(ที่มา:มติชนรายวัน 8 ก.ค.2556)
ทําไมจึงมีข่าวหนาหูว่ามาตรฐานการศึกษาในประเทศไทยอยู่ต่ำกว่าชนิดสุ่ยหูเมื่อเปรียบกับชาติอื่นๆ
ในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือแม้แต่เวียดนาม
บางคนเล่าว่าเด็กนักเรียนในประเทศกัมพูชาตั้งอกตั้งใจและเต็มใจเรียนภาษาอังกฤษ มีสำเนียง
ภาษาอังกฤษดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนประเภทพื้นเป็นดินทุบแน่น และหลังคามุงจาก
ความจริงมีอยู่ว่ากระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณประจำปีมากเป็นอันดับหนึ่ง มากกว่า
กระทรวงกลาโหมผู้มีหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของชาติเสียอีก
นั่นก็คงเป็นประจักษ์พยานว่า เงินอย่างเดียวไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ถ้าไม่มีวิสัยทัศน์
ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี และไม่มีการรับฟังเสียงนกเสียงกาจากประชาชนอันจะเป็นการ
ประเมินผลอย่างเที่ยงตรง มากกว่าการเล่นประเมินผลที่เล่นกันอยู่ในระหว่างนักการศึกษา
เล่นกันจนเป็น ผศ.,รศ.,ศ.มามากแล้ว
ฝีเรื่องการศึกษาระบมกลัดหนองอยู่ในประเทศไทยหลายสิบปีแล้ว จำได้ว่าอาจารย์แนะแนวชอบ
แนะนักเรียนที่ขยัน ฉลาด มีความรับผิดชอบให้ไปเรียนสายวิทย์ นักเรียนขี้เกียจ นักเรียนที่ไม่เอาไหน
แนะให้ไปเรียนสายศิลป์ แม้ในปัจจุบันนี้อาจารย์แนะแนวในโรงเรียนต่างๆ ก็ยังแนะกันอยู่อย่างนั้น
สิ่งนี้มีส่วนทำให้เด็กสายศิลป์ไม่มีความภาคภูมิใจในตนเอง บ่อยครั้งที่ตอบอาจารย์ผู้สัมภาษณ์ในเวลา
ที่สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยว่า "ก็หนูเรียนไม่เก่ง เรียนสายวิทย์ไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ตอบคำถาม
เรื่องการเรียนภาษาอังกฤษว่า ผมไม่ได้ภาษาอังกฤษจึงต้องเรียนภาษาไทย"
ทำไมหนอดรุณและดรุณีของประเทศที่รุ่งเรืองปาน Amazing Thailand จึงได้มีทัศนคติต่อการ
ดำเนินชีวิตของตนเองอย่างแห้งแล้งติดลบแบบนี้ นานทีจึงจะได้ยินคำตอบในระหว่างการสัมภาษณ์ว่า
"หนูเลือกเรียนสายศิลป์เพราะหนูชอบค่ะ"
โรงเรียนก็ช่างกระไรเลย รับนักเรียนเข้าไปจนคับห้อง ถ้าผนังห้องสามารถยืดหดได้ ฝาผนังห้องเรียน
ก็คงพองโป่งเป็นลูกบัลลูนไปแล้ว ก็คงพองเหมือนกระเป๋าเจ้าของโรงเรียนน่ะแหละ
อาจารย์วิชาภาษาอังกฤษต้องพูดภาษาไทยในการสอนภาษาอังกฤษ เพราะมิฉะนั้น นักเรียนจะไม่รู้เรื่องเลย
เวลาในห้องเรียนไม่เพียงพอที่จะให้นักศึกษาฝึกหัดฟัง พูด อ่าน เขียน โดยมากการสอนนักเรียนจำนวนมาก
ให้ทันหลักสูตรก็คือการให้ทำแบบฝึกหัดไวยากรณ์ที่เป็นโครงสร้างเดียวกัน ให้เติมคำในช่องว่างบ้าง ขีดถูก
ขีดผิดบ้าง เปรียบเหมือนให้นักเรียนหัดว่ายน้ำบนบก จะว่ายวา ว่ายกบ ว่ายกรรเชียง ท่าใดก็ตามก็เป็นการ
