เชื่อใจหมอ จนเกือบทำให้ลูกหูหนวก!!!

สวัสดีค่ะสมาชิกพันทิปทุกท่าน
ไม่คิดว่าจะต้องมาตั้งกระทู้ลักษณะนี้เพื่อเตือนใจคนเป็นพ่อแม่   และไม่คิดว่ามันจะเกิดกับลูกของตัวเอง

เมื่อวันที่ 14 มิถุนายน 2556  ได้พาน้องบุ๋นลูกสาวอายุ 9 เดือนครึ่งไปหาหมอที่ศูนย์บริการสาธารณสุขแห่งหนึ่ง  เนื่องจากน้องบุ๋นมีอาการหูซ้ายมีกลิ่นเหม็นผิดปกติ  และมีการดึงหู เกาหูจนหูแดงมาได้เกือบ 2 วัน   ไปยื่นบัตรเจ้าหน้าที่ศูนย์ฯก็ให้บริการดีมาก  ยิ้มแย้มแจ่มใส   ก็นั่งคอยเข้าตรวจ  จนเวลาเกือบ 10.00 น. ได้เข้าตรวจกับนายแพทย์ท่านหนึ่ง   โดยแจ้งอาการเบื้องต้นว่า  ลูกสาวมีกลิ่นในหูข้างซ้าย  และเด็กมีอาการเกาหู ดึงหูผิดปกติที่เคยเป็น   

นายแพทย์ท่านนั้นได้ให้เจ้าหน้าที่ไปเอาเครื่องตรวจหู(OTOSCOPE) มาให้เพื่อทำการส่องดูภายในหูว่ามีอะไรผิดปกติหรือไม่   หลังจากได้เครื่องมือมา  นายแพทย์ท่านนั้นก็ได้ตรวจดูภายในหูของน้องบุ๋น  แล้วก็บอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ  เหตุการณ์หลังจากนี้คือชนวนเหตุที่ทำให้ลูกเราเกือบหูหนวกค่ะ
“พอดียายเห็นหลานดึงหู เกาหูจนแดง  แถมเวลาดมดูมันมีกลิ่นแปลกๆ  ยายเลยพามาหาหมอ” คุณแม่ของเราซึ่งเป็นผู้เลี้ยงลูกสาวตลอดเวลากล่าวขึ้นหลังจากนายแพทย์ท่านนั้นบอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติ
“บางทีอาบน้ำ น้ำเข้าหูมันก็จะคัน  เด็กก็จะเกาเป็นธรรมดา  ก็เช็ดให้สะอาด”  นายแพทย์ตอบห้วนๆ
“เอ่อ แต่กลิ่นมันผิดปกติไปนะหมอ  เวลาหอมแก้มหลานแล้ว  มันมีกลิ่นลอยๆมาติดจมูก”  คุณยายยังท้วงติงในข้อสงสัยเรื่องกลิ่นที่ผิดปกติ
“มันเป็นของที่มีกลิ่นอยู่แล้ว  ไม่ต้องไปดมมันหรอก  นี่ถ้าหากมีหนองไหลออกมา  หรือมีเลือดไหลออกมาจากหู  ค่อยพามาหาหมออีกทีนะ”  นายแพทย์พูดตัดบท
“เอ่อ แล้วนี่กลับบ้านได้เลยเหรอคะ  ไม่มียาเหรอคะ” เราออกแนวงงๆ  ถามเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่มียาใช่หรือไม่
“ครับ กลับบ้านได้เลย  ไม่มียา”  นายแพทย์ตอบ
สามคนคุณยาย หม่าม้า ลูกสาว  ก็พากันอพยพออกมาจากศูนย์ฯ  คุณยายเปรยออกมาว่านายแพทย์ท่านนั้นพูดไม่เข้าหูเลย  การเลี้ยงเด็ก มันก็ต้องสังเกตสิ  ขนาดอุจจาระสีเพี้ยน  ยังต้องสังเกตเลย  แล้วนี่ก็ไม่ได้ไปหาแคะ หาดมเรื่อยเปื่อย  แต่กลิ่นมันผิดปกติจริงๆ
วินาทีนั้น  ความสะเพร่าของเราค่ะ  เคยทำงานกับศูนย์บริการสาธารณสุขมา  ได้สัมผัสใกล้ชิดมา  ก็เชื่อใจว่า  หมอที่ศูนย์ฯก็ไม่สะเพร่าหรอก  อาจจะเป็นเพราะเราวิตกจริตไป  เดี๋ยวรอดูอีกวันสองวัน  ถ้าบุ๋นผิดปกติค่อยว่ากันอีกที

