างนั้นนี่นา) เพราะว่า ถ้าหิวนี่ต้องเปิดประตูออกมาเดินผ่านที่โล่งมีแค่หลังคาคลุมกันแดดฝนไปอีกอาคาร ดังนั้น บ่อยครั้งที่สองพ่อลูกจะซื้ออาหารมาทานในเรือนนอน ให้ยัยแม่แอบบ่นในใจว่าบ้านเหม็น เช้ารุ่งขึ้นต้องรีบเปิดประตูหน้าต่างทุกบานระบายอากาศ
คุณพ่อบ้านนั้น เคยอยู่บ้านกระจก พอมาเจอบ้านประตูหน้าต่างไม้ กลางคืนปิดมืดมองออกไปไม่ได้เริ่มทนไม่ไหว ขอเปิดประตูนอน เราก็กลัว นอนไม่หลับ เที่ยวเวียนลุกตื่นมาดูกลัวโจรสิ เปิดโร่ซะอย่างนั้น แต่คนเราต้องนอนนี่นา จึงไปหาช่างมาทำประตูกระจกอีกชั้น เปลี่ยนประตูไม้จากเฟี้ยมเป็นประตูเปิดสองบาน และติดอุปกรณ์เพิ่มความอุ่นใจอีกสองอย่าง คือกล้องวงจรปิด และเลเซอร์เตือนเมื่อประตูหน้าต่างถูกเปิด ไหนๆก็ไหนๆ กั้นห้องนอนห้องน้ำอีกซีกหนึ่งของบ้านให้ลูกซะด้วยเลย
ส่วนตัวเองก็หลบไปอยู่ลำพังในหนังสือ (อ่านหนังสือเป็นว่าเล่น) หน้าจอคอมพิวเตอร์ (หัดเขียนบล็อค) และกล้อง (หัดถ่ายรูป)