อยากไปแข่งตูร์เดอฟร็องส์ต้องทำไงครับ

กระทู้คำถาม
คือดูถ่ายทอดการแข่งแล้วไม่รู้สึกว่า เฮ้ย!! มันก็ไม่ได้ยากนี้หว่า แบบนี้กรูก็ทำด้ายยย คือก็นั้งปั่นๆไปเรื่อย เหมือนหนูถีบจักร
และอยากประกาศให้โลกได้รับรู้ถึงพลังน่องแดนสยามว่ามีดีไม่แพ้ใคร เลยอยากรู้ว่าต้องทำไงถึงจะไปแข่งได้ครับ
มีจักรยานแล้วไปสมัครแข่งได้เลยไหม หรือต้องสมัครเป็นทีม ถ้าเขาให้สมัครแข่งเป็นทีม
ผมขอประกาศรับสมัครลูกทีมตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปครับ..
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 3
โปรเสือหมอบ vs มือสมัครเล่นต่างกันอย่างไร?

วันนี้มาดูกันว่าโปรเสือหมอบมีอะไรต่างกับนักปั่นสามัญชนอย่างพวกเราบ้างครับ ไม่ว่าจะเป็นความเร็วเฉลี่ย  - พลังงานที่ใช้ – ระยะทางที่ปั่น – อุปกรณ์ และอื่นๆ อีกมากมาย! trans โปรเสือหมอบ vs มือสมัครเล่นต่างกันอย่างไร?


วันนี้ผมได้ข้อมูลน่าสนใจมาจากนิตยสาร Bicycling Magazine ซึ่งเป็นรวมสถิติจากการแข่ง Tour de France ปี 2011 เปรียบเทียบความต่างหลายๆ อย่างระหว่างโปรเสือหมอบกับนักปั่นธรรมดาๆ อย่างพวกเราครับ

ความเร็วและพลังที่ใช้ (Watts)

ความเร็วเฉลี่ยบนทางราบ:  27-32 km/h (คนธรรมดา) | 40-45 km/h (โปร)

ความเร็วเฉลี่ยบนทางภูเขา: 14-16 km/h (คนธรรมดา) | 33-40 km/h (โปร)

พลังงานเฉลี่ย: 170-220 watts (คนธรรมดา) | 405-450 watts  (โปร)

ระยะทางที่ปั่นต่อสัปดาห์: 120-200 km (คนธรรมดา) | 700-800 km (โปร)


อาหาร น้ำ การพักผ่อน

พลังงาน  (Calorie) ที่บริโภคต่อการออกปั่นหนึ่งครั้ง: 200-450 (คนธรรมดา) | 4,000-5000 (โปร)

จำนวนขวดน้ำที่ดื่มในการปั่น 3 ชั่วโมง: 2-3 ขวด (คนธรรมดา) | 4-20 ขวด (โปร)

ชั่วโมงการนอนหลับต่อสัปดาห์​: 40-50 (คนธรรมดา) | 70! (โปร)

ในการแข่ง Tour de France แต่ละเสตจซึ่งระยะทางประมาณ 170-210 กิโลเมตรโดยเฉลี่ย นักปั่นบางคนอาจจะเผาพลาญพลังงานได้มากถึง 8,000 แคลอรี และอาจจะดื่มน้ำ 1-4 ขวดในการปั่นหนึ่งชั่วโมง ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิประเทศครับ ในเรื่องการนอนหลับพักผ่อนนั้น โปรจำเป็นต้องนอนเยอะๆ ในการแข่งยาวๆ อย่าง tour de france เพื่อให้กล้ามเนื้อได้ซ่อมแซมและคลายตัว โดยเฉลี่ยแล้วโปรจำเป็นต้องนอน 2 ชั่วโมงต่อการปั่น 1 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะแข่งวันละประมาณ 5-6 ชั่วโมงครับ


อุปกรณ์

ราคาเสือหมอบ (ทั้งคัน): 30,000-150,000 (คนธรรมดา) | 250,000-450,000 หรือมากกว่า (โปร)

จำนวนครั้งที่เปลี่ยนโซ่โดยเฉลี่ย: 1-2 ครั้งต่อปี (คนธรรมดา) | 4-5 ครั้งต่อปี (โปร)

ถ้าเทียบกันเรื่องราคาเสือหมอบคงไม่แฟร์เท่าไร เพราะสามัญชนคนธรรมดาต้องซื้อจักรยานด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ส่วนโปรหนึ่งคนมีจักรยานใช้ประมาณ 4-5 คัน ใช้ซ้อมที่บ้านหนึ่งคัน ที่เหลือใช้แข่ง + รถ Time trial โปรไม่ต้องซื้อจักรยานเองเพราะมีสปอนเซอร์จัดหาอุปกรณ์ให้ ข้อต่างอีกหนึ่งข้อคือเสือหมอบของโปรต้องมีน้ำหนักมากกว่าหรือเท่ากับ 6.8 กิโลกรัม (ตามกฏของ UCI – เพื่อความปลอดภัย) ในขณะที่คนธรรมดาที่ไมไ่ด้แข่งในรายการ UCI สามารถปั่นรถหนักเท่าไรก็ได้ครับ ส่วนใหญ่จะออกไปทางหนักเสียมากกว่า เพราะในบรรดาอุปกรณ์เสือหมอบ ยิ่งน้ำหนักเบาจะยิ่งแพงขึ้นตามลำดับ


สรุป

ก็เป็นข้อมูลที่อ่านได้สนุกๆ นะครับ ชีวิตของโปรจักรยานนั้นไม่ได้สนุกอย่างที่หลายๆ คนคิด ผมเชื่อว่าโปรส่วนใหญ่ถ้าไม่รักจะปั่นจริงคงไม่เลือกอาชีพนี้ การแข่งจักรยานเสือหมอบเขาว่ากันว่าเป็นกีฬาที่หนักที่สุดที่สุดในโลก จริงหรือเปล่าไม่รู้ แต่มันต้องใช้กำลังกายและกำลังใจมหาศาล ต้องซ้อมตลอดทั้งปี ไม่เกี่ยงว่าจะอากาศเป็นอย่างไร จะร้อน ฝน เย็น หนาว ต้องออกแข่งถึงเกือบสิบเดือนต่อปี เวลาพักผ่อนส่วนใหญ่คือบนรถทีมและโรงแรม ไม่ได้อยู่บ้านกับลูกกับครอบครัวเหมือนนักกีฬาอื่นๆ เงินรายได้นั้นก็ไมไ่ด้มากมาย ยกเว้นนักปั่นมีชื่อที่ชนะรายการใหญ่ๆ อย่าง Rodriguez, Gilbert, Cavendish เรียกได้ว่าทำงานหรือธุรกิจอย่างอื่นก็อาจจะมีเงินเหลือใช้มากกว่าเป็นโปรจักรยานเสียอีก ไหนจะต้องเสี่ยงบาดเจ็บจากอุบัติเหตความเร็วสูง ถ้าเป็นหัวหน้าทีมก็มีแรงกดดันจากเพื่อนร่วมทีมและสปอนเซอร์ให้ทำผลงานได้ดีสมชื่อและเงินค่าตัว ฟังดูแล้วถ้าไม่รักจริงก็คงไม่เลือกมาเป็นนักปั่นอาชีพ เป็นนักฟุตบอลในลีกดิวิชันสองยังรายได้ดีกว่าเสียอีก

ข้อมูลจากเว็บ http://www.duckingtiger.com/ ครับผ้ม
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่