[ถอดรหัสหนัง] ตีความ Only God Forgives [Spoil เต็มพิกัด]

เอาละครับ หลังจากที่ได้ดูหนังสุดอาร์ตของ  Nicolas Winding Refn จบลงไป ก็ขอมาทำตัววิเคราะห์ถอดรหัสหนังเรื่องนี้ซักนิดหน่อย
ก่อนอื่นต้องขอบอกว่า ผมไม่ได้เป็นคนมีความรู้เรื่องหนังลึกสุดหยั่งอะไรมากมาย หนังก็ดูตามความชอบ หนังอาร์ตก็ดูบ้างแต่ก็ไม่ได้ตามติดทุกเรื่อง ดังนั้นบทวิเคราะห์ต่างๆจึงเป็นความเห็นนึงของผมเองที่ชอบคิดโน่นหาข้อมูลไปเรื่อยเวลาดูหนังรวมถึงจากที่ได้อ่าน Script ของหนังก็เลยเอามาแชร์ๆกันตามประสาคนชอบดูและตีความหนังนะครับ อาจจะดูเหมือนผมพล่ามอะไรไร้สาระก็ต้องขออภัยด้วยครับ มีอะไรก็มาคุยมาถกกันได้มาแชร์กันนะครับ
เอาล่ะ เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า

1. Exotic
ผมว่าเรื่องนี้ด้วยแก่นเลยคือขายความเป็น Exotic มากๆ ซึ่งคำนี้ถ้าจะแปลเป็นไทยก็คงจะหาความหมายที่จะมาอธิบายได้ยากอยู่พอสมควร คือมันมีความแปลกประหลาด มีความที่ไม่ธรรมดา อยู่ในนั้น
ซึ่งผมคิดว่า นั่นเป็นเหตุผลที่ทำไมต้องเป็น "เมืองไทย" คือถ้าใครเคยอ่านหรือเคยคุยกับฝรั่งต่างชาติที่มาเที่ยวเมืองไทยก็จะพอรู้เลยว่าเมืองไทยเป็นเมืองแห่งความ Exotic นั่นรวมไปถึง ผู้หญิงไทยที่สวยแบบ Exotic วัฒณธรรมที่ผสมผสาน หรือแม้กระทั่งตัวอักษร ที่ตั้งแต่ไตเติ้ล หนังเลือกที่จะใช้ตัวอักษรไทยบอกรายชื่อของทั้งบริษัทผู้ผลิตต่างๆ ซึ่งเป็นการแสดงออกถึงความ Exotic ตั้งแต่แรกเริ่ม
เท่านั้นยังไม่พอครับ นั่นยังรวมไปถึง "มวยไทย" ที่เป็นกีฬา (บวกการพนัน) ที่มีเฉพาะในเมืองไทยก็เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความเป็น Exotic เช่นกัน และการขายบริการอีกด้วย

2. ความ Contrast ที่สร้างความอึดอัด
ตรงนี้ต้องขออ้างอิงถึงเรื่องศิลปะซักเล็กน้อยครับ หลังจากดูหนังเรื่องนี้ทุกๆคนคงเห็นด้วยว่าหนังมันอึดอัด ไม่ได้แบบดูสบายตา ซึ่งนั่นมาจากความ Contrast หรือความต่างที่มันชัดเจนมากๆในหลายองค์ประกอบ ทั้งเรื่องแสง ที่ใช้สี แดงตัดฟ้า แบบชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นฉากในค่ายมวยที่ไฟด้านนอกเป็นสีแดงแต่ในห้องน้ำเป็นสีฟ้า หรือแม้กระทั่งฉากในร้านคาราโอเกะที่ไฟจากโคมเป็นสีแดง แต่ไฟจากตู้ปลาเป็นสีฟ้า
เรื่องแสงที่บ่อยครั้งเราจะเห็นฉากที่ ในห้องมืด แต่ข้างนอกสว่าง ในหลายฉากมากๆซึ่งเป็นองค์ประกอบที่ต้องบอกว่า จงใจให้ผิด จากปกติทั่วๆไป
นั่นคงรวมไปถึงความต่างในเรื่องของกิริยาท่าทางต่างๆที่มันดูขัดกันมากๆ อย่างเช่นตัวอย่างที่ชัดเจนคือฉากคาราโอเกะ ที่ทุกคนนั่งนิ่งไม่แสดงอาการหรือแม้แต่ขยับตัวใดๆทั้งสิ้นในบรรยากาศที่มัน ควรจะต้อง เป็นอารมณ์สนุกสนาน
ฉากคาราโอเกะหรือฉากร้องเพลงซึ่งผมว่ามีความหมายมากๆในเรื่องคือการสร้างความ Contrast นี่แหละครับ ถ้าสังเกตุคือฉากร้องเพลงจะเป็นฉากที่ตามมาหลังจากฉากการฆ่าหรือแสดงความรุนแรงทุกครั้ง ซึ่งเป็นเหมือนการกระชากอารมณ์แบบทันทีเพื่อสร้างบรรยากาศและความรู้สึกที่มัน Akward หรือแปลกประหลาดแบบงงๆว่า อะไรวะ ประมาณนั้นในความคิดผม
อย่าลืมว่าแม้แต่ตัวละครที่เป็น คนต่างชาติในประเทศไทย รวมไปถึงช้างหัวหน้าของพวกตำรวจที่เป็นคนลงมือฆ่าคนหรือทำสิ่งผิดกฏหมาย (ใช้ศาลเตี้ย)ทั้งๆที่ตัวเองเป็นผู้รักษากฏหมาย ก็เป็นการสร้างความแตกต่างระหว่างตัวละครและสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกันครับ  