ว่ายน้ำบนบกทั้งนั้น นักเรียนไม่มีโอกาสหัดออกเสียง หรือ พูดเองบ้าง ที่เปรียบเสมือนโผลงน้ำแล้วว่าย
มีใครหัดว่ายน้ำบนบกแล้วว่ายเป็นบ้าง พอจะต้องสอบ TOEFL ก็จมน้ำตายเป็นแถว
ที่ร้ายมากก็คือบรรดานักเรียนที่เรียนสายศิลป์ชอบเลือกเป็นครู โดยให้เหตุผลว่า หนูเรียนไม่เก่ง คงจะทำ
อย่างอื่นไม่ได้ หนูจึงเลือกเป็นครูค่ะ
ส่วนนักเรียนสายวิทย์ที่มาเลือกเป็นครู ก็ไม่ใช่นักเรียนสายวิทย์ คนที่เลือกเป็นแพทย์หรือเป็นวิศวกร ที่ร้ายมาก
ก็คือได้ยินบรรดาครูอาจารย์ทั้งหลายมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ภาษาจิตวิทยาเขาเรียกว่าปมด้อย ไม่ขวนขวาย
หาความรู้เพิ่มเติม ยึดแน่นอยู่กับภาพ เรือจ้าง ที่ช่างปลูกฝังสืบทอดกันในระหว่างครูอาจารย์ทุกชั่วคน
น้อยครั้งมากที่จะได้ยินว่าครูอาจารย์ท่านใดภาคภูมิใจในงานของท่าน มีนวัตกรรมคิดค้นขึ้นมาใหม่ในการสอน
หรือถ่ายทอดความรู้สู่นักเรียนนักศึกษาของตนอย่างจริงใจ ชื่นใจเมื่อถึงเวลาเข้าสอน เข้าสอนด้วยความ
กระปรี้กระเปร่า พาลูกศิษย์ติดปีกบินขึ้นสู่ดินแดนแห่งความรู้ด้วยความอาจหาญรื่นเริง
การหมดความภาคภูมิใจในตนเองนี่กระมัง ทำให้ผู้ที่จะสมัครเป็นครูอาจารย์ในสมัยนี้จึงกระทำการทุจริตใน
การสอบคัดเลือกอย่างโจ๋งครึ่ม และความทุจริตก็ลามไปหาเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย เพราะวงเงินที่เป็นเดิมพัน
นั้นราคาเป็นล้าน
ทางราชการไม่มีทางอื่นที่จะปราบทุจริตจึงต้องดำเนินการสอบคัดเลือกเหมือนกับจัดกองทัพ มีการใช้รถตัด
สัญญาณ เครื่องสแกนโลหะ การห้ามใช้มือถือและนาฬิกา ห้ามสวมเสื้อคลุม ให้สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว
ให้ถอดรองเท้า สุภาพสตรีที่มีผมยาวต้องรวบผมเพื่อป้องกันการใส่สัญญาณหูฟัง ฯลฯ เรื่องเหล่านี้เป็นเครื่อง
ประจานประเทศไทยว่าคนที่มีศักยภาพจะเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของเยาวชนของชาตินั้นมีแนวโน้มมีนิสัยเป็น
อาชญากรไว้วางใจกันไม่ได้เลย
ก็น่าเห็นใจกระทรวงศึกษาธิการที่ไม่ทราบจะคัดเลือกปลาเน่าออกจากปลาดีได้อย่างไร ในเมื่อมีปลาเน่า
อยู่ในข้องมากเหลือเกิน จึงต้องจัดการสอบคัดเลือกครูอาจารย์แบบนี้
แต่ทว่าเราจะจัดการสอบคัดเลือกคนเข้าเป็นครูอาจารย์กันแบบนี้ทุกปีหรือ! คนเราถ้าใจไม่ดีเสียแล้ว
เครื่องมือใดๆ ก็จับไม่ได้ ให้ใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว ถ้าเขาแก้ลำด้วยการลงทุนสักสูตรที่สำคัญๆ ไว้บน
หน้าอกและเนื้อพุงเสียเลยปีต่อๆ ไปก็คงต้องให้ถอดเสื้อเข้าสอบกระมัง แล้วสุภาพสตรีที่เข้าสอบจะต้อง
แต่งตัวอย่างไร? บิกินีหรือ! คงจะลือเลื่องกันไปทั่วโลกว่าคนไทยนี่คบไม่ได้ หลอกลวงเป็นที่หนึ่ง แม้คน
ที่จะเป็นครูอาจารย์ก็ยังลื่นไหลจับไม่ติดยิ่งกว่าปลาไหล ต่อไปคงต้องล้วงทวารเหมือนการจับนักขนยา
เสพติดหรืออย่างไร!
