ปัญหาจากความไม่ลงตัวของสินสอดทองหมั้น นำไปสู่ความระแวงขัดแย้งกันของทั้งสองฝ่าย

เริ่มต้นจากผมกับแฟนเราคบกันและรู้จักกันมาได้ประมาณไม่ถึง 4 เดือน ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันเป็นช่วงเวลาที่มีแต่ความสุขและความเข้าใจกัน แฟนผมเป็นคน ตจว. เข้ามาทำงานในเมืองตั้งแต่วัยรุ่น จนปัจจุบันอายุ 38 (เราอายุเท่ากัน) ทุกครั้งที่เราไปไหนด้วยกันไม่ว่าจะเป็นที่ไหน จะเดินทางกันอย่างไรเราไม่เคยที่จะท้อ เพราะเรามีจุดยืนอยู่ตรงที่ว่าเราจะรักกันและเข้าใจกัน จนกระทั่งเข้าเดือนที่ 3 ผมมีความต้องการที่จะบวชให้พ่อแม่ อาจจะจริงที่มีบางคนหรือบางส่วนคิดว่าการที่บวชเนื่องมาจากมีจุดมุ่งหมายที่ต้องการจะแต่งงานกะแฟน แต่คนที่จะรู้จริงก็คือตัวผมเอง ซึ่งการบวชที่จะมีขึ้นแฟนผมก็คอยผลักดัน ในการชวนทวนบทท่องสวดขานนาคเพราะผมความจำไม่ค่อยดี และก็ทำเหรียญสำหรับโปรยทาน

