เรื่องสั้น4หน้า เรื่องที่1 ปริศนาบนกระดานหมากล้อม

กระทู้สนทนา

ปริศนาบนกระดานหมากล้อม




การได้มาใช้ชีวิตในรั้วมหาวิทยาลัยในช่วงปีหนึ่ง เป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผมมาก ได้มาอยู่หอพัก แต่ก็ต้องจากบ้านที่แสนจะอบอุ่น ซึ่งในช่วงแรกของการได้มาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ ผมทำใจไม่ได้ที่ต้องมาอยู่ตัวคนเดียว ทำอะไรเองคนเดียว บางครั้งก็แอบน้ำตาไหลเล็กน้อยเพราะคิดถึงบ้าน

แต่เมื่อผ่านไปได้สักครึ่งเดือน ได้รู้จักเพื่อนใหม่ ได้ทำกิจกรรมต่างๆ มันทำให้ผมดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น และความที่คิดถึงบ้านของผมก็น้อยลงไปด้วย

คณะที่ผมเรียนอยู่ค่อนข้างเรียนหนัก  มีสอบย่อยตั้งแต่ต้นเทอม จึงต้องไปติวหนังสือกันจนดึกแทบทุกวัน ผมมักจะไปติวหนังสือกับเพื่อนที่อยู่หอพักคนละฝั่งกับหอพักของผม เมื่อติวกันเสร็จแล้ว ผมจึงต้องเดินกลับหอพักของตนเองเพียงคนเดียว ด้วยระยะทางที่ไกลพอดู

และในคืนนี้เอง ที่ผมได้รู้จักกับเพื่อนใหม่ต่างคณะเพิ่มอีกคน ไม่น่าเชื่อว่ามาอยู่ในมหาวิทยาลัย จะได้เจอกับเพื่อนที่มีนิสัยคล้ายกันมากเช่นนี้ ผมเรียกเขาว่าเพื่อน แต่ความจริงแล้วผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพื่อนใหม่คนนี้อายุเท่าผมหรือเปล่า เพราะผมก็ไม่เคยรู้ประวัติความเป็นมาอะไรของคนคนนี้เลย

ปกติแล้วประมาณช่วงมัธยมศึกษาตอนปลาย มีกีฬาที่ผมชอบมากเป็นพิเศษ นั่นก็คือหมากล้อม เป็นกีฬาที่คนไทยอาจไม่ค่อยรู้จักกันมากนัก แต่ก็มีการแข่งขันอยู่ทุกปี และก็มีการคัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทยเข้าแข่งขันในระดับโลกอยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าหลายๆมหาวิทยาลัยก็มีเปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถทางด้านหมากกระดาน เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยเป็นโควตานักกีฬาเช่นเดียวกัน ซึ่งตัวผมเองก็ใช้โควตาทางด้านหมากล้อมเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้

คืนนี้เป็นคืนวันศุกร์ ส่วนใหญ่เพื่อนๆจะกลับบ้านกันหมดแล้ว แต่ผมไม่ได้กลับ เพราะวันสอบใกล้เข้ามาทุกที
ขณะนี้เป็นช่วงเวลาตีหนึ่งกว่าๆ ซึ่งผู้คนก็เข้านอนกันเกือบหมดแล้ว ผมเดินจากหอพักเพื่อนที่อยู่ฝั่งประตูสนามฟุตบอล ไปยังหอพักของตนเองซึ่งอยู่ฝั่งสนามเทนนิส ระหว่างทาง ผมต้องเดินผ่านห้องชมรมหมากกระดานซึ่งอยู่ติดกับโรงยิมของมหาวิทยาลัยทุกครั้ง

และคืนนี้ ผมก็เหลือบไปมองห้องชมรมเหมือนเช่นเคย แต่ที่น่าแปลกใจคือ คืนนี้เหมือนผมได้ยินเสียงตัวหมากกระทบกระดานเป็นจังหวะ ด้วยความสงสัยทำให้ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ๆ บรรยากาศวังเวงในตอนนี้ทำเอาขนลุกอย่างสยดสยอง ตอนนี้ผมเดินเข้าใกล้ห้องชมรมมากขึ้น ได้ยินเสียงตัวหมากกระทบกระดานชัดเจน ผมตัดสินใจมองผ่านหน้าต่าง แล้วก็เห็นใครบางคนกำลังนั่งเดินหมากอยู่คนเดียว ท่ามกลางแสงจากโคมไฟสลัวที่ติดๆดับๆ

“อ้าว ดึกป่านนี้ทำไมมาเดินหมากอยู่คนเดียวล่ะครับ” ผมลองตะโกนทักไป

ไม่มีเสียงตอบรับใดทั้งสิ้น ใบหน้าของใครคนนั้นกำลังเพ่งสมาธิอยู่กับกระดานอย่างใจจดใจจ่อ  

