อดอาหารเพื่อการอยู่รอด

รู้จักคุณค่าและประโยชน์ของการอดอาหารต่อชีวิตทางจิตวิญญาณมานานก่อนที่วิทยาศาสตร์จะเห็นประโยชน์ของการอดอาหารต่อร่างกายเสียอีก

ในคัมภีร์ไบเบิลและคัมภีร์กุรอาน เราพบว่าเมื่อโมเสสนำลูกหลานอิสราเอลออกมาจากอียิปต์และเดินทางร่อนเร่อยู่ในทะเลทรายโดยไม่มีศาสนาเป็นกฎหมายในการจัดระเบียบสังคม พระเจ้าได้บัญชาให้โมเสสขึ้นไปบนภูเขาซีนายเพื่อรับพระคัมภีร์จากพระองค์

ระหว่างทางขึ้นไปบนภูเขา โมเสสได้ถือศีลอดอาหารเป็นเวลานานถึง 40 วัน ทำไมโมเสสจึงต้องอดอาหาร? และโมเสสอดอาหารอย่างไร? เป็นเรื่องที่น่าคิดและไม่ยากต่อการได้รับคำตอบ

คำตอบสำหรับคำถามแรกก็คือ โมเสสอดอาหารเพื่อขัดเกลาตัวเองให้สะอาดบริสุทธิ์จากความต้องการทางด้านเนื้อหนัง เพื่อไปรับวจนะอันสูงส่งของพระเจ้าที่จะประทานแก่ท่าน เพราะท่านถือว่าวจนะของพระเจ้านั้นเปรียบเสมือนน้ำทิพย์อันใสบริสุทธิ์จากฟากฟ้า ถ้าท่านจะทำตัวเป็นแก้วไปรองรับน้ำทิพย์อันใสบริสุทธิ์ แก้วนั้นก็ต้องใสสะอาดด้วยจึงจะคู่ควรกัน

ตัวตนมนุษย์จะสะอาดเหมือนทารกเกิดใหม่ได้ก็ต่อเมื่อตัวตนนั้นสลัดความต้องการของฝ่ายร่างกายได้ และสิ่งที่ร่างกายต้องการก็คืออาหาร แต่กระนั้นเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ที่ต้องสนองคำบัญชาของพระเจ้า โมเสสจึงไม่ถือศีลอดอาหารและน้ำยาวนานจนร่างกายถูกทำลาย เพราะหากทำเช่นนั้นแล้ว วิญญาณของท่านจะไม่อาจใช้ร่างกายของท่านทำหน้าที่ที่พระเจ้าบัญชาแก่ท่านได้

คำตอบสำหรับคำถามที่สองจึงตามมา โมเสสอดอาหารและน้ำตลอดทั้งกลางวันและกลางคืนเป็นเวลา 24 ชั่วโมงจึงกินอาหารเพื่อละศีลอด หลังจากนั้นก็ถือศีลอดต่อ ทำเช่นนี้เป็นเวลา 40 วัน ท่านจึงได้มีโอกาสสนทนากับพระเจ้าโดยตรง แม้จะไม่เห็นพระองค์ก็ตาม หลังจากนั้นพระเจ้าจึงได้ประทานคัมภีร์โตราห์ (หรือเตารอตซึ่งบางครั้งก็ถูกเรียกว่า “บัญญัติ 10 ประการ”) แก่ท่านเพื่อนำมาใช้เป็นกฎหมายจัดระเบียบสังคมของลูกหลานอิสราเอล

การถือศีลอดของโมเสสได้กลายเป็น “กฎเกณฑ์ถาวร” ที่ลูกหลานอิสราเอลต้องปฏิบัติตาม แต่เพราะการถือศีลอดยาวนาน 40 วันเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับลูกหลานอิสราเอลที่จิตวิญญาณอ่อนแอ ลูกหลานอิสราเอลหรือชาวยิวจึงถือศีลอดอาหารเฉพาะในวันที่ 10 เดือน 7 ตามปฏิทินของพวกตนเพื่อเป็นการรำลึกถึงวันที่โมเสสได้รับคัมภีร์โตราห์จากพระเจ้า