พาลูกกลับมาบ้านได้สองวัน  หูลูกก็ยังมีกลิ่นอยู่   และอาการเกาหู ดึงหูก็ยังเป็นอยู่  คาใจเลยค่อยๆเอาคัตเตอร์บัต  ชุบน้ำ  ค่อยๆบรรจงเช็ดหูให้ลูก  เช็ดไปสักแป๊บ  สิ่งที่ได้ออกมาไม่ใช่ขี้หู  แต่เป็นลักษณะเหมือนหนอง  เปื้อนคัตเตอร์บัตออกมา  ไม่มีเลือด  ก็เอะใจ  เปลี่ยนคัตเตอร์บัตค่อยๆเช็ดหูลูกอีกรอบ  คราวนี้ไม่มีหนองล่ะ  ก็เลยนึกถึงคำพูดนายแพทย์ท่านนั้นว่า  ถ้าไม่มีเลือด ไม่มีหนอง  ก็ไม่ต้องวิตกจริต   
ลูกสาวเองหลังจากเช็ดหู  ก็ไม่ดึงหู ไม่เกา  และไม่มีเลือดไหล หนองไหล  กลิ่นก็ค่อยๆจางหายไป  เราเลยคิดว่าคงไม่น่าจะเป็นอะไรมากตามที่นายแพทย์ท่านนั้นพูด

จนกระทั่งวันที่ 13 กรกฎาคม 2556  ลูกสาวมีอาการเกาหู ดึงหู และหูมีกลิ่นอีกแล้ว   ก็ยังไม่เอะใจอะไร  คาดว่าคงเป็นแบบคราวก่อน  จนกระทั่งสายวันที่ 14 กรกฎาคม 2556  คุณตาของลูกสาว  ได้บ่นๆว่าหูมีกลิ่นนะ  ไปหาหมอไหม  คุณยายก็บ่นเรื่องที่เจอนายแพทย์คราวที่แล้วพูดจาไม่เข้าหูใส่  คุณตาเลยบอกว่างั้นเที่ยวนี้ไปโรงพยาบาลประจำที่ไปฉีดวัคซีนแล้วกัน

ก็พากันอพยพไปหาหมอที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งค่ะ  แจ้งอาการของลูกสาวตอนยื่นบัตร  ทางโรงพยาบาลเลยสอบถามว่าจะพบแพทย์เฉพาะทางไหม (หมอโสต ศอ นาสิก)   เราก็โอเค  มีหมอเฉพาะทางอยู่ก็ขอพบหมอเฉพาะทางดีกว่า   ก็เข้าไปตรวจ
คุณหมอสอบถามอาการเบื้องต้น  เราก็แจ้งไปว่าหูซ้ายน้องบุ๋นมีกลิ่น  แล้วครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สอง   คุณหมอเลยขอดูหูด้านขวาที่ไม่เป็นอะไรก่อน  เอาเครื่องตรวจหูส่องดู  และขอส่องหูด้านซ้ายที่มีปัญหา  พอส่องเข้าไป  หมอพูดออกมาว่า
“อืม  หนองจริงๆคุณแม่  เต็มหูเลย  ตอนนี้หมอมองไม่เห็นเยื่อแก้วหูน้องเลย”
ช็อก!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!   มือที่อุ้มลูกอยู่เย็นวาบ   
“เดี๋ยวหมอจะดูดเอาหนองออกมาก่อนนะคุณแม่ “
“แล้วมันเป็นเพราะอะไรคะคุณหมอ”  เราถามหมอ
“ตอบยังไม่ได้ครับ  เราต้องดูดหนองออกมาก่อนนะ  แล้วต้องดูว่าเยื่อแก้วหูน้องทะลุหรือยัง  ถ้าทะลุแล้วก็คุยกันยาว  แต่ถ้ายังก็ใจชื้นขึ้นหน่อยนะ”  คุณหมออธิบายให้เราใจเย็น  พร้อมทำการดูดหนองออกมาทันที

ใช้เวลาดูดหนองออกราวๆ 10 นาที  ดูด 3 รอบ   ตอนดูดหนองออกรอบที่ 2 หมอได้ทำการดูดสิ่งนึงติดออกมาด้วย  มันมีลักษณะเป็นเหมือนขี้มูกของเรา  ที่มีส่วนนึงแข็งๆ  แล้วส่วนที่เหลือเป็นเมือกเขียวๆ  ขนาดเท่ากับเม็ดถั่วเขียว


รูปนี้ถ่ายเมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วหลังจากดูดหนองออกราว 1 ชม. ทำให้ลักษณะของสิ่งที่ดูดออกมาเป็นแค่เหมือนขี้หูแห้งๆ  

“ยังไม่หมดนะคุณแม่  ยังมีหนองอยู่ และยังมองไม่เห็นเยื่อแก้วหู”  คุณหมอพูดเพราะพอเราเห็นสิ่งที่หมอดูดออกมาแล้ว  นึกว่าหมดแล้ว
หลังจากดูดหนองออกมาหมด   คุณหมอพบว่าเยื่อแก้วหูยังไม่ทะลุ  แต่มีลักษณะบางมาก  ภายในช่องหูก็บวม  คุณหมอก็บอกว่าเดี๋ยวจะจัดยากินกับยาหยอดหูไปให้  และนัดตรวจอีกที 1 สัปดาห์ถัดไป