                                   จนถึงวันที่ผมสึกออกมา (ผมบวชแค่อาทิตย์เดียว) จากนั้นเวลาผ่านไปได้ประมาณ 1 อาทิตย์ก่อนวันที่ผมกับแฟนจะกลับไปที่บ้านแฟนซึ่งอยู่จังหวัดเดียวกับบ้านยาย ผมได้คุยกะทางบ้านเรื่องการที่จะไปสู่ขอว่าจะวางสินสอดทองหมั้นเท่าไหร่ แม่ผมบอกว่าท่านเตรียมทอง 5 บาท กับเงิน 1 แสน ไว้ให้ผมแล้ว ผมจึงไปคุยกับแฟน ถามว่าโอเครึเปล่าซึ่งแฟนผมก็ไม่สามารถที่จะตอบได้ในวันนั้น เค้าบอกว่าขอคุยกะทางผู้ใหญ่ก่อน ซึ้งวันนั้นเองเป็นวันที่ผมกะแฟนกลับไปบ้านที่ ตจว. และทางบ้านผมพ่อแม่พี่น้องก็ไปบ้านยายซึ้งอยู่จังหวัดเดียวกันซึ่งบ้านของแฟนผมก็อยู่ห่างจากบ้านยายไปแค่ 10 กว่ากิโล เมื่อผมไปถึงบ้านแฟนก็พบแม่แฟน และ น้าเขยอยู่ที่บ้านผมจึงเริ่มคุยกับผู้ใหญ่ทั้งสองถึงเรื่องสินสอดทองหมั้นซึ่งได้คุยกะทางบ้านไว้แล้วว่า ทางบ้านตั้งใจไว้ว่าจะให้ทองกับทางฝ่ายหญิงเก็บไว้ ส่วนเงิน 1 แสนนั้นถ้าทางฝ่ายหญิงต้องการจะเก็บไว้ก็ให้ได้เต็มที่ 5 หมื่นบาท แต่พอคุยกับทางแม่ฝ่ายหญิง ก็บอกว่าต้องการ 2 แสน ซึ่งผมก็บอกไปตามตรงว่า คุยกะที่บ้านมาว่าอย่างไร จนสุดท้ายแล้วแม่ฝ่ายหญิงก็บอกว่า ต้องการเงิน 1.8 แสน ผมจึงบอกไปว่าเอาไว้ให้ผู้ใหญ่มาคุยกันอีกทีนึง พอคุยกันอยู่พักนึงหลังจากที่ผมได้พูดไป แม่ฝ่ายหญิงจึงบอกมาว่า ขอเงินสดมาวาง 2 แสน ทอง 4 บาท ฝ่ายหญิงจะคืนทองให้ลูกสาว ส่วนเงินคืนมาให้ 1 แสนอีก 1 แสนจะเก็ยไว้จัดงานเล็กๆ เพราะว่าแค่ยกน้ำชาตามธรรมเนียมจีน (แฟนผมพ่อเค้าเป็นคนจีนแต่ท่านเสียไปแล้ว ส่วนผมเป็นคนจีนแท้เลย) เงินส่วนที่เหลือจากการยกน้ำชา จะเก็บขึ้นไว้เผื่อว่าภายหลังลูกสาวจำเป็นที่จะต้องใช้ หรืออาจจะมีเรื่องกับทางฝ่ายชาย สรุปได้ใจความมาว่าตามนั้นผมจึงเดินทางกลับมาที่บ้านบ้านยายหาคนที่บ้าน คุยกับทางบ้านของผมตามที่ได้ยินมา ทางบ้านก็โอเคตกลงไม่ว่าอะไรถึงจะเป็นจำนวนเงินเกืนที่คุยไว้ แล้วตกลงกันต่อไปว่าวันรุ่งขึ้นจะไปคุยกันเรื่องการหมั้นกับฝ่ายหญิง แต่แล้วผมกับแฟนก็เดินทางกลับซึ้งระหว่างพาแฟนกลับสู่ที่พักเราไปแวะดูหนังกันก่อนกลับ ในระหว่างที่ดูหนังอยู่น้าสาวของแฟนก็โทรเข้ามาคุยเรื่องเงินสินสอด แฟนจึงเรียกผมออกไปคุยแล้วบอกว่าน้าสาวบอกว่า จำนวนเงินที่ฝ่ายสาวจะเก็บไว้ทำไมไม่เป็นตามที่ตกลง ผมกับแฟนจึงตกลงว่าจะคุยกันก่อนที่จะไปคุยให้ผู้ใหญ่ทางฝ่ายผมฟังสรุปได้ความว่า ยังไงทางน้าสาวก็ยังยืนยันว่าจะต้องได้เงินก้อนนั้นเก็บไว้ทั้งหมด ระหว่างนั้นน้องชายผมโทรเข้ามาพอดีแล้วถามว่าจะกลับถึงบ้านกี่โมงผมจึงบอกไปว่าฝ่ายหญิงเรียกมาอย่างไร ทางบ้านบอกว่าให้ผมทั้งสองคนคุยกัน ผมคุยกับแฟนอยู่ได้พักนึงสรุปกันไม่ได้ว่าจะจบกันที่ตรงไหน ทางบ้านโทรมารอบสอง แล้วเรียกให้ผมกลับไปคุยที่บ้านผมจึงถามว่าให้แฟนไปคุยด้วยมั้ย แฟนก็บอกว่าจะไปด้วยจึงกลับมาที่บ้านคุยกันว่า เงินจำนวน 2 แสนที่ทางฝ่ายหญิงเรียกมา ถ้าเกิดว่าหลังจากแต่งแล้วฝ่ายหญิงเริ่มที่จะรู้สึกไม่พอใจหรือเกิดการหย่าร้าง ฝ่ายหญิงก็จะเก็บเงินก้อนนั้นไป โดยที่ทางผมอาจจะไม่ได้ทำอะไรที่ผิดหรือไม่ดี ก็คือว่าทางบ้านไม่ไว้ทางฝ่ายหญิงเพราะว่ามีน้าผู้หญิงเข้ามาเกี่ยวข้องซึ่งทำให้ที่ตกลงกันไว้แต่แรกที่ว่าจะเก็บไว้ที่ 1 แสน จะเรียกที่จะเอาสองแสนให้ได้ ซึ่งทางฝ่ายหญิงก็หวังว่าเงินก้อนนี้จะเป็นหลักประกันให้แก่ลูกสาวและหลานสาวของเขา จึงทำให้เกิดความไม่ลงตัวระหว่างสองฝ่ายเป็นชนวนอันนำไปสู่การไม่ยอมรับฝ่ายหญิง กลัวว่าฝ่ายหญิงจะมาหลอกเอาเงิน และ ฝ่ายหญิงก็มองว่าเงินเพียง 2 แสน ฝ่ายชายยังหามาให้ไม่ได้ตามที่รับปากไว้แต่เริ่มต้นกับทางน้าผู้หญิงจนสุดท้ายแล้วเกิดเป็นเรื่องร้ายแรงว่ายังไงก็ไม่รับฝ่ายหญิงแล้วไม่ว่าจะอย่างไร ทำให้เราสองคนไม่มีทางที่จะได้แต่งงานกันแล้วอยู่ด้วยกันซึงที่หนักที่สุดก็คือ ฝ่ายผมไม่ให้ผมไปหาแฟนผมอีก ห้ามติดต่อกัน ร้ายแรงขนาดที่ว่า แม่บอกว่าถ้าเลิกที่จะไปอยู่กับแฟน แม่จะเอาปืนตามไปยิงผมให้ตาย แล้วยิงตัวเองตายตาม ผมจึงต้องการขอความกรุณาผู้ที่มีประสบการณ์ว่าพอจะมีทางที่จะแก้ไขสถานะการณ์นี้อย่างไร ?
แก้ไขข้อความเมื่อ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 5
น้ำขุ่นๆอย่าเพิ่งยกดื่ม รอให้มันตกตะกอนก่อนแล้วค่อยดื่มน้ำใสๆ ครับ
ความคิดเห็นที่ 23
แนะนำว่าให้จขกท หยุดทุกอย่างไว้ก่อนเลยครับ ปิดการสื่อสารทุกฝ่าย อยู่นิ่งๆครับ เราเป็นผู้ชายสี่สิบแต่งก็ยังสบายๆ กว่าจะถึงตอนนั้น จขกทคงมีเงินเก็บมีความมั่นคงขึ้นอีกเยอะ แล้วค่อยหาเมียก็ยังไม่สายไปครับ

