เริ่มจากปี 2008 คาวาซากิ(ประเทศไทย)ได้สร้างปรากฏการณ์บิ๊กไบท์ฟีเวอร์ขึ้น โดยเปิดตัวและจำหน่าย KAWASAKI NINJA 250 , D-TRAKER ,KLX-250 ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งที่ได้มีส่วนร่วมด้วยในเหตุการณ์นั้น ในขณะนั้นตลาดรถ BIG BIKE หรือจักรยานยนต์ที่มีเครื่องยนต์ ตั้งแต่250ซีซีขึ้นไปในประเทศไทย เกือบทั้งหมดยังคงมีแต่รถนำเข้าจดประกอบจากต่างประเทศ ยกเว้นรถรุ่น TIGER BOXER 250 เครื่องยนต์หนึ่งสูบ ที่มีจำหน่ายอยู่ก่อนหน้านี้เท่านั้นที่ผลิตในประเทศไทย แต่ก็ไม่ได้ความนิยมเท่าที่ควร
จากนั้นในปี 2009 ก็มีรุ่นอื่นๆของคาวาซากิตามมาติดๆ ได้แก่ ER6N , NINJA 650F( ER6F) ไม่นับรวมที่นำเข้าจากต่างประเทศเช่น ZX10R,VALCAN
และในปี 2010 คาวาซากิ ได้ย้ายการผลิต VERSYS 650 จากญี่ปุ่น มาผลิตในประเทศไทย เสริมตลาดให้แข็งแกร่งขึ้น
ค่ายฮอนด้าซึ่งเดิมไม่เคยสนใจในตลาดBIG BIKE ในไทยเลย ก็เริ่มหันมาสนใจและต้องการแย่งส่วนแบ่งตลาดซึ่งในขณะนั้นคาวาซากิครอบครองอย่างไร้คู่แข่ง
ฮอนด้านั้นได้เปรียบคู่แข่งตรงที่มีฐานของลูกค้าเดิมอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งมีโครงสร้างองค์กรที่ใหญ่กว่า จึงสามารถทำการวิจัยและผลิตตัวสินค้าได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่มาของ HONDA CBR250R มาด้วยเครื่องยนต์สูบเดียว และ ออฟชั่นเต็มตามที่ได้ทำวิจัยสำรวจจากลูกค้าว่าต้องการอะไรให้มีในรถรุ่นใหม่ และ ตามมาติดด้วย รถวิบาก CRF250 ที่ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับ CBR250
ฮอนด้าไม่ได้หยุดอยู่แค่250 แต่ได้ขยับขึ้นไปต่อกรกับตัว 650 ของคาวา แต่คราวนี้มีปัจจัยเรื่องภาษีมาแบ่งกั้นให้เกิดตลาดรถพิกัดไม่เกิน 500ซีซีขึ้น ฮอนด้าชิงความได้เปรียบเรื่องพิกัดภาษี ทำการผลิตรถรุ่นใหม่ในขนาดพิกัดไม่เกิน 500ซีซี ซึ่งทำราคาขายได้ถูกว่า ตัว650ของคาวาซากิ อย่างเห็นได้ชัด
คราวนี้ผมจะเริ่มมองตลาดรถBIG BIKE ในอนาคตแล้วหล่ะว่า จะเกิดรถรุ่นใหม่ๆอะไรขึ้นมามั่ง ผมคาดว่า ภายในไม่เกิน 2 ปีนี้ หรือ อย่างเร็วที่สุดคือ ปลายปี 2014 เราอาจจะได้เห็นค่ายรถทั้งสอง ต่างผลิตรถในพิกัด 500 ซีซี ที่เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ จัดออฟชั่นเต็มในราคาที่ไม่เกิน 280,000-320,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้วัสดุในการผลิตแบบไหน
ส่วนในรุ่นรองลงมา รถในพิกัด 250 ซีซี จะถูกเลิกผลิต แทนที่ด้วยพิกัด 300ซีซีแทน โดยทางคาวาได้ไปในยกแรกนี้ด้วย NINJA 300
ฮอนด้าคงจะไม่นิ่งรอให้คาวาชกอยู่ฝ่ายเดียว ผมบอกได้เลยว่า อาจจะได้เห็น CBR300 เครื่องยนต์ 2 สูบอย่างแน่นอน
ส่วนในพิกัดตั้งแต่ 500 ซีซีขึ้นไป คาวาซากิก็คงจะนำไปอย่างไม่มีคู่แข่งในช่วงนี้ก่อน ผมมองว่าค่ายอื่นๆที่เหลือต่างก็มีโครงการในการผลิต BIGBIKE ขึ้นในประเทศไทย แต่ผมก็ยังให้ความสำคัญในตลาดรถพิกัด ไม่เกิน 500 ซีซีอยู่ดี เนื่องจากได้เปรียบเรื่องภาษี
รถ 500 ซีซี ที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ จะต้องเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ ช็อคอัพหน้า อัพไซด์ดาว์น ปรับตั้งได้ สวิงอาร์มหลังและเฟรมเป็นอลูมิเนียม ทุกอย่างจัดเต็ม เท่าที่การผลิตในเมืองไทยจะสามารถทำได้