“ทำไมไม่เปิดไฟให้มันสว่างๆล่ะครับ” ผมทักไปอีกที ใครคนนั้นเหมือนจะหันมามองหน้าผมด้วยอาการแปลกใจ ใบหน้าเขาหันมาทางผม แต่เหมือนผมรู้สึกว่าสายตาของเขาจะไม่ได้มองมาทางผมเลย

“มานั่งเล่นด้วยกันสิ” ใครคนนั้นชักชวนผมด้วยเสียงแหบพร่าอยู่ในลำคอ ผมนิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าแล้วเข้าไปเล่นด้วย
  
เมื่อเข้ามาใกล้ๆ ผมเห็นหน้าเขาชัดขึ้น เป็นผู้ชายตัวสูงรูปร่างกำยำ ใบหน้ามีรอบแผลเป็นที่โหนกแก้มด้านซ้าย บริเวณหน้าผากเหมือนมีรอยเลือดจางๆดูน่าสะอิดสะเอียนพอสมควร

ผมเดินหมากกับเขาจนเพลิน ตอนนี้สายตาผมจ้องอยู่ที่ตัวหมากบนกระดานอย่างไม่วอกแวก ไม่นึกฝันว่าเข้ามาอยู่ในมหาวิทยาลัย จะได้เจอคนมีฝีมือขนาดนี้

“เราเปิดไฟกันดีไหมครับ ทำไมต้องเดินหมากกันมืดๆแบบนี้ด้วยล่ะครับ” ผมถามเพราะอึดอัดเป็นอย่างมาก ที่ต้องเพ่งสายตามองตัวหมากทุกตัวในกระดานขนาดใหญ่ ยังไม่ทันจะได้เห็นตัวหมากครบเลย แสงจากโคมไฟก็ดับไปอีก แสงที่เดี๋ยวสว่างเดี๋ยวดับแบบนี้ มันทำให้สมาธิผมเลือนหายไปจริงๆ

“อย่าบอกนะ ว่าปกติเวลาเดินหมากจะใช้ตามองเม็ดหมากตลอด” เขาจ้องหน้าผม

“กะ… ก็ใช่น่ะสิ ไม่ใช้ตามองแล้วจะรู้ได้ไง ว่าตัวไหนอยู่ไหน” ผมตอบ เขาแสยะยิ้ม

“ก็เพราะแบบนี้ล่ะสิ ฝีมือการเดินหมากของนาย ถึงได้มีแต่ช่องว่างมากมายขนาดนี้” สิ้นเสียงนั้น เม็ดหมากเม็ดต่อไปที่เขาวางลงตรงตำแหน่งสำคัญที่สุดของรูปร่างหมากของผม ก็ทำเอาผมสะดุ้งโหยง เดินหมากกันต่อไปได้ไม่ถึงสิบตาเดิน เม็ดหมากทุกตัวตรงด้านซ้ายล่างของกระดานทางฝั่งผม ก็โดนเขาอาตาริไปทั้งหมด (อาตาริเป็นภาษาหมากล้อม หมายถึงการที่เม็ดหมากหมดลมหายใจหรือโดนกิน โดยที่ฝ่ายที่อาตาริคู่แข่งขันได้ จะเป็นฝ่ายเก็บตัวหมากทั้งหมดที่อาตาริได้ไปไว้ในจานหมากเชลยของตนเอง)

ผมนั่งนิ่ง อึ้งไปพักใหญ่ เกิดมาเพิ่งมีคนๆนี้เป็นคนแรก ที่สามารถทำผมพ่ายแพ้อย่างหมดรูปขนาดนี้

“เวลานายเดินหมาก นายไม่เคยใช้ใจมองไปที่เม็ดหมากเลย หรือพูดให้ถูกก็คือ ใจของนายกับเม็ดหมากไม่ได้มีความผูกพันกันแม้แต่นิดเดียว” เขาพูดอะไรของเขา ผมไม่รู้เรื่อง ใจอะไรจะไปผูกพันกับตัวหมากในกระดาน บ้าหรือเปล่า

“ว่าแต่คุณคือใครเหรอครับ ผมไม่เคยเห็นคุณมาก่อนเลย เป็นคนของชมรมนี้หรือเปล่า” ผมถามเพราะอยากรู้ประวัติความเป็นมาของคนๆนี้

“ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก ว่าเราคือใคร แต่อายุของเราก็พอๆกับนายนั่นแหละ ไม่จำเป็นต้องสุภาพนักหรอก” เขาตอบกลับมา

