พอดีมีโอกาสได้สัมผัส WD Red เลยอยากจะมาแชร์ให้หลาย ๆ คนได้อ่านกันครับ
อ่านรีวิวฉบับเต็ม :
http://ireview.in.th/review-wd-red-nas/
ราคา WD Red
สำหรับ WD Red จะมีความจุให้เลือกทั้งหมด 3 ขนาด คือ (Update 22/07/56 อ้างอิงร้าน J.I.B)
- 1TB ราคา 2,590 บาท
- 2TB ราคา 3,540 บาท
- 3TB ราคา 4,790 บาท
WD HDD แบ่งออกเป็นกี่ประเภท?
เท่าที่ผมเข้าใจมันจะแบ่งออกเป็นดังนี้ครับ (ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ)
- WD Black™ (สีดำ) : ตัวนี้เป็นรุ่นที่แพงที่สุด (ถ้านับเฉพาะรุ่นสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป) และมีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องความแรงอย่างไม่มีข้อสงสัย มาพร้อมกับระยะเวลาประกันถึง 5 ปี
- WD Red™ (สีแดง) : น้องใหม่ล่าสุดจาก WD ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ NAS มาพร้อมกับเทคโนโลยี NASware™ และ 3D Active Balance Plus ความน่าเชื่อถือสูงและออกแบบสำหรับการใช้งาน 24/7 โดยเฉพาะ มาพร้อมกับระยะเวลาประกันถึง 3 ปี
- WD Green™ (สีเขียว) : ตัวนี้เป็นรุ่นที่เย็น เงียบ ประหยัดไฟและรักษาสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับใช้สำรองข้อมูลทั่ว ๆ ไป เป็นรุ่นที่เทียบราคาต่อความจุแล้วถูกที่สุด มาพร้อมกับระยะเวลาประกันถึง 2 ปี (จากผลทดสอบแล้วเป็นรุ่นที่ช้าที่สุดด้วย)
- WD Blue™ (สีฟ้า) : รุ่นมาตรฐานของ WD เป็นรุ่นเล็กสุด (ความจุ) แต่ก็ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไป ราคาคุ้มค่าเริ่มต้นที่ความจุ 500GB มาพร้อมกับระยะเวลาประกันถึง 2 ปี
นอกจากนี้ยังมีรุ่นสำหรับ OEM, RE4 Enterprise ฯลฯ ซึ่งเราจะไม่พูดถึงแล้วกันนะครับ เนื่องจากมันค่อนข้างที่จะไกลตัวสำหรับผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไป
WD Red คืออะไร?
WD Red เป็น HDD เพียงชนิดเดียวที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ NAS (Network Attached Storage) ซึ่งรับประกันว่า WD Red จะสามารถใช้กับ NAS Box ได้เกือบทุกรุ่นในโลก รวมถึงการออกแบบและทดสอบโดยเฉพาะเพื่อให้รองรับการใช้งานบน NAS Box ระดับชั้นนำ เท่านั้นยังไม่พอ WD Red ยังได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วัน และในขณะเดียวกันก็ยังคงประหยัดพลังงานอีกด้วย
WD Red มีขนาด Buffer Size ที่ 64MB และมีอายุการใช้งานเฉลี่ยหรือ MTBF ที่ 1,000,000 ชั่วโมง (ประสิทธิภาพสูงกว่าทั่วไปถึง 35%) ก่อนที่ไดร์ฟจะเริ่มทำงานผิดพลาด นอกจากนั้นยังรองรับแรงสั่นสะเทือนในขณะทำงานได้ที่ 65G และขณะไม่ทำงานที่ 350G เหมาะกับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและสำนักงานขนาดเล็ก
ในการทดสอบของเราเมื่อนำมาต่อเป็น Internal HDD ถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ก็ได้ค่าความเร็วเขียนที่ 145.8MB/s และอ่านที่ 150.7MB/s โดยจะมีค่าเฉลี่ยนอยู่ที่ 148.3MB/s แต่เมื่อใช้กับการโอนไฟล์ขนาดเล็กมันไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนัก และได้ค่าความเร็วเขียนที่ 41.2MB/s และอ่านที่ 62.2MB/s โดยจะมีค่าเฉลี่ยนอยู่ที่ 51.7MB/s