ทำไมเราจึงไม่ให้ความสนใจกับการอบรมบ่มนิสัยคน ให้มีศีลธรรมประจำใจ? ไม่ต้องจัดประกวดคนมีคุณธรรม
หรอกคุณ คนอิจฉาริษยากันจนประเทศไทยจะเป็นเมืองอกแตกอยู่แล้ว ทำไมไม่ส่งเสริมการปฏิบัติตาม
คุณธรรมในศาสนาหลักๆ ในประเทศไทยขึ้นบ้าง อย่างน้อยให้ถือศีลห้ากันให้ได้สัปดาห์ละครึ่งวันจะดีไหม?
จะได้ไหม
ขอขอบพระคุณที่กรุณาอ่านมาถึงตอนนี้ค่ะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1373284708&grpid=&catid=02&subcatid=0207
เก็บตกบทความนี้จาก "มติชน" มาให้อ่านกัน ไม่เคยอ่านบทความของ คุณหญิงเลย
อยากอวดว่า เป็นเพื่อน ในวัยเยาว์ กับคุณหญิงค่ะ เธอเรียนหนังสือเก่งมาก และเรียน
สายศิลป์ เป็นความภาคภูมใจของเพื่อนๆ และครูบาอาจารย์ทุกท่าน เราห่างหายกันไป
เพราะ คุณหญิงเป็นประเภททีมชาติ ไปดีเด่นด้านวิชาการ เป็น หนึ่งในนร.ทุนอานันท ฯ
แต่เขียนบทความนี้ได้สะใจมาก ทุกเนื้อหาของบทความสมควรที่ รมต. ศึกษาควรที่จะได้
ตระหนักและนำไปไตร่ตรอง รวมไปถึง รมต.ทบวงมหาวิทยาลัย รวมไปถึงรมต.
กระทรวงพัฒนาสังคม ..... ด้วยก็ดีนะ ...
สำหรับการเรียนภาษาอังกฤษนั้น หากเรียนไปแล้วไม่ได้ใช้ ก็คืนครูไปหมด
จากประสบการณ์ของตัวเอง ก็เรียนภาษอังกฤษแบบอยู่ท้ายแถว แต่เพราะถุกจับไปทำงาน
ที่ต้องเจอกับ ชาวต่างชาติ และต้องใช่้ภาษาอังกฤษ ในการทำงานด้วย
ผ่านไปไม่นานก็กลาย คนพูดภาษาอังกฤษได้ แบบ ฝรั่งถามไปเรียนมาจากไหน
โธ่..เอ๊ย ก็เรียนกับพวก you นั่นแหละ .... เอาตัวรอด เพราะความหน้าด้าน กล้าพูดเท่านั้น
วันนี้ อาจจคืนครูไปอีกรอบแล้ว เพราะ ไม่ได้ใช้มากเกือบ 10 ปี แล้ว ....