“เมื่อกี้เห็นนายพูดถึงเรื่องใช้ใจมองหมากอะไรอยู่บ่อยๆ มันคืออะไร” ผมถาม

“เม็ดหมากทุกตัวในกระดานนี้ ก็เปรียบเสมือนมันมีชีวิตแต่พูดไม่ได้ หมากทุกตัวอย่างจะสื่อสารกับนาย แต่มันพูดไม่ได้ ทำได้เพียงแค่สื่อสารกับผู้เล่นทางจิต นายต้องสัมผัสและรับรู้ให้ได้ถึงความต้องการของตัวหมากทุกตัวทุกถูกนายวางลงไปในกระดานที่เป็นเหมือนสนามรบ” ยิ่งถามยิ่งงง เมื่อฟังไม่รู้เรื่องผมก็กวนอารมณ์เขาเล่นซะเลย

“นายทำเป็นพูดดี ตัวนายเองก็ใช้ตามองหมากในกระดานเหมือนกันนั่นแหละ หรือจะบอกว่านายมีตาทิพย์ เฮ้ย! ใจทิพย์อะไรของนายนั่นน่ะ” ผมลองยั่วอารมณ์เขาดู

เขาชี้มือไปที่ดวงตาของเขา แล้วส่องไฟฉายให้ผมเห็นชัดขึ้น ผมมองไปที่ดวงตาทั้งสองข้างของเขา และผมก็พบกับความจริงอย่างหนึ่งที่ตัวผมเองไม่อยากจะเชื่อ


ตาของเขามองไม่เห็น !!


“นี่นาย ตาของนายบอดสนิทเลยนี่” ผมพูดด้วยอาการตกใจ “แล้วเมื่อกี้นายรู้ได้ไง ว่าหมากตัวไหนอยู่ไหน”
“หึ หึ หึ” เขาหัวเราะอยู่ในลำคอ

“ก็แสดงว่านายเล่นหมากล้อมโดยที่ตามองไม่เห็นมาตลอดเลย” ผมแทบไม่อยากจะเชื่อว่ามีคนแบบนี้อยู่ในโลก เขาฟังแค่เสียง สามารถแยกแยะออกว่าหมากที่ผมวาง อยู่ที่ตำแหน่งไหน

“อย่างที่เคยบอกไปนั่นแหละ เม็ดหมากแต่ละตัวที่ถูกนายวางลงไปในสนามรบ หมากบางตัวกำลังร้องไห้ บางตัวกำลังหัวเราะร่าอย่างมีความสุข ขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่นายวาง เม็ดหมากที่ถูกวางลงในตำแหน่งที่เป็นรอง ก็เหมือนหมากตัวนั้นกำลังจะถูกประหารในไม่กี่ตาเดินข้างหน้า หมากเม็ดนั้นต้องการสื่อสารกับผู้เล่น เพราะมีเพียงผู้เล่นเท่านั้น ที่จะสามารถคอยช่วยเหลือพวกมันได้ ผู้ที่เดินหมากเม็ดนั้นก็เปรียบเสมือนเป็น “ฮีโร่” ที่มีหน้าที่ช่วยเหลือตัวหมากทุกตัวในกระดาน ให้มีลมหายใจอยู่รอดปลอดภัยไปจนจบกระดานนั่นเอง”

สิ้นเสียงนั้น ผมนิ่งอึ้งอีกแล้ว เขากำลังพูดอะไรของเขาอยู่กันแน่ ไม่รู้ทำไม แต่เหมือนมีอะไรบางอย่างมาทำผมขนลุกซู่ ทั้งที่อากาศตอนนี้ก็ไม่ได้หนาวมากนัก ผมก้มลงมองนาฬิกาข้อมือ อีกไม่กี่นาทีข้างหน้าจะตีสี่แล้ว นี่ผมเดินหมากกับชายผู้นี้เพลินขนาดนี้เชียวหรือนี่

“ตอนนี้ก็ดึกมากแล้ว เอาเป็นว่าเรากลับกันก่อนดีกว่า นายอยู่หอไหน” ผมถามเพราะอยากมีเพื่อนเดินกลับด้วยกัน

“นายกลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวเราจะอยู่ห้องนี้อีกสักพัก” พูดจบ เขาก็เริ่มเรียงหมากรูปหนึ่งบนกระดาน เหมือนกับกำลังจะแก้โจทย์หมากกล

“นายเคยเห็นแต้มนี้หรือเปล่า” เขาเรียงหมากให้ผมดู ผมจ้องที่กระดานนั้น หมากสีดำรูปร่างหมากคล้ายเป็นทางหมากของรุ่นพี่ในชมรม ที่ชอบเดินหมากต้นกระดานในลักษณะกระจัดกระจายแบบนี้

“หมากดำ รุ่นพี่ที่ชื่อเกียรติศักดิ์เป็นคนเดินหรือเปล่า” ผมถาม เขาพยักหน้า

“ส่วนหมากขาว เราไม่รู้จัก” ผมตอบไปตามตรง “รูปร่างหมากขาวดูแปลกๆนะ”