สำหรับในแง่เรื่องประสิทธิภาพถือว่าไม่เลวแต่ก็ไม่ได้ดีเลิศอะไร แต่ก็ยังถือว่าใช้งานได้ดีกว่า WD Green (จะว่าไป WD Green ล็อตใหม่ ๆ ก็ไม่อืดแล้วนะ) ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าการซื้อ WD Red ดูเหมือนจะเสียเงินเปล่าด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหล่ะในเรื่องการใช้งานจริงหากจะให้วัดกันแค่ประสิทธิภาพแบบชั่วครั้งชั่วคราวคงจะไม่ได้ เพราะมันมีเรื่องของคุณสมบัติความทนทานและอายุการใช้งาน (อันนี้ผมคงวัดให้ไม่ได้จริง ๆ) แล้วก็อย่าลืมว่าการที่ WD Red แพงกว่า WD Green นั้นเพราะมันได้ประกันมากกว่าถึง 1 ปี อีกทั้งยังมีบริการหลังการขายด้วยนะ
ข้อดี
1.มาพร้อมเทคโนโลยี NASware และ 3D Active Balance Plus
2.อายุการใช้งานสูงกว่าทั่วไป 35%
3.รองรับแรงสั่นสะเทือนในขณะทำงานได้ที่ 65G และขณะไม่ทำงานที่ 350G
4.เหมาะสำหรับใช้กับ NAS หรือ RAID
5.ระยะเวลารับประกัน 3 ปี
ข้อเสีย
1.ในรุ่นความจุเท่ากันแพงกว่า WD Green, WD Blue หลายร้อยบาทอยู่
2.เทียบประสิทธิภาพทั่วไปแล้ว ยังไม่ค่อยเห็นผลอย่างเห็นได้ชัดเจนนัก
3.Call Center (ภาษาไทย) มีบริการเฉพาะช่วงเวลา
สรุป
ราคาแพงกว่ารุ่นทั่วไปหลายร้อย แต่หลายคนก็ยินดีจ่ายเพื่อความสบายใจ เพราะบางคนเข็ดกับ WD Green ที่เข้าถึงไฟล์ได้อืดเหลือเกิน (แต่เห็นว่าล็อตใหม่ ๆ เขาปรับปรุงแล้ว) ทีนี้ครั้นจะซื้อ WD Blue มาใช้ก็ดันไม่มีรุ่นความจุเกิน 1TB ขาย ส่วน WD Black ก็ดันแพงเกินเอื้อม ดังนั้น WD Red คือส่วนที่มาเติมเต็มทั้งในช่วงระยะเวลาการรับประกันและช่องว่างระหว่างราคา หากคุณจะซื้อ HDD มาใช้กับ NAS หรือ RAID การจ่ายเงินเพิ่มอีก 600-700 บาท แลกกับความสบายใจในคุณภาพและระยะเวลาประกันเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี คุณคิดว่ามันแพง … (หรือเปล่า?)
ที่มา :
http://ireview.in.th/review-wd-red-nas/
[SR] รีวิว WD Red NAS “ฮาร์ดดิสก์ที่เกิดมาสำหรับ NAS”
อ่านรีวิวฉบับเต็ม : http://ireview.in.th/review-wd-red-nas/
ราคา WD Red
สำหรับ WD Red จะมีความจุให้เลือกทั้งหมด 3 ขนาด คือ (Update 22/07/56 อ้างอิงร้าน J.I.B)
- 1TB ราคา 2,590 บาท
- 2TB ราคา 3,540 บาท
- 3TB ราคา 4,790 บาท
WD HDD แบ่งออกเป็นกี่ประเภท?
เท่าที่ผมเข้าใจมันจะแบ่งออกเป็นดังนี้ครับ (ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยครับ)
- WD Black™ (สีดำ) : ตัวนี้เป็นรุ่นที่แพงที่สุด (ถ้านับเฉพาะรุ่นสำหรับผู้ใช้งานทั่วไป) และมีประสิทธิภาพสูงสุด สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องความแรงอย่างไม่มีข้อสงสัย มาพร้อมกับระยะเวลาประกันถึง 5 ปี
- WD Red™ (สีแดง) : น้องใหม่ล่าสุดจาก WD ออกแบบมาเฉพาะสำหรับ NAS มาพร้อมกับเทคโนโลยี NASware™ และ 3D Active Balance Plus ความน่าเชื่อถือสูงและออกแบบสำหรับการใช้งาน 24/7 โดยเฉพาะ มาพร้อมกับระยะเวลาประกันถึง 3 ปี
- WD Green™ (สีเขียว) : ตัวนี้เป็นรุ่นที่เย็น เงียบ ประหยัดไฟและรักษาสิ่งแวดล้อม เหมาะสำหรับใช้สำรองข้อมูลทั่ว ๆ ไป เป็นรุ่นที่เทียบราคาต่อความจุแล้วถูกที่สุด มาพร้อมกับระยะเวลาประกันถึง 2 ปี (จากผลทดสอบแล้วเป็นรุ่นที่ช้าที่สุดด้วย)
- WD Blue™ (สีฟ้า) : รุ่นมาตรฐานของ WD เป็นรุ่นเล็กสุด (ความจุ) แต่ก็ยังคงประสิทธิภาพสูง เหมาะสำหรับคอมพิวเตอร์ทั่ว ๆ ไป ราคาคุ้มค่าเริ่มต้นที่ความจุ 500GB มาพร้อมกับระยะเวลาประกันถึง 2 ปี
นอกจากนี้ยังมีรุ่นสำหรับ OEM, RE4 Enterprise ฯลฯ ซึ่งเราจะไม่พูดถึงแล้วกันนะครับ เนื่องจากมันค่อนข้างที่จะไกลตัวสำหรับผู้ใช้งานทั่ว ๆ ไป
WD Red คืออะไร?
