เราเป็นนักศึกษาปี 4 เรียนคณะบริหารธุรกิจ สาขาการบัญชี จากมหาวิทยาลัยของรัฐแห่งหนึ่ง ตั้งแต่เด็กจนโตเราเป็นคนเรียนดี แต่ก็ไม่ใช่พวกบ้าเรียนจนไม่ยอมกินเที่ยวเข้าสังคมกับคนอื่นนะคะ ตอนอยู่ม.ปลายเรียนสายศิลป์-คำนวณค่ะ ไม่เลือกเรียนสายวิทย์เพราะไม่อยากเรียนเกี่ยวข้องกับตัวเลขอย่างพวกฟิสิกส์ เคมี (ไม่อยากเรียนเรื่องเครียดๆ แค่วิชาเลขอย่างเดียวก็ชวนเครียดแล้ว) ทั้งๆ ที่เราเป็นคนชอบเรียนวิทยาศาสตร์แท้ๆ แต่ก็ชอบด้านภาษาด้วยเหมือนกัน สุดท้ายจึงไปลงเอยที่สายศิลป์-คำนวณค่ะ
พออยู่ ม.6 ใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัย เราสับสนไม่รู้ว่าอยากจะทำอะไรต่อเลยจริงๆ คิดในใจว่าเรียนทั้งอนุบาล ประถม มัธยมก็แล้ว ทำไมถึงไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ทางบ้านเลยเสนอให้เรียนบัญชีเหมือนคุณแม่เพราะดูแววแล้วว่าเราน่าจะสามารถเรียนได้ ก็เลยได้โควต้ามหา'ลัยเข้าเรียนไปตามคำแนะนำ จนกระทั่งตอนนี้อยู่ปี 4 เกรดเฉลี่ยรวม 3.86 เป็นนักศึกษากำลังฝึกงานอยู่ที่สำนักงานบัญชีและกฎหมายแห่งหนึ่ง เป็นเวลา 4 เดือน พอได้ทำงานถึงได้มองเห็นตัวเองว่า นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าเราไม่มีปัญหากับเจ้านาย กับงาน หรือเพื่อนร่วมงาน แต่เราเป็นเหมือนคนที่ขาดแรงจูงใจในการทำงาน ใช่ว่าไม่เคยทำงานมาก่อนนะคะ ก่อนหน้านี้เคยทำงานพาร์ทไทม์เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้ง และขายหนังสือในงานหนังสือที่จัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์มา 4 ปี (จัดกี่งานก็ไปขายหมดแหละ เป็นงานที่เหนื่อยแต่ก็สนุกที่ได้พูดคุยกับผู้คน อีกอย่างการอ่านหนังสือแนวสาระบันเทิงก็เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งของเราด้วย ที่ blog ก็มีรีวิวนิยายไว้เพียบ เผื่อใครสนใจเข้าไปดูได้นะคะ)
พอมาทำงานจริง ในสายงานของเราต้องทำงานหลักอยู่กับแต่พวกเอกสาร พนักงานก็ทำงานแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่ค่อยสื่อสารกัน อยู่ไปสักพักก็เริ่มชิน ทั้งๆ ที่ปกติเราเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส เวลาแสดงน้ำใจและอัธยาศัยดีไปก็เหมือนส่งไปทางอากาศเพราะเขาอยู่กันแบบกลุ่มใครกลุ่มมัน จนกลัวว่าอีกไม่นานตัวเองจะถูกสภาวะแวดล้อมกลืนไปกับคนอื่นๆ จนเป็นเหมือนหุ่นยนต์ไป และเพิ่งรู้ตัวว่าการทำงานไปตามระบบอยู่แต่ในกรอบไม่ใช่สิ่งที่ชอบเท่าไหร่ คาดว่าถึงจะเปลี่ยนไปทำงานด้านสอบบัญชีก็คงอารมณ์ไม่ต่างกัน ตรวจตัวเลข ตรวจเอกสาร วนไปเวียนมาอยู่แบบนี้