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นมุมมองจากผมที่มองด้วยความคิดที่ว่าถ้าเราเป็นผู้ใช้รถเราอยากได้อะไร และ ถ้าเราเป็นผู้ขายรถ เราจะขายอะไร อาจจะถูก หรือ ผิดก็ได้ คิดเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนแนวคิดแล้วกัน นะครับ
ขอบคุณครับ
ทิศทางในอนาคตของBIG BIKE ในตลาดเมืองไทย
จากนั้นในปี 2009 ก็มีรุ่นอื่นๆของคาวาซากิตามมาติดๆ ได้แก่ ER6N , NINJA 650F( ER6F) ไม่นับรวมที่นำเข้าจากต่างประเทศเช่น ZX10R,VALCAN
และในปี 2010 คาวาซากิ ได้ย้ายการผลิต VERSYS 650 จากญี่ปุ่น มาผลิตในประเทศไทย เสริมตลาดให้แข็งแกร่งขึ้น
ค่ายฮอนด้าซึ่งเดิมไม่เคยสนใจในตลาดBIG BIKE ในไทยเลย ก็เริ่มหันมาสนใจและต้องการแย่งส่วนแบ่งตลาดซึ่งในขณะนั้นคาวาซากิครอบครองอย่างไร้คู่แข่ง
ฮอนด้านั้นได้เปรียบคู่แข่งตรงที่มีฐานของลูกค้าเดิมอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งมีโครงสร้างองค์กรที่ใหญ่กว่า จึงสามารถทำการวิจัยและผลิตตัวสินค้าได้อย่างรวดเร็ว จึงเป็นที่มาของ HONDA CBR250R มาด้วยเครื่องยนต์สูบเดียว และ ออฟชั่นเต็มตามที่ได้ทำวิจัยสำรวจจากลูกค้าว่าต้องการอะไรให้มีในรถรุ่นใหม่ และ ตามมาติดด้วย รถวิบาก CRF250 ที่ใช้เครื่องยนต์ตัวเดียวกันกับ CBR250
ฮอนด้าไม่ได้หยุดอยู่แค่250 แต่ได้ขยับขึ้นไปต่อกรกับตัว 650 ของคาวา แต่คราวนี้มีปัจจัยเรื่องภาษีมาแบ่งกั้นให้เกิดตลาดรถพิกัดไม่เกิน 500ซีซีขึ้น ฮอนด้าชิงความได้เปรียบเรื่องพิกัดภาษี ทำการผลิตรถรุ่นใหม่ในขนาดพิกัดไม่เกิน 500ซีซี ซึ่งทำราคาขายได้ถูกว่า ตัว650ของคาวาซากิ อย่างเห็นได้ชัด
คราวนี้ผมจะเริ่มมองตลาดรถBIG BIKE ในอนาคตแล้วหล่ะว่า จะเกิดรถรุ่นใหม่ๆอะไรขึ้นมามั่ง ผมคาดว่า ภายในไม่เกิน 2 ปีนี้ หรือ อย่างเร็วที่สุดคือ ปลายปี 2014 เราอาจจะได้เห็นค่ายรถทั้งสอง ต่างผลิตรถในพิกัด 500 ซีซี ที่เป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ จัดออฟชั่นเต็มในราคาที่ไม่เกิน 280,000-320,000 บาท ขึ้นอยู่กับว่าจะใช้วัสดุในการผลิตแบบไหน
ส่วนในรุ่นรองลงมา รถในพิกัด 250 ซีซี จะถูกเลิกผลิต แทนที่ด้วยพิกัด 300ซีซีแทน โดยทางคาวาได้ไปในยกแรกนี้ด้วย NINJA 300
ฮอนด้าคงจะไม่นิ่งรอให้คาวาชกอยู่ฝ่ายเดียว ผมบอกได้เลยว่า อาจจะได้เห็น CBR300 เครื่องยนต์ 2 สูบอย่างแน่นอน
ส่วนในพิกัดตั้งแต่ 500 ซีซีขึ้นไป คาวาซากิก็คงจะนำไปอย่างไม่มีคู่แข่งในช่วงนี้ก่อน ผมมองว่าค่ายอื่นๆที่เหลือต่างก็มีโครงการในการผลิต BIGBIKE ขึ้นในประเทศไทย แต่ผมก็ยังให้ความสำคัญในตลาดรถพิกัด ไม่เกิน 500 ซีซีอยู่ดี เนื่องจากได้เปรียบเรื่องภาษี
รถ 500 ซีซี ที่จะเกิดขึ้นมาใหม่ จะต้องเป็นเครื่องยนต์ 4 สูบ ช็อคอัพหน้า อัพไซด์ดาว์น ปรับตั้งได้ สวิงอาร์มหลังและเฟรมเป็นอลูมิเนียม ทุกอย่างจัดเต็ม เท่าที่การผลิตในเมืองไทยจะสามารถทำได้
ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นมุมมองจากผมที่มองด้วยความคิดที่ว่าถ้าเราเป็นผู้ใช้รถเราอยากได้อะไร และ ถ้าเราเป็นผู้ขายรถ เราจะขายอะไร อาจจะถูก หรือ ผิดก็ได้ คิดเสียว่าเป็นการแลกเปลี่ยนแนวคิดแล้วกัน นะครับ
ขอบคุณครับ