tag หลายห้องหน่อย เพราะอยากให้เพื่อนได้อ่าน บทความดีๆ แบบนี้
นี่ บ้านเมืองเราเป็นอะไรไป โดย คุณหญิงสุริยา รัตนกุล ... มติชนออนไลน์
ทําไมจึงมีข่าวหนาหูว่ามาตรฐานการศึกษาในประเทศไทยอยู่ต่ำกว่าชนิดสุ่ยหูเมื่อเปรียบกับชาติอื่นๆ
ในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย หรือแม้แต่เวียดนาม
บางคนเล่าว่าเด็กนักเรียนในประเทศกัมพูชาตั้งอกตั้งใจและเต็มใจเรียนภาษาอังกฤษ มีสำเนียง
ภาษาอังกฤษดีอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งๆ ที่เรียนอยู่ในโรงเรียนประเภทพื้นเป็นดินทุบแน่น และหลังคามุงจาก
ความจริงมีอยู่ว่ากระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณประจำปีมากเป็นอันดับหนึ่ง มากกว่า
กระทรวงกลาโหมผู้มีหน้าที่ป้องกันอธิปไตยของชาติเสียอีก
นั่นก็คงเป็นประจักษ์พยานว่า เงินอย่างเดียวไม่สามารถทำอะไรได้มากนัก ถ้าไม่มีวิสัยทัศน์
ไม่มีการบริหารจัดการที่ดี และไม่มีการรับฟังเสียงนกเสียงกาจากประชาชนอันจะเป็นการ
ประเมินผลอย่างเที่ยงตรง มากกว่าการเล่นประเมินผลที่เล่นกันอยู่ในระหว่างนักการศึกษา
เล่นกันจนเป็น ผศ.,รศ.,ศ.มามากแล้ว
ฝีเรื่องการศึกษาระบมกลัดหนองอยู่ในประเทศไทยหลายสิบปีแล้ว จำได้ว่าอาจารย์แนะแนวชอบ
แนะนักเรียนที่ขยัน ฉลาด มีความรับผิดชอบให้ไปเรียนสายวิทย์ นักเรียนขี้เกียจ นักเรียนที่ไม่เอาไหน
แนะให้ไปเรียนสายศิลป์ แม้ในปัจจุบันนี้อาจารย์แนะแนวในโรงเรียนต่างๆ ก็ยังแนะกันอยู่อย่างนั้น
สิ่งนี้มีส่วนทำให้เด็กสายศิลป์ไม่มีความภาคภูมิใจในตนเอง บ่อยครั้งที่ตอบอาจารย์ผู้สัมภาษณ์ในเวลา
ที่สอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยว่า "ก็หนูเรียนไม่เก่ง เรียนสายวิทย์ไม่ได้ เช่นเดียวกับที่ตอบคำถาม
เรื่องการเรียนภาษาอังกฤษว่า ผมไม่ได้ภาษาอังกฤษจึงต้องเรียนภาษาไทย"
ทำไมหนอดรุณและดรุณีของประเทศที่รุ่งเรืองปาน Amazing Thailand จึงได้มีทัศนคติต่อการ
ดำเนินชีวิตของตนเองอย่างแห้งแล้งติดลบแบบนี้ นานทีจึงจะได้ยินคำตอบในระหว่างการสัมภาษณ์ว่า
"หนูเลือกเรียนสายศิลป์เพราะหนูชอบค่ะ"
โรงเรียนก็ช่างกระไรเลย รับนักเรียนเข้าไปจนคับห้อง ถ้าผนังห้องสามารถยืดหดได้ ฝาผนังห้องเรียน
ก็คงพองโป่งเป็นลูกบัลลูนไปแล้ว ก็คงพองเหมือนกระเป๋าเจ้าของโรงเรียนน่ะแหละ
อาจารย์วิชาภาษาอังกฤษต้องพูดภาษาไทยในการสอนภาษาอังกฤษ เพราะมิฉะนั้น นักเรียนจะไม่รู้เรื่องเลย
เวลาในห้องเรียนไม่เพียงพอที่จะให้นักศึกษาฝึกหัดฟัง พูด อ่าน เขียน โดยมากการสอนนักเรียนจำนวนมาก
ให้ทันหลักสูตรก็คือการให้ทำแบบฝึกหัดไวยากรณ์ที่เป็นโครงสร้างเดียวกัน ให้เติมคำในช่องว่างบ้าง ขีดถูก
ขีดผิดบ้าง เปรียบเหมือนให้นักเรียนหัดว่ายน้ำบนบก จะว่ายวา ว่ายกบ ว่ายกรรเชียง ท่าใดก็ตามก็เป็นการ