ระหว่างฝึกงานก็ต้องทำวิจัยด้วย กลายเป็นว่าเราไม่รู้สึกสนุกกับการมาทำงานเลย เหมือนทำงานเป็นหุ่นยนต์ไปวันๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่จ้องมองนาฬิการอเวลาเลิกงาน ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะเกิดกับตัวเองจริงๆ สิ่งเดียวที่ทำให้เราสนใจขณะนี้คืองานวิจัยที่กำลังทำค่ะ ผู้บริหารฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์เขาต้องการให้เราช่วยวิจัยสิ่งที่เป็นปัญหาและนำเสนอหนทางแก้ไขให้ ซึ่งเรากลับชอบและสนุกกับงานนี้มากกว่าค่ะ ปัญหาที่เรามองว่ามีอยู่แยะแต่ผู้บริหารไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้มาสัมผัสกับพนักงานระดับล่างเอง นั่นทำให้ได้นำความรู้ที่มีอยู่มาใช้ ไม่ต้องทำงานในวงจรแบบเดิมๆ เพื่อนๆ pantip ที่มีประสบการณ์พอจะแนะนำได้มั๊ยคะว่า เราเรียนบัญชีมาแบบนี้จะไปต่อยอดงานอะไรได้บ้างนอกจากเป็นผู้ทำบัญชี เคยคิดจริงจังถึงขนาดลองวางแผนสมมติให้ตัวเองเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เลยนะ แต่พอประเมินความเสี่ยงดู คำนวณค่าใช้จ่ายไปมาแล้วคงไม่เหมาะกับครอบครัวเรา 555
สุดท้ายคิดนู่นคิดนี่สารพัด เป็นพวกชอบคิดค่ะ ก็ยังค้นหาตัวเองไม่เจออยู่ดี ไม่รู้ว่ากว่าจะเป็นผู้ใหญ่จะต้องลองผิดลองถูกกันนานขนาดไหนถึงจะเจองานที่ชอบ คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบนี่น่าอิจฉาจริงๆ นะคะ แต่เราก็จะพยายามจนกว่าจะถึงวันนั้น เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้บอกกันบ้างน้า
เรียนสายบัญชี แต่ยังค้นหาตัวเองไม่เจอ ช่วยรับฟังหน่อยค่ะ
พออยู่ ม.6 ใกล้จะเข้ามหาวิทยาลัย เราสับสนไม่รู้ว่าอยากจะทำอะไรต่อเลยจริงๆ คิดในใจว่าเรียนทั้งอนุบาล ประถม มัธยมก็แล้ว ทำไมถึงไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร ทางบ้านเลยเสนอให้เรียนบัญชีเหมือนคุณแม่เพราะดูแววแล้วว่าเราน่าจะสามารถเรียนได้ ก็เลยได้โควต้ามหา'ลัยเข้าเรียนไปตามคำแนะนำ จนกระทั่งตอนนี้อยู่ปี 4 เกรดเฉลี่ยรวม 3.86 เป็นนักศึกษากำลังฝึกงานอยู่ที่สำนักงานบัญชีและกฎหมายแห่งหนึ่ง เป็นเวลา 4 เดือน พอได้ทำงานถึงได้มองเห็นตัวเองว่า นี่เรากำลังทำอะไรอยู่ แน่นอนว่าเราไม่มีปัญหากับเจ้านาย กับงาน หรือเพื่อนร่วมงาน แต่เราเป็นเหมือนคนที่ขาดแรงจูงใจในการทำงาน ใช่ว่าไม่เคยทำงานมาก่อนนะคะ ก่อนหน้านี้เคยทำงานพาร์ทไทม์เป็นเจ้าหน้าที่หน่วยเลือกตั้ง และขายหนังสือในงานหนังสือที่จัดที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์มา 4 ปี (จัดกี่งานก็ไปขายหมดแหละ เป็นงานที่เหนื่อยแต่ก็สนุกที่ได้พูดคุยกับผู้คน อีกอย่างการอ่านหนังสือแนวสาระบันเทิงก็เป็นงานอดิเรกอย่างหนึ่งของเราด้วย ที่ blog ก็มีรีวิวนิยายไว้เพียบ เผื่อใครสนใจเข้าไปดูได้นะคะ)
พอมาทำงานจริง ในสายงานของเราต้องทำงานหลักอยู่กับแต่พวกเอกสาร พนักงานก็ทำงานแบบต่างคนต่างอยู่ ไม่ค่อยสื่อสารกัน อยู่ไปสักพักก็เริ่มชิน ทั้งๆ ที่ปกติเราเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส เวลาแสดงน้ำใจและอัธยาศัยดีไปก็เหมือนส่งไปทางอากาศเพราะเขาอยู่กันแบบกลุ่มใครกลุ่มมัน จนกลัวว่าอีกไม่นานตัวเองจะถูกสภาวะแวดล้อมกลืนไปกับคนอื่นๆ จนเป็นเหมือนหุ่นยนต์ไป และเพิ่งรู้ตัวว่าการทำงานไปตามระบบอยู่แต่ในกรอบไม่ใช่สิ่งที่ชอบเท่าไหร่ คาดว่าถึงจะเปลี่ยนไปทำงานด้านสอบบัญชีก็คงอารมณ์ไม่ต่างกัน ตรวจตัวเลข ตรวจเอกสาร วนไปเวียนมาอยู่แบบนี้
ระหว่างฝึกงานก็ต้องทำวิจัยด้วย กลายเป็นว่าเราไม่รู้สึกสนุกกับการมาทำงานเลย เหมือนทำงานเป็นหุ่นยนต์ไปวันๆ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าตัวเองจะกลายเป็นคนที่จ้องมองนาฬิการอเวลาเลิกงาน ไม่ใช่สิ่งที่คิดว่าจะเกิดกับตัวเองจริงๆ สิ่งเดียวที่ทำให้เราสนใจขณะนี้คืองานวิจัยที่กำลังทำค่ะ ผู้บริหารฝ่ายบริหารทรัพยากรมนุษย์เขาต้องการให้เราช่วยวิจัยสิ่งที่เป็นปัญหาและนำเสนอหนทางแก้ไขให้ ซึ่งเรากลับชอบและสนุกกับงานนี้มากกว่าค่ะ ปัญหาที่เรามองว่ามีอยู่แยะแต่ผู้บริหารไม่รู้ เพราะเขาไม่ได้มาสัมผัสกับพนักงานระดับล่างเอง นั่นทำให้ได้นำความรู้ที่มีอยู่มาใช้ ไม่ต้องทำงานในวงจรแบบเดิมๆ เพื่อนๆ pantip ที่มีประสบการณ์พอจะแนะนำได้มั๊ยคะว่า เราเรียนบัญชีมาแบบนี้จะไปต่อยอดงานอะไรได้บ้างนอกจากเป็นผู้ทำบัญชี เคยคิดจริงจังถึงขนาดลองวางแผนสมมติให้ตัวเองเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เลยนะ แต่พอประเมินความเสี่ยงดู คำนวณค่าใช้จ่ายไปมาแล้วคงไม่เหมาะกับครอบครัวเรา 555
สุดท้ายคิดนู่นคิดนี่สารพัด เป็นพวกชอบคิดค่ะ ก็ยังค้นหาตัวเองไม่เจออยู่ดี ไม่รู้ว่ากว่าจะเป็นผู้ใหญ่จะต้องลองผิดลองถูกกันนานขนาดไหนถึงจะเจองานที่ชอบ คนที่ได้ทำงานที่ตัวเองชอบนี่น่าอิจฉาจริงๆ นะคะ แต่เราก็จะพยายามจนกว่าจะถึงวันนั้น เพื่อนๆ คิดเห็นอย่างไรกับประเด็นนี้บอกกันบ้างน้า