นิทานชาวสวน ๒๔ ก.ค.๕๖

กระทู้สนทนา
นิทานชาวสวน


บุญรักษา

เพทาย

ผมเคยเล่ามาหลายครั้งว่า ผมตั้งใจจะทำบุญในวันสำคัญทางพุทธศาสนา ซึ่งปีหนึ่งมีอยู่เพียงสี่วัน รู้สึกว่าจะน้อยไป จึงเพิ่มเป็นวันอาทิตย์ที่ว่างจากธุระงานการ ก็ได้เพิ่มมาอีกหลายวัน มาปีนี้คิดจะเพิ่มในวันเกิดด้วย คือวันพฤหัสบดี แต่คราวนี้มักจะลืม ก็ไม่เป็นไรอีกหน่อยก็ชินไปเอง เขาว่าอย่างนั้น

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๓๑ พฤษภาคม ปีนี้ เป็นวันวิสาขบูชา จึงไปวัดชลประทานรังสฤษดิ์ ปากเกร็ด แต่เช้า ซึ่งเวลา ๐๙.๐๐ น. จะมีการสวดมนต์แปลตามแบบของคณะธรรมทาน สวนโมกขพลาราม

ในคำสวดมนต์ทำวัตรเช้านั้น ผมชอบอยู่บทหนึ่ง ซึ่งมีคำแปลว่า

มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดมีภัยคุกคามแล้ว
ก็ถือเอาภูเขาบ้าง ป่าไม้บ้าง อาราม และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ
นั่นมิใช่สรณะอันเกษมเลย นั่นมิใช่สรณะอันสูงสุด
เขาอาศัยสรณะนั้นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

ส่วนผู้ใดถือเอา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว
เห็นอริยสัจ คือความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ
คือเห็นความทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้
และหนทางอันมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์

นั่นแหละ เป็นสรณะอันเกษม นั่น เป็นสรณะอันสูงสุด
เขาอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้.

จบแล้วมีพระสงฆ์มาแสดงปาฐกถาธรรม แทนหลวงพ่อปัญญานันทะหรือพระพรหมมังคลาจารย์ ซึ่งไปปฏิบัติภารกิจนอกวัด ความจริงท่านปัญญานันทะนี้ เราเรียกหลวงพ่อติดปากกันมาสี่สิบกว่าปี คนหนุ่มคนสาวในปัจจุบันน่าจะเรียกหลวงปู่ได้ เพราะท่านก็ได้มีอายุครบ ๙๖ ปีไปเมื่อ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๐ นี้แล้ว

องค์แสดงธรรมท่านพูดได้ดีมาก ได้ความชัดเจนแจ่มแจ้ง เสียงดังฟังชัด ไม่ช้าหรือเร็วเกินไป พอจะสรุปได้ว่าพระพุทธเจ้าทรงใช้ขันติธรรมความอดทน ในการศึกษาหาความรู้ให้แจ้ง และอดทนในการเผยแพร่ธรรมะ ไม่หวั่นไหวต่อคำติฉินนินทาหรือด่าว่าของผู้ไม่เห็นด้วย หรือผู้ที่อาฆาตมาตร้ายต่อพระองค์แต่อย่างใด

จบแล้วก็มีการตักบาตรพระภิกษุทั้งเก่าใหม่ ที่นั่งอยู่รอบลานหินโค้ง เมื่อถึงเวลาเพลก็มีผู้นำสมาทานศีลห้า และกล่าวถวายสังฆทาน แล้วพระสงฆ์ทั้งหมดก็ฉันภัตตาหารเพล

ระหว่างนั้นก็จะมีการสวดมนต์แปลอีกคาบหนึ่ง แต่ผมไม่ได้อยู่แล้ว ขออนุญาตกลับก่อนที่พระสงฆ์จะอนุโมทนาเมื่อฉันเสร็จ เพราะเชื่อว่าได้บุญกุศลตามสมควรแล้ว ไม่ต้องรอพระให้พร

เมื่อกลับมาถึงบ้าน ก็พยายามระลึกถึงคำสอนที่พระท่านเทศน์ให้ฟังในวันนี้ จิตใจที่เกิดความน้อยใจ คับแค้นใจ ไม่สบายใจ ที่ท่านว่าเป็นทุกข์ ซึ่งได้รับมาเมื่อวานก็ลดลง และเป็นปกติในที่สุด