ไม่ทันที่ผมจะได้พูดอะไรต่อ เลือดสีแดงกร่ำสดๆก็แปดเปื้อนเต็มกระดาน ผมสะดุ้งสุดตัวถอยออกมา ชายคนนั้นทรุดตัวลงนอนกับพื้น คล้ายกำลังจะบอกอะไรบางอย่าง

“จับ… ตัว… คน… ร้าย… ให้… ที…” นี่คือคำพูดสุดท้ายของชายคนนี้ ก่อนที่เขาจะหมดลมหายใจ ผมรีบเข้าไปหาเขาใกล้ๆ ผมเขย่าตัวชายผู้นี้
เขาไม่หายใจแล้ว…

“นาย นายเป็นอะไรไป เดี๋ยวสิ นี่มันเกิดอะไรขึ้น” ผมมองซ้ายมองขวาทำอะไรไม่ถูก ตอนนั้นเองที่สายตาของผม เหลือบไปเห็นที่นิ้วชี้ของชายผู้นี้ กำลังชี้ไปที่ตู้เสื้อผ้าที่วางอยู่มุมห้อง

ผมเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า และสิ่งที่ผมพบในนั้น ก็แทบทำเอาผมช็อก ตอนนี้ขาผมสั่นเทาด้วยความหวาดกลัวสุดขีด ภาพที่ปรากฏอยู่ในตู้เสื้อผ้าเป็นศพของรุ่นพี่เกียรติศักดิ์ ผู้เป็นประธานชมรมหมากกระดานของมหาวิทยาลัยแห่งนี้

ผมกรีดร้องสุดเสียง หันกลับมามองชายคนนั้น ไม่พบใครอยู่ ร่างนั้นได้หายไป เหลือทิ้งไว้เพียงรอยเลือดปริศนาน่าขนหัวลุก ผมรีบวิ่งออกมาจากห้องชมรมไม่คิดชีวิต ผมแผดเสียงร้องออกมาดังลั่น วิ่งๆๆๆๆๆ แล้วก็วิ่ง ไม่รู้สึกถึงความเหน็ดเหนื่อยใดๆทั้งนั้น จนมารู้สึกตัวอีกที ตอนนี้ผมวิ่งมาอยู่หน้าหอพักของผมแล้ว ผมพยายามตั้งสติดูดีๆ คำพูดสุดท้ายของชายปริศนาคือ “จับ… ตัว… คน… ร้าย… ให้… ที…”
หรือจะมีการฆาตกรรมเกิดขึ้นในห้องชมรม


รุ่งขึ้น ด้วยความที่เช้าแล้ว ความกลัวได้หายไป ผมเดินกลับไปที่ห้องชมรมอีกครั้ง รอยเลือดปริศนายังอยู่ ตัวหมากยังถูกเรียงอยู่บนกระดาน ตัวหมากสีขาวถูกเรียงคล้ายตัวอักษรภาษาอังกฤษ


OVER


“อ่านว่าโอเวอร์ แปลว่าเหนือ” มันหมายถึงอะไรกัน รอยเลือดปริศนานี้ ผมแหงนขึ้นไปบนเพดาน แล้วก็ไปพบหลักฐานชิ้นสำคัญเข้า มันคือกล้องวงจรปิด ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า เมื่อช่วงเปิดเทอมใหม่ๆ รุ่นพี่เกียรติศักดิ์เล่าให้ฟังว่าที่ชมรมเคยมีโจรเข้ามาขโมยกระดานหมากล้อมราคาแพงไปขาย และยังไม่มีใครจับได้ รุ่นพี่จึงลงทุนซื้อกล้องวงจรปิดมาติดเอาไว้ เผื่อว่ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก

ผมโทรศัพท์เรียกตำรวจมาตรวจสอบ อีกไม่นานพวกเขาคงรู้ตัวคนร้าย และจับไปดำเนินคดีตามกฎหมายเอง หน้าที่ของผมหมดเพียงเท่านี้ แต่ที่สำคัญต้องขอบคุณอะไรบางอย่างที่สิงสถิตอยู่ในตัวหมากล้อมที่ใกล้หมดลมหายใจที่ผมวางลงตัวนั้น ที่เป็นเหมือน “ฮีโร่ผู้มองไม่เห็น แต่สัมผัสด้วยใจ” มาช่วยบอกอะไรบางอย่างแก่ผม และหลังเหตุการณ์นี้จบลง ทำให้ผมทราบว่า ทำอะไรไม่ดีไว้ อย่าคิดว่าไม่มีใครเห็น สิ่งของทุกอย่างมีครู มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คอยคุ้มครอง…
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่