ก่อนอื่นๆต้องขออนุญาติคุณแม่ห้องชานเรือนก่อนนะคะว่า เราไม่ได้เป็นผู้เสียหายเอง
แต่ทนไม่ได้ที่พี่สาวที่รักโดนเอาเปรียบ อยากสอบถามความเห็นจากหลายๆท่านดูค่ะ เผื่อว่ามีความไม่ถูกต้อง อย่างน้อยจะได้เป็นข้อมูลให้หลายๆท่านประกอบการพิจารณาการหาพี่เลี้ยงผ่านเอเจนซี่ต่างๆ
เรื่องเกิดเมื่อเดือนเมษา-พฤษภา แต่เราติดภาระกิจที่ต่างประเทศกลับมาก็เคลียร์งานกอปรกับทางศูนย์มีการขอเจรจาต่อรอง ทางพี่สาวเราเลยดูท่าทีไปก่อนค่ะ ไม่นึกว่าจะมีเรื่องราวซ้ำซ้อนมากมายจนต้องมาตั้งกระทู้ถามและแชร์ประสบการณ์ในพันธิทิพย์ค่ะ
เริ่มเลยนะคะ
คือพี่สาวที่เรารักและเคารพมีน้องวัยประมาณ11 เดือน และเมื่อเดือนเมษาก็ทราบว่าพี่เลี้ยงจะลาไปแต่งงาน เลยต้องรีบหาพี่เลี้ยง ใหม่โดยได้ติดต่อศูนย์พี่เลี้ยงนึงย่าน ภาษีเจริญ เนื่องจากน้องชายสามีพี่เค้าก็ใช้บริการศูนย์นี้อยู่ค่ะ
โดยก็ไม่มีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยก่อนหน้านี้พี่สาวเราก็ให้โจทย์ทางศูนย์ไปว่าของพี่เลี้ยงที่จะมาดูแลเรื่องพัฒนาการเด็ก และโภชณาการได้ เนื่องจากพี่สาวเรามีลูกตอนอายุ 30 ปลายๆ โดยการทำกีฟท์(หลังจากเฟล์มา 4-5 ครั้ง) และพี่สาวเป็นคนทำงาน จึงอยากได้คนที่มาดูแลน้องอย่างใกล้ชิด โดยให้พี่พักอาหารพร้อม มีวันหยุดให้สัปดาห์ละ 1 วัน มีโอทีให้ เค้าอยากได้คนที่มาสอนมาดูแล ใม่ใช่แค่คอยป้อนข้าว อาบน้ำเปลี่ยนผ้าอ้อมนะคะและอยากได้คนมีมีประสบการณ์
โดยทางศูนย์ได้การันตีว่าคนที่หามาให้มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ เคยทำงานดูและผู้สูงอายุ และเด็ก โดยที่อยู่ประจำที่ศูนย์มาประมาณ 2 ปี
ทางพี่สาวได้ชำระเงินวางมัดจำพนักงานพี่เลี้ยง 15,000บาท และค่าบริการค่ารถ 1,000 บาท
และทำสัญญาว่าจ้าง ตามเอกสารด้านล่างนี้ค่ะ
20 เมษา พีเลี้ยงใหม่มาและรับการสอนงานจากพี่เลี้ยงเก่า
แล้วสิ่งที่น่าตกใจเริ่มเปิดเผย เช่น การบอกว่าไม่รู้จักโลชั่นทาผ้าอ้อม ฯลฯ (เราก็ไม่รู้จักงะ เพราะไม่เคยมีลูก) แต่ที่เล่นเอางงไปทั้งบางก็คือ เมื่อพี่เลี้ยงใหม่ถามว่า “ชงนมยังไง อัตราส่วนเท่าไหร่ น้ำร้อนเท่าไหร่ ฯลฯ”
เล่นเอาพี่สาวงงมาเลยถามศูนย์ว่าสรุปศูนย์ได้จัดหาพี่เลี้ยงตามคุณสมบัติที่คุยกันไว้รึเปล่า