WD Red เป็น HDD เพียงชนิดเดียวที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับ NAS (Network Attached Storage) ซึ่งรับประกันว่า WD Red จะสามารถใช้กับ NAS Box ได้เกือบทุกรุ่นในโลก รวมถึงการออกแบบและทดสอบโดยเฉพาะเพื่อให้รองรับการใช้งานบน NAS Box ระดับชั้นนำ เท่านั้นยังไม่พอ WD Red ยังได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้ทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วัน และในขณะเดียวกันก็ยังคงประหยัดพลังงานอีกด้วย
WD Red มีขนาด Buffer Size ที่ 64MB และมีอายุการใช้งานเฉลี่ยหรือ MTBF ที่ 1,000,000 ชั่วโมง (ประสิทธิภาพสูงกว่าทั่วไปถึง 35%) ก่อนที่ไดร์ฟจะเริ่มทำงานผิดพลาด นอกจากนั้นยังรองรับแรงสั่นสะเทือนในขณะทำงานได้ที่ 65G และขณะไม่ทำงานที่ 350G เหมาะกับทั้งผู้ใช้ตามบ้านและสำนักงานขนาดเล็ก
ในการทดสอบของเราเมื่อนำมาต่อเป็น Internal HDD ถ่ายโอนไฟล์ขนาดใหญ่ก็ได้ค่าความเร็วเขียนที่ 145.8MB/s และอ่านที่ 150.7MB/s โดยจะมีค่าเฉลี่ยนอยู่ที่ 148.3MB/s แต่เมื่อใช้กับการโอนไฟล์ขนาดเล็กมันไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนัก และได้ค่าความเร็วเขียนที่ 41.2MB/s และอ่านที่ 62.2MB/s โดยจะมีค่าเฉลี่ยนอยู่ที่ 51.7MB/s
สำหรับในแง่เรื่องประสิทธิภาพถือว่าไม่เลวแต่ก็ไม่ได้ดีเลิศอะไร แต่ก็ยังถือว่าใช้งานได้ดีกว่า WD Green (จะว่าไป WD Green ล็อตใหม่ ๆ ก็ไม่อืดแล้วนะ) ซึ่งส่วนตัวผมมองว่าการซื้อ WD Red ดูเหมือนจะเสียเงินเปล่าด้วยซ้ำ แต่ก็นั่นแหล่ะในเรื่องการใช้งานจริงหากจะให้วัดกันแค่ประสิทธิภาพแบบชั่วครั้งชั่วคราวคงจะไม่ได้ เพราะมันมีเรื่องของคุณสมบัติความทนทานและอายุการใช้งาน (อันนี้ผมคงวัดให้ไม่ได้จริง ๆ) แล้วก็อย่าลืมว่าการที่ WD Red แพงกว่า WD Green นั้นเพราะมันได้ประกันมากกว่าถึง 1 ปี อีกทั้งยังมีบริการหลังการขายด้วยนะ
ข้อดี
1.มาพร้อมเทคโนโลยี NASware และ 3D Active Balance Plus
2.อายุการใช้งานสูงกว่าทั่วไป 35%
3.รองรับแรงสั่นสะเทือนในขณะทำงานได้ที่ 65G และขณะไม่ทำงานที่ 350G
4.เหมาะสำหรับใช้กับ NAS หรือ RAID
5.ระยะเวลารับประกัน 3 ปี
ข้อเสีย
1.ในรุ่นความจุเท่ากันแพงกว่า WD Green, WD Blue หลายร้อยบาทอยู่
2.เทียบประสิทธิภาพทั่วไปแล้ว ยังไม่ค่อยเห็นผลอย่างเห็นได้ชัดเจนนัก
3.Call Center (ภาษาไทย) มีบริการเฉพาะช่วงเวลา
สรุป
ราคาแพงกว่ารุ่นทั่วไปหลายร้อย แต่หลายคนก็ยินดีจ่ายเพื่อความสบายใจ เพราะบางคนเข็ดกับ WD Green ที่เข้าถึงไฟล์ได้อืดเหลือเกิน (แต่เห็นว่าล็อตใหม่ ๆ เขาปรับปรุงแล้ว) ทีนี้ครั้นจะซื้อ WD Blue มาใช้ก็ดันไม่มีรุ่นความจุเกิน 1TB ขาย ส่วน WD Black ก็ดันแพงเกินเอื้อม ดังนั้น WD Red คือส่วนที่มาเติมเต็มทั้งในช่วงระยะเวลาการรับประกันและช่องว่างระหว่างราคา หากคุณจะซื้อ HDD มาใช้กับ NAS หรือ RAID การจ่ายเงินเพิ่มอีก 600-700 บาท แลกกับความสบายใจในคุณภาพและระยะเวลาประกันเพิ่มขึ้นอีก 1 ปี คุณคิดว่ามันแพง … (หรือเปล่า?)
ที่มา : http://ireview.in.th/review-wd-red-nas/