เราได้สอบถามทันทีว่า  มันเป็นมาจากอะไร  ทำไมหูลูกเราถึงมีหนอง   คุณหมอก็แจ้งว่า
“ปกติเด็กเล็ก  เรื่องน้ำเข้าหู ขี้หู  มันก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดหนองได้  แต่น้องบุ๋นลักษณะนี้อาจจะมาจากหนองที่คราวที่แล้วเป็น  แล้วไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง   พอมีน้ำเข้าไป  มันก็ทำให้เกิดหนองได้อีก”

“คราวที่แล้วที่ไปหาหมอ  เค้าไม่เห็นบอกอะไรนี่คะ  ยังบอกเลยว่าแม่อย่าไปวิตกจริต  ถ้าหนองไหล เลือดไหลออกจากหู   ค่อยพามาหาหมออีกที”
“คุณแม่  หมอไม่โทษหมอคนเก่านะ  เพราะถ้าไม่ใช่หมอเฉพาะทางก็จะดูไม่ออก  เอาเป็นว่าถ้าคุณแม่เห็นความผิดปกติ  ว่าน้องดึงหู เกาหู  และมีกลิ่น  ไม่ต้องรอหนองไหล เลือดไหล  ให้พามาหาหมอเลยนะครับ”
เราก็ได้แต่ยกมือไหว้หมอ  แล้วพาลูกออกมารับยา  พร้อมกับเกิดคำถามในใจว่า  ทำไมหมอท่านนั้นถึงให้ข้อมูลที่ทำให้เราเกือบฆ่าลูกเราให้เป็นเด็กหูหนวก  
               “คุณแม่  ถ้าไม่สบายใจคุณแม่พาน้องไปหาหมอเฉพาะทางอีกทีนะ”  
บอกเรามาสิ  หมอไม่ได้เก่งทุกคน  แต่การที่เราไว้ใจหมอ  เพราะเราส่องดูไม่เป็น   เราเคยทำงานกับศูนย์บริการสาธารณสุข  เราเคยได้ยินบ่อยไปที่หมอแนะนำคนไข้ให้ไปหารักษา หรือ ตรวจจากสถานพยาบาลที่มีเครื่องมือครบกว่านี้  ทำให้เราเชื่อว่าหมอทุกคนจะใส่ใจกับชีวิตของคนไข้ด้วยจรรยาบรรณของการเป็นหมอ

พร้อมกับจำถึงคำพูดที่แม่เราไม่พอใจหมอ  ที่พูดลักษณะว่า  ขี้หูมันเป็นของเหม็นอยู่แล้ว  ไม่ต้องไปหาดมมันหรอก  นี่ถ้าเราไม่สังเกตว่ามันมีกลิ่นผิดปกติ  นิ่งนอนใจแบบคราวที่แล้ว  ป่านนี้ลูกเราคงหูหนวกแน่ๆ

วันนี้เราตั้งใจจะไปร้องเรียนกับต้นสังกัดของนายแพทย์คนเก่า  เราไม่ได้ต้องการเรียกร้องให้นายแพทย์คนนั้นมารับผิดชอบ  แต่เราแค่อยากให้นายแพทย์คนนั้นได้ตระหนักว่า
“การเป็นหมอ  มันเป็นอาชีพที่มีเกียรติ  และเป็นผู้กำชีวิตของมนุษย์หลายๆคนเอาไว้  กิริยาที่แสดงออก  หรือการพูดอะไรออกไป  ควรพิจารณาให้รอบคอบ  เพราะข้อมูลที่พูดออกไปนั้น  คนไข้จะนำเอาไปใช้กับชีวิตของตนเอง  ด้วยความเชื่อใจในเกียรติยศของคนเป็นแพทย์”
อีกทั้งการร้องเรียนที่เราจะทำ  เรายังไม่อยากให้หมอดีๆ  ที่เราเคยทำงานมาด้วย  หรือทำงานอยู่ ณ ตอนนี้ ไม่ว่าศูนย์บริการสาธารณสุขที่ไหนก็ตาม  จะด่างพร้อยไปด้วย

กระทู้นี้  อยากจะเตือนใจพ่อแม่ทุกท่าน  สังเกตไปเถอะค่ะ  ใครจะหาว่าเราวิตกจริต  แต่ก็ดีกว่าปล่อยให้ลูกต้องเป็นอะไรแบบที่แก้ไขไม่ได้  แล้วมานั่งเสียใจทีหลัง

หม่าม้าขอโทษนะน้องบุ๋น  ที่ดูแลหนูไม่ดี  
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่