หลังจากสมัยของโมเสส การถือศีลอดได้ถูกปฏิบัติโดยศาสดาหรือผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณของชาวอิสราเอลด้วยเหตุผลที่แตกต่างกัน เช่น ซามูเอลถือศีลอดเพื่อสำนึกผิดและชัยชนะในการทำสงคราม ดาวิดถือศีลอดเพื่อไว้อาลัยให้แก่การจากไปของกษัตริย์ซาอูลและเพื่อขอชีวิตลูกของตน บางสมัยการถือศีลอดอาหารมีขึ้นเพื่อเป็นการไว้อาลัยและเพื่อเฉลิมฉลองวาระโอกาสสำคัญก็มี แต่เราไม่สามารถหาหลักฐานได้ว่าศาสดาเหล่านั้นถือศีลอดเป็นเวลากี่วัน

การถือศีลอดอาหารและน้ำเป็นเวลา 40 วันตามแบบโมเสสได้ถูกรื้อฟื้นขึ้นมาปฏิบัติอีกครั้งหนึ่งโดยพระเยซูหรือนบีอีซาผู้มายืนยันธรรมบัญญัติเดิมของโมเสส การถือศีลอดของพระเยซูตามแบบของโมเสสมีขึ้นหลังจากทำพิธีรับศีลจุ่มจากยอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน คัมภีร์ไบเบิลเล่าไว้อย่างน่าสนใจว่าพระเยซูถือศีลอดอาหารเพราะท่านถูกมารล่อลวง

ตรงนี้มีประเด็นที่น่าคิด ทุกวันนี้มนุษย์ไม่เพียงแต่ถูกมารล่อลวงเท่านั้น แต่ยังถูกมนุษย์ด้วยกันล่อลวงอีกด้วย นั่นคือ เป็นเรื่องน่าเสียดายที่กฎเกณฑ์ถาวรนี้ได้ถูกถือว่าใครจะทำก็ได้ไม่ทำก็ได้ตามความสมัครใจไปเสียแล้ว

มนุษย์ถูกมารล่อลวงให้บริโภคสิ่งต้องห้ามและไม่มีประโยชน์ เช่น สิ่งเสพติดสารพัดชนิดและบริโภคกันแม้กระทั่งเนื้อสุนัข

นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมหลังจากสมัยของพระเยซูประมาณ 570 ปี พระเจ้าจึงได้ประทานวจนะแก่ท่านนบีมุฮัมมัดว่า “โอ้มนุษย์ทั้งหลาย จงกินสิ่งฮาลาลที่ดีๆจากสิ่งที่มีอยู่ในแผ่นดินและจงอย่าตามรอยเท้าของมาร แท้จริงมันคือศัตรูที่ชัดเจนของสูเจ้า” (กุรอาน 2:168)

ด้วยความฉลาดของมาร มันได้ใช้มนุษย์ให้หลอกลวงมนุษย์กันเองด้วยถ้อยคำที่สวยหรู เช่น “การเจริญเติบโต” ซึ่งถูกนำมาใช้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจของทุกประเทศ ดังนั้น เราจึงได้เห็นประเทศที่กำลังพัฒนาต่างเร่งให้ประชาชนของตนตอบสนองความต้องการของร่างกายด้วยการบริโภคมากๆ เพื่อจะได้มีการผลิตมากๆ หากวันนี้ยังไม่มีเงินมาใช้ในการบริโภคและการผลิตก็มีบริการทางการเงินที่ช่วยให้ผู้คนเอาเงินในอนาคตมาใช้ด้วยการเป็นหนี้ก่อน สุดท้ายคนที่รวยก็คือนายทุนและสถาบันการเงินที่กำลังจะตายไปพร้อมกับผู้คนท่ามกลางความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ

ไม่มีใครปฏิเสธการเจริญเติบโต แต่การเติบโตต้องเป็นไปตามธรรมชาติ ถ้าการเติบโตคือการตอบสนองความต้องการของกระเพาะจนอ้วนอึดอัด มีแต่ทำให้เกิดทุกข์แก่ตัวเองและสร้างความเดือดร้อนให้คนข้างเคียง การบริโภคอย่างประหยัดด้วยการอดอาหารสักหนึ่งมื้อต่อวัน อดสิ่งต้องห้าม อดใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็นและฟุ่มเฟือย น่าจะเป็นทางเลือกเพื่อการอยู่รอดอย่างมีความสุขมากกว่า



บทความโดยอาจารย์บรรจง บินกาซัน ประธานโครงการอบรมผู้สนใจอิสลาม มูลนิธิสันติชน



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่