ส่วนแฟนคนปัจจุบันจขกท ถ้าเขายังยืนยันตามฝั่งญาติเขาก็ไม่ต้องไปคิดถึงแล้วครับ เพราะยังขืนคบกันต่อคงปวดหัวตาย ญาตินี่แหละตัวดี....

ถ้าจขกทและแฟนยังจะยังคบกันต่อผมว่าคบกันแบบลับๆเนี่ยแหละพอแล้ว เอาให้แน่ใจว่าจะไปกันรอดไหม สี่เดือนน้อยไปครับ......ปีสองปีข้างหน้าค่อยว่าอีกที ถึงตอนนั้นผมว่าฝั่งผู้หญิงคงไม่เอาแล้วมั๊งสินสงสินสอด..............................

พอจะรู้เลยครับว่าทำไมแฟนจขกท อยู่แห้งมาจนอายุ 38
ความคิดเห็นที่ 8
ถ้าปัญหาเิกิดจากเรื่องเงินจำนวนแค่นี้ อย่าแต่ง คบกันไปแบบนี้แหละ

ฟังแม่ไว้บ้างไม่เสียหาย ถ้าญาติเค้ามีอิทธิพลทางความคิดเค้ามากๆ หลังแต่งจะมีปัญหาอีก
ความคิดเห็นที่ 3
ความจริงแล้ว เรื่องแบบนี้ก็เป็นข้อตกลงกันเองนะ จะให้คนภายนอกตัดสินไม่ได้หรอก
1. ความจริงแล้วก็ตกลงทางบ้านฝ่ายหญิงแล้วไม่ใช่เหรอว่าจะเรียกสินสอดเท่าไร แล้วเกิดบิดพิ้ว ขึ้นมาจะเอาให้ได้ดังใจ (จำนวนเงินมากแค่ไหนก็รับประกันหรือเป็นหลักประกันไม่ได้หรอก) เรียกเหมือนจะไม่ยกให้เลย เพราะแฟนคุณก็ตัดสินใจอะไรไม่ได้
2. ความจริงแม่คุณก็พูดถูกนะ นับวัน ฝ่ายหญิงยิ่งมีปัญหาเยอะ แต่งกันไปไม่ใช่จtมีปัญหามากกว่าเดิมเหรอ
3.สินสอดก็แค่เรียกเป็นพิธีไม่ให้น่าเกลียด อาจจะถูกว่าเราสามารถหาเงินค่าสินสอดไปให้ได้ นั้นหมายความว่าจะเป็นหลักประกันว่าลูกสาวจะไม่ลำบาก แต่ก็อย่าลืมนะว่า บางบ้าน คนจีนเค้ายกสินสอดไว้ให้ลูกทำทุน
4. คุณน่าจะรู้ดีนะครับว่าทางบ้านฝ่ายหญิงต้องการอะไร ต้องการเงิน หรือต้องการหลักประกัน
5. ลองถามแม่คุณดูนะครับว่าทำไมถึงอยากให้เลิกกัน บางทีเค้าอาจจะไม่บอกเหตุผลแต่จะ ยืนคำขาดให้คุณ
6.แม่คุณก็รักคุณล่ะครับ ไม่รักคุณก็คงไม่เตรียมสินสอดไว้ให้
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่