ว่ายน้ำบนบกทั้งนั้น นักเรียนไม่มีโอกาสหัดออกเสียง หรือ พูดเองบ้าง ที่เปรียบเสมือนโผลงน้ำแล้วว่าย
มีใครหัดว่ายน้ำบนบกแล้วว่ายเป็นบ้าง พอจะต้องสอบ TOEFL ก็จมน้ำตายเป็นแถว
ที่ร้ายมากก็คือบรรดานักเรียนที่เรียนสายศิลป์ชอบเลือกเป็นครู โดยให้เหตุผลว่า หนูเรียนไม่เก่ง คงจะทำ
อย่างอื่นไม่ได้ หนูจึงเลือกเป็นครูค่ะ
ส่วนนักเรียนสายวิทย์ที่มาเลือกเป็นครู ก็ไม่ใช่นักเรียนสายวิทย์ คนที่เลือกเป็นแพทย์หรือเป็นวิศวกร ที่ร้ายมาก
ก็คือได้ยินบรรดาครูอาจารย์ทั้งหลายมีความน้อยเนื้อต่ำใจ ที่ภาษาจิตวิทยาเขาเรียกว่าปมด้อย ไม่ขวนขวาย
หาความรู้เพิ่มเติม ยึดแน่นอยู่กับภาพ เรือจ้าง ที่ช่างปลูกฝังสืบทอดกันในระหว่างครูอาจารย์ทุกชั่วคน
น้อยครั้งมากที่จะได้ยินว่าครูอาจารย์ท่านใดภาคภูมิใจในงานของท่าน มีนวัตกรรมคิดค้นขึ้นมาใหม่ในการสอน
หรือถ่ายทอดความรู้สู่นักเรียนนักศึกษาของตนอย่างจริงใจ ชื่นใจเมื่อถึงเวลาเข้าสอน เข้าสอนด้วยความ
กระปรี้กระเปร่า พาลูกศิษย์ติดปีกบินขึ้นสู่ดินแดนแห่งความรู้ด้วยความอาจหาญรื่นเริง
การหมดความภาคภูมิใจในตนเองนี่กระมัง ทำให้ผู้ที่จะสมัครเป็นครูอาจารย์ในสมัยนี้จึงกระทำการทุจริตใน
การสอบคัดเลือกอย่างโจ๋งครึ่ม และความทุจริตก็ลามไปหาเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย เพราะวงเงินที่เป็นเดิมพัน
นั้นราคาเป็นล้าน
ทางราชการไม่มีทางอื่นที่จะปราบทุจริตจึงต้องดำเนินการสอบคัดเลือกเหมือนกับจัดกองทัพ มีการใช้รถตัด
สัญญาณ เครื่องสแกนโลหะ การห้ามใช้มือถือและนาฬิกา ห้ามสวมเสื้อคลุม ให้สวมเสื้อยืดคอกลมสีขาว
ให้ถอดรองเท้า สุภาพสตรีที่มีผมยาวต้องรวบผมเพื่อป้องกันการใส่สัญญาณหูฟัง ฯลฯ เรื่องเหล่านี้เป็นเครื่อง
ประจานประเทศไทยว่าคนที่มีศักยภาพจะเป็นพ่อพิมพ์แม่พิมพ์ของเยาวชนของชาตินั้นมีแนวโน้มมีนิสัยเป็น
อาชญากรไว้วางใจกันไม่ได้เลย
ก็น่าเห็นใจกระทรวงศึกษาธิการที่ไม่ทราบจะคัดเลือกปลาเน่าออกจากปลาดีได้อย่างไร ในเมื่อมีปลาเน่า
อยู่ในข้องมากเหลือเกิน จึงต้องจัดการสอบคัดเลือกครูอาจารย์แบบนี้
แต่ทว่าเราจะจัดการสอบคัดเลือกคนเข้าเป็นครูอาจารย์กันแบบนี้ทุกปีหรือ! คนเราถ้าใจไม่ดีเสียแล้ว
เครื่องมือใดๆ ก็จับไม่ได้ ให้ใส่เสื้อยืดคอกลมสีขาว ถ้าเขาแก้ลำด้วยการลงทุนสักสูตรที่สำคัญๆ ไว้บน
หน้าอกและเนื้อพุงเสียเลยปีต่อๆ ไปก็คงต้องให้ถอดเสื้อเข้าสอบกระมัง แล้วสุภาพสตรีที่เข้าสอบจะต้อง
แต่งตัวอย่างไร? บิกินีหรือ! คงจะลือเลื่องกันไปทั่วโลกว่าคนไทยนี่คบไม่ได้ หลอกลวงเป็นที่หนึ่ง แม้คน
ที่จะเป็นครูอาจารย์ก็ยังลื่นไหลจับไม่ติดยิ่งกว่าปลาไหล ต่อไปคงต้องล้วงทวารเหมือนการจับนักขนยา
เสพติดหรืออย่างไร!