3. ความโรคจิตของตัวละคร
ประเด็นนี้คงต้องคุยกันค่อนข้างยาวหน่อยเพราะเป็นประเด็นที่น่าสนใจ เราจะเห็นว่าตัวละครหลักๆทุกตัวต่างมีความ โรคจิต ในตัวของตัวเอง
อันดับแรกผมอยากพูดถึงตัว จูเลี่ยนและแม่ ซะหน่อย หลายคนอาจจะเห็นหรือเข้าใจเหมือนผมหรือไม่ก็แล้วแต่นะครับ แต่ผมต้องขอบอกเลยว่าตามที่ผมเข้าใจ "คริสตอลหรือแม่ของจูเลี่ยนและบิลลี่ เคยมีอะไรกับลูกตัวเองทั้งคู่มาแล้ว" ครับ ผมเข้าใจแบบนั้นจริงๆแม้หนังจะไม่ได้บอกตรงๆก็ตาม แต่ตั้งแต่ฉากแรกที่จูเลี่ยนและแม่พบหน้ากันอีกครั้ง (ครั้งแรกที่เราเห็นในหนัง) เรากลับรู้สึกได้ถึงความ แปลก ในฉากนั้น ผมมีความรู้สึกได้ทันทีตั้งแต่เห็นคริสตอลเอานิ้วลูบแขนของจูเลี่ยนขึ้นลงซึ่งมันเป็นนัยยะ กิริยาส่อถึงเรื่องแบบนั้นได้ และยิ่งแน่ใจมากขึ้นไปอีกเมื่อ คริสตอลพูดถึง "ขนาด" ของบิลลี่และจูเลี่ยนในฉากบนโต๊ะอาหาร ซึ่งด้วยเหตุผลเหล่านี้ทำให้ผมค่อนข้างมั่นใจครับว่าทำไม จูเลี่ยนถึงมีอาการที่เรียกว่า Mother Complex เพราะถูก กระทำชำเรา มาตั้งแต่เด็ก ซึ่งผลที่ตามมาก็คือความรุนแรง โดยเฉพาะบิลลี่ที่อยากมีอะไรกับเด็กสาว(และความรุนแรง ตาม Script จริงๆที่เขียน ประโยคแรกที่บิลลี่พูดในหนังคือ I love Violence! ) การที่จูเลี่ยนไม่เคยมีอะไรกับใหม่เลย (ผมเชื่อว่าอย่างนั้นนะครับจากฉากแรกที่ใหม่ช่วยตัวเองให้จูเลี่ยนดู) และด้วยความที่เหมือนขาดความอบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก ก็ตามมาถึงฉากตอนใกล้จบที่จูเลี่ยนมองเห็นศพของแม่แต่ไม่แสดงอาการเสียใจเลย แต่กลับเอาดาบแทงซ้ำแล้วเอามือล้วงเข้าไปในท้อง ซึ่งเป็นฉากที่แสดงว่า จูเลี่ยนอยากจะรับรู้ถึงความอบอุ่นจากแม่เมื่อตอนที่ตนเองอยู่ในท้องนั่นเอง ถ้าจะคิดต่อว่า จูเลี่ยนฆ่าพ่อตัวเองตามที่คริสตอลบอกจริงมั้ย อันนี้คงตอบยากแต่ถ้าจะให้เดาก็คงจะเดาว่าจริงเพราะก็สมเหตุสมผลที่จูเลี่ยนต้องหนีมาอยู่ที่เมืองไทย และเหตุผลก็อาจจะให้เดาว่าพ่ออาจจะทำร้ายแม่หรือทำร้ายตัวจูเลี่ยนเองด้วยซึ่งประกอบกับเหตุผล Mother complex ด้วยแล้วก็อาจจะทำให้จูเลียตตัดสินใจฆ่าพ่อของตัวเองจริงๆ แต่ตาม Script ดั้งเดิมบอกว่าจูเลี่ยนฆ่านายตำรวจตายที่บ้านเกิดทำให้ต้องหนีมาครับ (บทเดิมตัวละครเป็นคนอังกฤษแต่เปลี่ยนเป็นคนอเมริกันครับ)

