เล่าเรื่องการทำบุญและปฏิบัติธรรมในวันอาสาฬหบูชา เล็กๆ น้อยๆ

เล่าเรื่องการทำบุญและปฏิบัติธรรมในวันอาสาฬหบูชา เล็กๆ น้อยๆ

      วันนี้วันเข้าพรรษา ซึ่งผมก็ไม่ได้สนทนากันหลายวัน วันนี้ก็มีโอกาสตั้งกระทู้สนทนากันต่อ  ก็จะเล่ากิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในกิจกรรมวันพระเมื่อวาน ตามประสาชาวเน็ต

      เมื่อวานวันพระก็ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรมากหนัก เกี่ยวกับประเพณีนิยม เพราะเป็นไปไม่คอยดีสำหรับผมและครอบครัว กว่าจะไปวัดก็สายแล้ว ที่จอดรถก็ไม่มีแต่ก็โชคดีที่มีรถออกคันหนึ่ง จึงได้โอกาสมีที่จอดรถ
       เมื่อไปที่ศาลาเพราะสายแล้วเขากำลังเก็บบาตรพระ ที่ตั้งไว้เพื่อให้คนมาทำบุญตักบาตรข้าวสวย(อย่างเดียว) ก่อนที่จะยกไปศาลาให้กับพระฉันเพล ในพิธี เป็นอันว่าผมก็ได้ตักบาตรเข้าเปล่านั้น 1 ถุงพอดี ที่กำลังจะยกไปให้พระฉันในพิธี  

       ผมก็ยิ้มๆ  เพราะข้าวที่ผมตักไปนั้นพระต้องฉันแน่ๆ  เพราะเป็นบาตรเทียวสุดท้ายที่ต้องยกไปให้พระฉันโดยตรง ด้วยเพราะบาตรนั้นน่าจะเต็มมาหลายรอบแล้ว และยกไปเทในกะละมังเป็นส่วนใหญ่ ด้วยคนมาทำบุญนั้นแน่นเต็มวัดเลยทีเดียว จึงมีอาหารทั้งกับข้าวและผลไม้ขนมกองไว้มากมายที่เดียว  ผมต้องหาที่นั่งเพื่อถวายสังฆทาน ใกล้ทังขยะ โดยที่ไม่รับรู้ถึงกลิ่นขยะเลย เพราะไม่รู้ไม่สังเกตว่ามีทั้งขยะอยู่  เมื่อถวายเสร็จผมจึงเดินไปหาภรรยา แล้วกลับมานั่งที่เดิม  แต่ครั้งนี้กลับได้กลิ่นจึงเหลียวไปดู ออ. นั่งใกล้ชิดกับถังขยะ จึงชวนภรรยาเดิมชมตลาดนัดใหญ่แบบอินเตอร ในบริเวณวัดและนอกบริเวณวัด และด้วยตลาดนี้แหละผมจึงไม่ค่อยได้มาทำบุญในวันพระที่ตรงกับเสาร์ – อาทิตย์ อีกเพราะ คนปลุกพล่านมาก และที่ร้ายคือไม่มีที่จอดรถ
        พอสายประมาณเกือบ 11 โมง ผมก็กลับบ้าน เหมือนตนเองไม่ได้ทำบุญอะไรมาก ในวันพระสำคัญเลย  เมื่อทานข้าวกลางวันเสร็จ ก็นอนผักผ่อนงีบใหญ่  ตื่นขึ้นมาก็คิดว่าเอาแหละเราจะนั่งกรรมฐานต่อไปเรื่อยๆ

        ต่อไปผมจะไม่เล่ารายละเอียดของอารมณ์กรรมฐานนะครับ เมื่อเริ่มนั่งก็กำหนดรู้ อารมณ์และร่างกายที่นั่ง แล้วกำหนดรู้ น้อมใจ แบบภาวนา

            ระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
            บูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
            ศรัทธาในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  
      

     จนใจแน่วแน่ ก็สงบดีแต่ก็รู้ว่าถ้าปล่อยภาวนาอย่างนี้ เดียวก็สะลึมสะลือ อยู่ในภวังค์อย่างเดิมๆ  เมื่อจะเริ่มเข้าเขตสะลึมสะลือ  จึงน้อมใจว่า ควรเจริญสติให้มากขึ้น จึงน้อมใจภาวนา โดยแยกกายกับใจ แล้วรู้ชัดที่ใจ ภาวนาว่า

           “นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช้ตัวตนของเรา”

       มีสติภาวนาวนอยู่อย่างนั้นโดยรู้ชัดว่า ใจนั้น ความรู้สึกนั้น ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา      จนเข้าสู่ภวังค์นิ่งแบบคล้ายไม่รับรู้อีก  จึงเห็นว่าสติน่าจะยังน้อยอยู่อีก  จึงได้อุบายว่าจะภาวนายาวๆ ขึ้น โดยยกพุทธพจน์ขึ้นอย่างชัดเจนแล้วภาวนาตามพุทธพจน์นั้นเนื่องๆๆ              

          สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์
          สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา
          ผู้มีปัญญาพึงพิจารณาว่า นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช้ตัวตนของเรา


     สติก็ดีขึ้น ไม่ตกไปสู่ภวังค์แบบไม่รับรู้ แต่เมื่อภาวนาไปนานๆ ก็กลับเข้าสู่แบบเดิมอีก  จึงเห็นต้องมีคำภาวนาที่เพิ่มเชื่อมต่อตามธรรมอีก เพื่อสติสมบูรณ์ จึงเพิ่มคำภาวนาต่อจาก

          นั้นไม่ใช่เรา นั้นไม่ใช่ของเรา นั้นไม่ใช่ตั้งตนของเรา
     (เพิ่ม) สักแต่เป็นที่ละลึกเป็นที่อาศัยเท่านั้น ไม่มีทิฐิ และตัณหา ไม่ยึดมั่นถือมั่นใดๆ ในโลก
          เป็นเช่นนั้นเอง


     เมื่อมีคำภาวนาที่ยาวขึ้น และภาวนาอยู่เนื่องๆ ก็จะไม่เกิดสภาวะลงภวังค์แบบนิ่งเงียบ  แต่จะกลายเป็นแบบ  สักแต่รู้ เหมือนดังมีสติรักษาอยู่ ไม่มีสิ่งใดปน คงอยู่ระยะหนึ่ง แล้วถอยมารับรู้กำหนดภาวนาต่อ แล้วค่อยเป็นใหม่ เป็นดังนี้

        รวมเวลาในการนั่งสมาธิครั้งนี้  น่าจะ 2 ชั่วโมง

    เป็นอันว่า วันอาสาฬหบูชา นั้น ผมก็ได้ปฏิบัติตามธรรมพอสมบูรณ์ในระดับหนึ่งนั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่