พอมาถึงวันอาทิตย์ ผมก็ออกจากบ้านแต่เช้าตามเดิม คราวนี้ไปในทิศตรงกันข้ามกับวันวิสาขบูชา มุ่งไปยังวัดที่มีสวนป่าอยู่กลางกรุง แวดล้อมไปด้วยตึกสูงระฟ้าทั้งสามด้าน ส่วนด้านหน้าก็มีรถไฟฟ้าแล่นผ่านอยู่ทุก ๓-๕ นาที ผมชอบนั่งในสวนอันร่มรื่นฟังเสียงเบา ๆ จากลำโพงที่กระจายอยู่ทั่วพื้นที่บริเวณวัด ซึ่งผมเคยได้ฟังเสียงสวดมนต์ของอุบาสกอุบาสิกา และพระธรรมเทศนาของพระสงฆ์ที่นิมนต์มาจากอารามต่าง ๆ

แต่วันนี้เป็นการเล่าประวัติของพระอาจารย์องค์ใดองค์หนึ่ง ที่ผมไม่ทราบชื่อเพราะมาไม่ทันตอนต้น ซึ่งรู้สึกว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับอภินิหารมากมาย

ผมจึงลุกขึ้นเอาเงินใส่ตู้บริจาค ที่ตั้งเรียงอยู่สี่ตู้ แล้วก็เดินออกจากสวนนั้น ผ่านสถานที่รับจองวัตถุมงคลที่กำลังเป็นที่นิยมสูงสุดอยู่ในเวลานี้ ไปยังพระอุโบสถ

ผมยืนพนมมืออยู่หน้าพระอุโบสถ เพราะไม่สามารถเข้าไปนั่งคุกเข่าหรือพับเพียบได้ ด้วยความขัดข้องของกระดูกกระเดี้ยวทั้งหลาย พร้อมกับกล่าวเพียงเบา ๆ พอได้ยินเองว่า

พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะ
ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระธรรมเป็นสรณะ
สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ ข้าพเจ้าถือเอาพระสงฆ์เป็นสรณะ

แล้วก็เดินออกจากประตูกำแพงแก้วรอบพระอุโบสถ คิดว่าจะไปฉี่ที่สุขาของวัดซึ่งได้ชื่อว่าสะอาดที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ แต่ขณะนั้นมีรถตู้จอดอยู่ ๒-๓ คันและมีพระสงฆ์กำลังเดินมาขึ้นรถ คงจะรับกิจนิมนต์ไปข้างนอก และรถนั้นจอดบังทางที่จะเข้าสุขาอยู่ จึงเดินเลี่ยงจะมุ่งไปออกประตูวัดไปหาที่ปลดทุกข์เอาข้างหน้า

แต่พอผ่านเต๊นท์ที่คงจะจัดนิทรรศการเมื่อวันวิสาขบูชา เห็นมีแผ่นภาพและข้อความติดอยู่จึงเร่เข้าไปดู และไปหยุดสนใจเรื่องประวัติวันวิสาขบูชาในประเทศไทย ซึ่งพรรณามาตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นราชธานี

อ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งแผ่น ก็มีเสียงดังโครม และแผงกระดานที่ติดเรื่องราวซึ่งสูงเลยหัวผมนั้น ก็ผงะเอนลงมาจะทับผม ด้วยความตกใจและสัญชาตญาณป้องกันตัว จึงเอามือขวาดันไว้มือเดียว เพราะมือซ้ายหิ้วย่ามประจำตัวค่อนข้างหนักอยู่

แต่ดันอยู่ได้แป๊บเดียวก็ทำท่าจะไม่ไหว จะผลักกลับไปก็ไม่ไหว จึงตัดสินใจปล่อยมือพร้อมกับกระโดด หลบออกมาทางด้านขวา แผงนั้นก็ล้มโครมเฉียดไปนิดเดียวแค่เส้นยาแดงผ่าสิบสอง

ผมมองไปทางด้านหน้าก็เห็นรถตู้คันหนึ่ง กำลังเลื่อนไปข้างหน้า หลังจากที่ถอยอย่างไม่ระวัดระวังจนเข้ามาชนแผงติดตั้งนิทรรศการในเต๊นท์ และเกือบทำให้ผมเจ็บตัวโดยไม่เจตนาเสียแล้ว เมื่อมองตรงเข้าไปในกระจกมองหลังด้านขวา ก็เห็นคนขับกำลังยิ้มอย่างขบขันอยู่ โดยไม่คิดที่จะลงมาดูผลของการกระทำของตน และขอโทษผมผู้เสียหายแต่อย่างใด

ผมเองก็เลยไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป เพราะไม่ได้เจ็บปวดเคล็ดขัดยอกที่ไหน จึงพนมมือขึ้นไหว้ไปบนอากาศ ตั้งใจอโหสิพร้อมกับแผ่เมตตาให้เขา พร้อมกับนึกในใจว่า ที่เคราะห์ดีไม่เจ็บตัวไปมากกว่านี้ ก็คงจะเป็นผลจากการที่ได้ทำบุญทำกุศลมาสองวันนี้เอง

เพราะผมไม่ได้มีวัตถุมงคลติดตัวเลย แม้แต่ชิ้นเดียว.

##########
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่