ทีนี้มาที่ตัวละครอื่นกันบ้าง ที่ไม่พูดไม่ได้เลยก็คือ ช้าง หรือนายตำรวจจอมโหดของเรา ความโรคจิตของช้างก็อย่างที่เราเห็นคือ การใช้ของมีคม ที่แม้แต่ในปัจจุบันที่มีปืนใช้แล้วก็ตามแต่ช้างเลือกที่จะใช้ ดาบ ในการฆ่าและทรมาน ผมว่าจุดนี้กลับแสดงออกถึงความโรคจิตอย่างมากๆอันนึงนะครับถ้าคิดตามความเป็นจริง อีกเรื่องของช้างจาก Script ซึ่งเราอาจจะไม่รู้ในหนังก็คือ ช้างซึ่งเคยเป็นนายตำรวจฝีมือดีนั้นยังเคยเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงมาก่อน แถมยังเคยประสบเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องอยู่ในอาการโคม่าอยู่ร่วมปี หลังจากฟื้นขึ้นมาจึงเชื่อว่าตนเองได้พบประสบการณ์หลังความตาย ได้ไปในหลายสถานที่ และที่สำคัญคือรู้สึกว่าตนเองเปลี่ยนไป และจากเหตุการณ์นี้คงทำให้ช้างมีความผิดปกติ หรือเรียกว่าต้องทำหน้าที่ชำระบาปให้กับผู้คนด้วยการลงโทษแบบนี้นั่นเองครับ
ตัวละครที่ปกติที่สุดในหมู่ตัวละครหลักผมกลับคิดว่าเป็นใหม่ที่ดูจะแสดงออกเป็นแบบคนธรรมดาทั่วไปมากที่สุดแล้วล่ะครับ  

4. Wanna Fight?
เป็นอีกซีนเด่นของเรื่องที่คงจะไม่พูดถึงไม่ได้ ซึ่งฉากนี้กลับบ่งบอกความหมายหลายๆอย่าง แต่สิ่งที่ผมแอบสังเกตุตั้งแต่แรกหลังจากที่ช้างถูกจูเลี่ยน ท้าต่อย สิ่งที่ช้างทำคืออะไร? ช้างกลับไม่ตอบอะไรแต่ก้มลงดูอะไรบางอย่างของจูเลี่ยน ครับเดาได้อย่างเดียวเลยว่า ช้างคงไม่ได้ดูรองเท้าหรือหนอนน้อยของจูเลี่ยน แต่กลับดู มือ ของจูเลี่ยน ต่างหาก ผมกลับคิดไปว่า ถึงแม้จูเลี่ยนจะเป็นเจ้าของค่ายมวยไทย แต่ตนเองกลับไม่ได้มีประสบการณ์การต่อยตีซักเท่าไหร่เลย ที่ช้างดูมือแล้วตอบตกลงกับผลที่ตามมาอย่างที่เห็นน่าจะบ่งบอกได้ชัดเจนว่า ช้างเห็นแล้วว่ามือหรือหมัดของจูเลี่ยนนั้นมันช่างเรียบเนียนไม่ได้ผ่านการกรำศึกมามากเท่าไหร่ (แอบสังเกตุหมัดของจูเลี่ยนก็ผิวเรียบเนียนนุ่มจริงๆนะ) และนั่นล่ะครับ ผลก็ออกมาอย่างที่เห็นคือจูเลี่ยนเละทำอะไรช้างไม่ได้แม้แต่สัมผัส ฉากตัดสลับกับรูปปั้นนักมวยกับจูเลี่ยนที่ถูกพี่ช้างอัดเละเป็นโจ๊กก็คือ ศักดิ์ศรี ในตัวของจูเลี่ยนมันได้พังลงไปหมดสิ้นในฉากนั้นเอง หากจะถามว่าแล้วจะต่อยกันทำไม ไม่ฆ่ากันไปซะให้จบเรื่องก็ต้องอย่าลืมว่าในขณะนั้น จูเลี่ยนยังไม่รู้เรื่องที่คริสตอลจ้างคนไปฆ่าช้างเลยครับ บวกกับการที่จูเลี่ยนต้องการเอาชนะแบบแฟร์ไฟท์กับคนที่ได้ชื่อว่า Angel of Vengeance ด้วยแล้วเพื่อหวังว่าสุดท้ายตนจะรู้สึกว่าพ้นผิดการผลกรรมที่ตนเคยก่อมา
ตามบทนั้นฉากต่อยกันนี้ยังมีความหมายอีกอย่างที่แฝงอยู่คือการที่ทั้งสองคือการที่ ช้างได้เรียนรู้นิสัยของจูเลี่ยนด้วย ตาม Script คือจากการสู้กัน (ตามบทจริงๆคือขึ้นเวทีต่อยมวยกันจริงจังเลยและจูเลี่ยนก็ไม่ใช่เละขนาดนี้มีแลกหมัดกันพอสมควร) ช้างถึงกับเรียนรู้จากการต่อยกันนี้ว่าจูเลี่ยนไม่ได้เป็นคนบงการให้พวกมือปืนมาฆ่าตน ถือเป็นฉากที่ทั้งทรงพลังและมีความหมายมากมายเลยครับสำหรับฉากดวลหมัดกันฉากนี้

* แก้ไขชื่อตัวละครเล็กน้อยครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่