ทำไมเราจึงไม่ให้ความสนใจกับการอบรมบ่มนิสัยคน ให้มีศีลธรรมประจำใจ? ไม่ต้องจัดประกวดคนมีคุณธรรม
หรอกคุณ คนอิจฉาริษยากันจนประเทศไทยจะเป็นเมืองอกแตกอยู่แล้ว ทำไมไม่ส่งเสริมการปฏิบัติตาม
คุณธรรมในศาสนาหลักๆ ในประเทศไทยขึ้นบ้าง อย่างน้อยให้ถือศีลห้ากันให้ได้สัปดาห์ละครึ่งวันจะดีไหม?
จะได้ไหม
ขอขอบพระคุณที่กรุณาอ่านมาถึงตอนนี้ค่ะ
http://www.matichon.co.th/news_detail.php?newsid=1373284708&grpid=&catid=02&subcatid=0207
เก็บตกบทความนี้จาก "มติชน" มาให้อ่านกัน ไม่เคยอ่านบทความของ คุณหญิงเลย
อยากอวดว่า เป็นเพื่อน ในวัยเยาว์ กับคุณหญิงค่ะ เธอเรียนหนังสือเก่งมาก และเรียน
สายศิลป์ เป็นความภาคภูมใจของเพื่อนๆ และครูบาอาจารย์ทุกท่าน เราห่างหายกันไป
เพราะ คุณหญิงเป็นประเภททีมชาติ ไปดีเด่นด้านวิชาการ เป็น หนึ่งในนร.ทุนอานันท ฯ
แต่เขียนบทความนี้ได้สะใจมาก ทุกเนื้อหาของบทความสมควรที่ รมต. ศึกษาควรที่จะได้
ตระหนักและนำไปไตร่ตรอง รวมไปถึง รมต.ทบวงมหาวิทยาลัย รวมไปถึงรมต.
กระทรวงพัฒนาสังคม ..... ด้วยก็ดีนะ ...
สำหรับการเรียนภาษาอังกฤษนั้น หากเรียนไปแล้วไม่ได้ใช้ ก็คืนครูไปหมด
จากประสบการณ์ของตัวเอง ก็เรียนภาษอังกฤษแบบอยู่ท้ายแถว แต่เพราะถุกจับไปทำงาน
ที่ต้องเจอกับ ชาวต่างชาติ และต้องใช่้ภาษาอังกฤษ ในการทำงานด้วย
ผ่านไปไม่นานก็กลาย คนพูดภาษาอังกฤษได้ แบบ ฝรั่งถามไปเรียนมาจากไหน
โธ่..เอ๊ย ก็เรียนกับพวก you นั่นแหละ .... เอาตัวรอด เพราะความหน้าด้าน กล้าพูดเท่านั้น
วันนี้ อาจจคืนครูไปอีกรอบแล้ว เพราะ ไม่ได้ใช้มากเกือบ 10 ปี แล้ว ....
tag หลายห้องหน่อย เพราะอยากให้เพื่อนได้อ่าน บทความดีๆ แบบนี้