บอกเลยว่าครั้งแรกที่ดูจบ ผมรู้สึกเสียดายเวลาอยู่นิดๆเหมือนกัน แต่อย่างน้อยได้เสพภาพและเพลงที่เป็นความประทับใจอย่างแรกๆของผมกับเรื่องนี้ก็ไม่ถือว่าผิดหวังซะทีเดียว ด้วยความที่ยังงงๆอยู่หลายๆเรื่องก็เลยย้อนไปดูช่วงแรกๆใหม่ แล้วก็พบว่า"ตรูโดนมันหลอกแล้ว" ไม่ว่าจะหลอกด้วยชื่อเรื่องกับเรื่องย่อทำให้นึกว่ามันเป็นแนวแอกชั่นผสมโรแมนซ์ ภาพสวยงามอลังการ บทสนทนาแปลกๆของตัวละครช่วงแรกๆ พลังพิเศษ การย้อนเวลา ใส่อะไรต่อมิอะไรมายำรวมกันเพื่อให้งง เป็นอนิเมะฟิล์มที่ผมต้องดูหนึ่งรอบกว่าๆถึงจะเข้าใจ การที่มันเปิดเรื่องมาแบบงงๆนั้นเป็นตัวจุดชนวนความงง จากนั้นความงงก็ตามมาอีกเป็นพรืด นั่งดูแล้วแบบว่า"มันจะสื่ออะไรวะ" แต่หลังจากการได้ย้อนไปดูในช่วงแรกๆก็เข้าใจว่าเรื่องนี้พยายามจะนำเสนอเกี่ยวกับการสื่อสารและความเข้าใจระหว่างบุคคล ความรู้สึกจากใจจริง และการมีตัวตน มีเรื่องความรักกับมิตรภาพเป็นตัวกำหนดการกระทำของตัวละคร มีเรื่องย้อนเวลาให้ชวนงงเล่นๆ แต่จริงๆเรื่องย้อนเวลาไม่ใช่ประเด็นหลัก สิ่งที่ผมประทับใจเรื่องนี้อย่างคือเรื่องภาพ เพลง การที่มันทำให้คนดูที่ไม่ตั้งใจดูอย่างผมงงเอาได้ง่ายๆ และข้อคิดที่ได้
ดูเรื่องนี้แล้วได้อะไร ผมเกิดสงสัยขึ้นว่าทุกวันนี้คนเราคุยกันจริงๆโดยไม่ผ่านตัวกลางต่างๆน้อยเกินไปหรือเปล่า ลองไปสังเกตตามที่ต่างๆอย่างร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คุู่รักหรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกันที่กำลังรออาหารอยู่ มักจะมีคนที่หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาสไลด์ไปมาเพราะรู้สึกเบื่ออย่างน้อยหนึ่งคน ในยุคที่สมาร์ทโฟนยังไม่เกิดก็อาจจะเป็นหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านบ้าง แต่หนังสือพิมพ์ก็ยังสร้างเรื่องคุยได้ แต่ผมว่ามันไม่หนักขนาดแชทกับคนอื่นทั้งๆที่อยู่กับอีกคน อย่างน้อยคนเราก็ต้องมีเรื่องคุยกันบ้างแหละน่า แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเรื่องที่จะคุยดันไปคุยในโทรศัพท์หรือใน social network หมดแล้ว การมีสมาร์ทโฟนและ social network เชื่อมคนไกลกันให้ใกล้กันขึ้นก็จริง แต่มันทำให้คนที่อยู่ใกล้กันรู้สึกห่างไกลกันกว่าเดิมหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมคิดได้จากการดูเรื่องนี้ ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้ซึ้งจนผมน้ำตาไหลพราก แต่ก็ทำให้ผมฉุกคิดอะไรบางอย่าง และกระตุ้นให้ผมอยากปรับพฤติกรรมขึ้นมาได้พอสมควรเลยล่ะ
Nerawareta Gakuen อนิเมะฟิล์มที่ผมชอบ เมื่อได้ดูไปรอบกว่าๆ
ดูเรื่องนี้แล้วได้อะไร ผมเกิดสงสัยขึ้นว่าทุกวันนี้คนเราคุยกันจริงๆโดยไม่ผ่านตัวกลางต่างๆน้อยเกินไปหรือเปล่า ลองไปสังเกตตามที่ต่างๆอย่างร้านอาหาร ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน คุู่รักหรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวเดียวกันที่กำลังรออาหารอยู่ มักจะมีคนที่หยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมาสไลด์ไปมาเพราะรู้สึกเบื่ออย่างน้อยหนึ่งคน ในยุคที่สมาร์ทโฟนยังไม่เกิดก็อาจจะเป็นหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่านบ้าง แต่หนังสือพิมพ์ก็ยังสร้างเรื่องคุยได้ แต่ผมว่ามันไม่หนักขนาดแชทกับคนอื่นทั้งๆที่อยู่กับอีกคน อย่างน้อยคนเราก็ต้องมีเรื่องคุยกันบ้างแหละน่า แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเรื่องที่จะคุยดันไปคุยในโทรศัพท์หรือใน social network หมดแล้ว การมีสมาร์ทโฟนและ social network เชื่อมคนไกลกันให้ใกล้กันขึ้นก็จริง แต่มันทำให้คนที่อยู่ใกล้กันรู้สึกห่างไกลกันกว่าเดิมหรือเปล่า นี่คือสิ่งที่ผมคิดได้จากการดูเรื่องนี้ ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้ซึ้งจนผมน้ำตาไหลพราก แต่ก็ทำให้ผมฉุกคิดอะไรบางอย่าง และกระตุ้นให้ผมอยากปรับพฤติกรรมขึ้นมาได้พอสมควรเลยล่ะ