ตอนที่ผมยังโสดมักได้ยินรุ่นพี่ที่ทำงานหลายคนจะคุยกันว่าตอนท้อง ได้ฝากพิเศษกับอาจารย์หมอท่านนั้นท่านนี้ แล้วบรรยายสรรพคุณสารพัด บ้างก็บอกถ้าไม่ฝากพิเศษจะได้พยาบาลหรือนักศึกษาแพทย์มาทำคลอด แต่ถ้าฝากพิเศษก็จะได้ระดับอาจารย์หมอมาทำคลอด พอปี ๕๕ ผมแต่งงาน ปลายปีเมียก็ท้อง จังหวะเดียวกันเมียรุ่นพี่ก็ท้องก่อนเมียผม ๑ เดือน เพื่อนน้องสาวท้องหลังเมียผม ๑ เดือน เมียเพื่อนฝากพิเศษที่ รพ.ใหญ่ แห่งหนึ่ง ส่วนเพื่อนน้องฝากพิเศษที่ รพ.ใหญ่อีกแห่งหนึ่ง ส่วนเมียผมฝากธรรมดาที่ศิริราช ผู้ใหญ่ท่านหนึ่งพอทราบว่าผมไม่ได้ฝากพิเศษก็บอกให้ผมฝากพิเศษบ้างแล้วเล่าอย่างโน้นอย่างนี้ ผมเลยบอกว่าผมไม่เห็นด้วย หมอได้รับเงินเดือนแล้วทำคลอดงานในหน้าที่ก็ยังต้องเอาเงินพิเศษอีกหรอ เลยมีคนว่าผมงก (อันนี้ผมยอมรับว่าใช่แต่ไม่ใช่ทั้งหมด) พากันคิดว่าผมจะไม่บำรุงเมียเพราะขี้เหนียว พอได้ยินว่าผมซื้อนมให้เมียกิน มาถามผมว่า นึกว่าจะไม่ซื้ออะไรให้เมียกิน ผมเลยอธิบายว่า ผมบำรุงเมียตามที่เหมาะสมอย่างดื่มนม ทานอาหารที่เป็นประโยชน์ ปลา โอเมก้า กล้วย ทำนองนี้ แต่จะให้ฝากพิเศษตามชาวบ้านคงไม่เอาเพราะผมมองว่าเรื่องการทำคลอดแม้จะมีความเสี่ยงพอสมควรแต่ก็น่าจะมากมายอะไร เพราะสมัยก่อนก็เกิดกับหมอตำแยกันทั้งนั้น อีกอย่างถ้าต้องให้ระดับอาจารย์หมอมาทำคลอดลูกเราถึงจะปลอดภัยเด็ก ตจว.คงตายหมดแล้ว นี่เมียผมฝากท้องที่ศิริราช ซึงก็มีมาตรฐานมากแล้วยังต้องเอาระดับอาจารย์หมอมาทำคลอดอีกหรอ อะไรจะต้องตั้งมาตรฐานกันสูงขนาดนี้ แล้วผมก็ไม่ได้สนใจเรื่องฝากพิเศษ ทั้งที่เมียผมมีภาวะเบาหวานระหว่างตั้งครรภ์ แต่ผมกับเมียก็ระมัดระวังเรื่องการทานอาหารและปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณหมอย่างเคร่งครัด โดยที่คุณหมอเจ้าของครรภ์ไม่เคยเอ่ยปากชวนฝากพิเศษแม้แต่คำเดียว (น่ารักมาก) ภายหลังผมพิมพ์ชื่อท่านใน google จึงทราบว่าท่านเป็นอาจารย์หมอที่มีชื่อเสียงมาก
กลับมาเล่าถึงเมียเพื่อนที่ฝากพิเศษกับคุณหมอชื่อดังคนหนึ่ง ปรากฏว่า เมียเพื่อนผมคนนี้กินสารพัดน้ำหนักขึ้นเอามากๆ แต่ปรากฏว่าต้องผ่าคลอดก่อนกำหนดประมาณ ๒๐ วัน หรือมากกว่านั้น เนื่องจากมีภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยหมอบอกน่าจะมาจากการที่แม่กินทุเรียนมากเกินไปจนความดันโลหิตสูง พอคลอดออกมาลูกต้องเข้าตู้อบหลายวันเพราะหายใจเร็ว ความดันโลหิตสูง ตัวผอมเล็ก
ส่วนลูกผมอยู่ในท้องเป็นเวลา ๔๐ สัปดาห์ กับ ๑ วัน โดยในสัปดาห์ที่ ๓๙ หมอได้ส่งไปตรวจฟังเสียงหัวใจ ระบบหายใจ และสุขภาพทั่วไปของเด็กปรากฏว่าปกติดี ต่อมาวันที่ครบกำหนด ๔๐ สัปดาห์ ก็ไปหาหมอตามนัดอีก หมอก็ส่งไปตรวจเหมือนเดิมอีกคราวนี้บอกว่าเด็กหายใจเร็วกว่าปกติจึงรับตัวไว้เลย จากนั้นหมอให้ออกซิเจนเมียผมประมาณ ๓๐ นาที เด็กก็หายใจปกติ แต่เนื่องจากครบกำหนดคลอดแล้วปากมดลูกก็เปิดแล้ว ๑ เซนติเมตร แล้ว หมอจึงให้นอนรอคลอด ๑๒ ชั่วโมงต่อมายังไม่คลอดหมอเลยฉีดยาเร่งให้ อีก ๑๒ ชั่วโมงต่อมาจึงคลอดโดยวิธีธรรมชาติ (คนที่ทำคลอดก็เป็นหมอนะครับเพียงแต่ไม่ใช่หมอที่ดูแลตอนฝากครรภ์) เด็กน้ำหนัก ๓๓๕๐ กรัม แข็งแรงทั้งแม่และเด็ก แต่มีตัวเหลืองบ้างแต่ไม่ถึงต้องกับไปส่องไฟในตู้ โดยก่อนคลอดผมเป็นกังวลพอสมควรเรื่องที่อาจคลอดเองไม่ได้เพราะเมียเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จึงกลัวว่าลูกจะตัวใหญ่คลอดเองไม่ได้ แต่คุณหมอบอกให้ลองดูก่อนเพราะการคลอดเองเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
ส่วนเพื่อนน้องสาวเด็กอยู่ในท้อง ๔๑ สัปดาห์เศษ จนหมอผ่าคลอดเมื่อไม่กี่วันนี้ น้ำหนัก ๔๐๐๐ กรัมเศษ ด้านสุขภาพผมไม่รู้ว่าเป็นไง แต่หลังจากออกจากห้องคลอดหมอบอกว่า อย่าลืมใส่ซองให้หมอนะ ๘,๐๐๐ (แปดพันบาท) โดยหมอบอกให้ผ่าคลอดมาโดยตลอดไม่เหมือนหมอที่ดูแลเมียผม
ที่เล่ามานี้อยากก็แค่อยากเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง ไม่ได้บอกว่าการฝากพิเศษไม่ดีแต่อย่างใด และอยากสื่อไปว่า
๑. การฝากพิเศษไม่ได้เป็นการรับประกันได้เลยว่าเราจะได้รับการดูและเป็นพิเศษจริงๆ หรือลูกเราจะแข็งแรงกว่าเด็กอื่น อย่างเมียเพื่อนผมถ้าหมอที่ฝากพิเศษดูแลดีจริงทำไมไม่เคยเตือนเรื่องการทานอาหารที่อาจส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด
๒. หมอบางคนที่คิดแต่เรื่องเงินจากการรับฝากพิเศษ ยังมีตัวอย่างของคนที่เมียผมรู้จักอีกสองคนซึ่งได้ไปฝากพิเศษกับอาจารย์หมอแล้วพอถึงเวลาหมอที่ฝากครรภ์ด้วยมาไม่ทัน หมอที่ทำคลอดให้ก็ไม่กล้าเย็บแผลเพราะเดี๋ยวหมอที่รับฝากพิเศษจะไม่มีส่วนร่วม (ไม่ได้เงินจากการฝากพิเศษ) จึงต้องปล่อยให้แม่นอนเจ็บแผลอย่างนั้นรอหมอที่ฝากพิเศษมาเย็บ
๓. ถึงไม่ฝากพิเศษคนที่มาทำคลอดก็เป็นหมอนะครับ เพียงแต่ไม่ใช่หมอที่ดูแลเราตอนฝากครรภ์
๔. การฝากพิเศษมีข้อดีคือถ้าเจอหมอดีเราก็จะได้รับการดูแลที่มากขึ้นกว่าคนอื่น (ซึ่งน่าจะเหมาะกับคนที่สุขภาพไม่ดีและต้องการได้รับการดูแลเป็นพิเศษ) แต่มีข้อเสียคือบางคนพอฝากพิเศษแล้วก็ประมาทไม่ค่อยดูแลหรือระมัดระวังด้วยตัวเอง เพราะคิดว่ามีหมอดูแลดีแล้ว แต่ลืมไปว่าหมอไม่ได้มานั่งเฝ้าเรา ๒๔ ชั่วโมง
๕. หลายคนฝากพิเศษตามกระแสสังคมทั้งที่สุขภาพของตัวเองไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และยังสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ
ฝากครรภ์พิเศษ
กลับมาเล่าถึงเมียเพื่อนที่ฝากพิเศษกับคุณหมอชื่อดังคนหนึ่ง ปรากฏว่า เมียเพื่อนผมคนนี้กินสารพัดน้ำหนักขึ้นเอามากๆ แต่ปรากฏว่าต้องผ่าคลอดก่อนกำหนดประมาณ ๒๐ วัน หรือมากกว่านั้น เนื่องจากมีภาวะครรภ์เป็นพิษ โดยหมอบอกน่าจะมาจากการที่แม่กินทุเรียนมากเกินไปจนความดันโลหิตสูง พอคลอดออกมาลูกต้องเข้าตู้อบหลายวันเพราะหายใจเร็ว ความดันโลหิตสูง ตัวผอมเล็ก
ส่วนลูกผมอยู่ในท้องเป็นเวลา ๔๐ สัปดาห์ กับ ๑ วัน โดยในสัปดาห์ที่ ๓๙ หมอได้ส่งไปตรวจฟังเสียงหัวใจ ระบบหายใจ และสุขภาพทั่วไปของเด็กปรากฏว่าปกติดี ต่อมาวันที่ครบกำหนด ๔๐ สัปดาห์ ก็ไปหาหมอตามนัดอีก หมอก็ส่งไปตรวจเหมือนเดิมอีกคราวนี้บอกว่าเด็กหายใจเร็วกว่าปกติจึงรับตัวไว้เลย จากนั้นหมอให้ออกซิเจนเมียผมประมาณ ๓๐ นาที เด็กก็หายใจปกติ แต่เนื่องจากครบกำหนดคลอดแล้วปากมดลูกก็เปิดแล้ว ๑ เซนติเมตร แล้ว หมอจึงให้นอนรอคลอด ๑๒ ชั่วโมงต่อมายังไม่คลอดหมอเลยฉีดยาเร่งให้ อีก ๑๒ ชั่วโมงต่อมาจึงคลอดโดยวิธีธรรมชาติ (คนที่ทำคลอดก็เป็นหมอนะครับเพียงแต่ไม่ใช่หมอที่ดูแลตอนฝากครรภ์) เด็กน้ำหนัก ๓๓๕๐ กรัม แข็งแรงทั้งแม่และเด็ก แต่มีตัวเหลืองบ้างแต่ไม่ถึงต้องกับไปส่องไฟในตู้ โดยก่อนคลอดผมเป็นกังวลพอสมควรเรื่องที่อาจคลอดเองไม่ได้เพราะเมียเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์จึงกลัวว่าลูกจะตัวใหญ่คลอดเองไม่ได้ แต่คุณหมอบอกให้ลองดูก่อนเพราะการคลอดเองเป็นเรื่องที่ดีที่สุด
ส่วนเพื่อนน้องสาวเด็กอยู่ในท้อง ๔๑ สัปดาห์เศษ จนหมอผ่าคลอดเมื่อไม่กี่วันนี้ น้ำหนัก ๔๐๐๐ กรัมเศษ ด้านสุขภาพผมไม่รู้ว่าเป็นไง แต่หลังจากออกจากห้องคลอดหมอบอกว่า อย่าลืมใส่ซองให้หมอนะ ๘,๐๐๐ (แปดพันบาท) โดยหมอบอกให้ผ่าคลอดมาโดยตลอดไม่เหมือนหมอที่ดูแลเมียผม
ที่เล่ามานี้อยากก็แค่อยากเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง ไม่ได้บอกว่าการฝากพิเศษไม่ดีแต่อย่างใด และอยากสื่อไปว่า
๑. การฝากพิเศษไม่ได้เป็นการรับประกันได้เลยว่าเราจะได้รับการดูและเป็นพิเศษจริงๆ หรือลูกเราจะแข็งแรงกว่าเด็กอื่น อย่างเมียเพื่อนผมถ้าหมอที่ฝากพิเศษดูแลดีจริงทำไมไม่เคยเตือนเรื่องการทานอาหารที่อาจส่งผลให้เกิดการคลอดก่อนกำหนด
๒. หมอบางคนที่คิดแต่เรื่องเงินจากการรับฝากพิเศษ ยังมีตัวอย่างของคนที่เมียผมรู้จักอีกสองคนซึ่งได้ไปฝากพิเศษกับอาจารย์หมอแล้วพอถึงเวลาหมอที่ฝากครรภ์ด้วยมาไม่ทัน หมอที่ทำคลอดให้ก็ไม่กล้าเย็บแผลเพราะเดี๋ยวหมอที่รับฝากพิเศษจะไม่มีส่วนร่วม (ไม่ได้เงินจากการฝากพิเศษ) จึงต้องปล่อยให้แม่นอนเจ็บแผลอย่างนั้นรอหมอที่ฝากพิเศษมาเย็บ
๓. ถึงไม่ฝากพิเศษคนที่มาทำคลอดก็เป็นหมอนะครับ เพียงแต่ไม่ใช่หมอที่ดูแลเราตอนฝากครรภ์
๔. การฝากพิเศษมีข้อดีคือถ้าเจอหมอดีเราก็จะได้รับการดูแลที่มากขึ้นกว่าคนอื่น (ซึ่งน่าจะเหมาะกับคนที่สุขภาพไม่ดีและต้องการได้รับการดูแลเป็นพิเศษ) แต่มีข้อเสียคือบางคนพอฝากพิเศษแล้วก็ประมาทไม่ค่อยดูแลหรือระมัดระวังด้วยตัวเอง เพราะคิดว่ามีหมอดูแลดีแล้ว แต่ลืมไปว่าหมอไม่ได้มานั่งเฝ้าเรา ๒๔ ชั่วโมง
๕. หลายคนฝากพิเศษตามกระแสสังคมทั้งที่สุขภาพของตัวเองไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ และยังสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