และ ที่สำคัญ คือ พี่สาวเราได้คาดคั้นจากพี่เลี้ยงเรื่องประสบการณ์ จนพี่เลี้ยงเล่าความจริงว่าแค่เคยเลี้ยงเด็กตามบ้านและเพิ่งมาสมัครงานที่นี้เพียงไม่กี่วัน
พี่สาวเลยได้คุยกับทางศูนย์ว่ารับไม่ได้และอยากให้รับผิดชอบโดยการเปลี่ยนพี่เลี้ยงใหม่ให้ทันที ทางศูนย์ก็รับปาก โดยที่พี่เลี้ยงได้ออกจากบ้านพี่สาวเราประมาณวันพฤหัสเช้า และพี่สาวก็ได้จ่ายค่าโอทีตอนที่มาวันอาทิตย์เรียบร้อยค่ะ = ว่ามาทำงานจริงๆ 3 วัน (* 500 = 1,500 บาท)
หลังจากนั้นทางพี่สาวและศูนย์ก็พยายามติดต่อเพื่อหาพี่เลี้ยงใหม่ แต่สุดท้ายทางศูนย์ก็ไม่สามารถหาให้ได้ เช่นหาได้แต่บอกให้พี่สาวต้องสัมภาษณ์และตัดสินใจเลย แต่ขณะนั้นพี่สาวกำลังขับรถไปประชุมที่พัทยาอยู่ ทางศูนย์จึงบอกว่างั้นขอให้คนอื่นไปนะ อะไรงี้ ทางพี่สาวเราเกรงใจไม่อยากปิดโอกาสเกิดไม่ใช่ขึ้นมาพี่เลี้ยงเค้าก็อาจอดได้งานอื่นไปจึงให้ศูนย์เอาให้คนอื่นไปก่อน
แต่ทาง0 ก็ไม่สามารถหาพี่เลี้ยงคนอื่นได้ ในขณะที่มีคนอื่นเสนอมาพี่สาวจึงต้องรีบรับไว้
และอีกอย่างที่น่าคิด คือการที่ทางศูนย์ ย้อมแมว สอนให้พี่เลี้ยงโกหกตอนสัมภาษณ์ มันทำให้เสียเครดิต เสียความรู้สึกและความไว้ใจไปแล้วส่วนนึงว่าจะสามารถเชื่อใจได้มากน้อยแค่ไหนกับคนใหม่ที่หามาให้
และทันทีที่ได้พี่เลี้ยงใหม่จากที่อื่นก็ได้รีบแจ้ง 0 โดยทาง 0 ยืนยันว่าไม่มีนโยบายคืนเงินมัดจำให้ โดยเด็ดขาดแม้ว่าจะให้หักจากวัน ที่ทำงานจริงจะ นับ 3 หรือ 4 วันก็แล้วแต่ เพราะเขาอ้างว่าพี่สาวเราผิดที่ไม่รอเค้าค่ะ
พี่สาวได้ไปคุยกับ 0 หลายครั้งเรื่องการขอเงินมัดจำคืนแต่ทาง 0ก็บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จนในที่สุดเราต้องเป็นคนโทรเราได้โทรไปคุยตอนวันที่วันที่ 8 พค ทาง 0 ก็รับปากว่าจะดำเนินการให้ โดยเราได้ขอว่าให้ตอบมาเป็นลายลักอักษรว่าจะคืนยอดเท่าไหร่วันไหนซึ่งทาง 0 ก็บ่ายเบียงว่าส่งเรื่องให้บัญชีแล้ว
จน 14 พค เราต้องส่งเป็น sms เพื่อให้มีหลักฐาน เพราะกลัวว่าการบอกยกเลิกจ้าง และการตกลงทางโทรศัพท์มันจะดูเลื่อนลอยเกินไป แต่ก็ไม่ได้รับ การตอบกลับจาก 0 เป็นแฟกซ์ตามที่คุยกันเลย
และทาง 0 ได้ตอบกลับอีกครั้งว่าจะโอนให้ในวันที่ 10 มิถุนายน
เราก็ได้แต่รอรอรอ
แต่แล้วบัดเจ๊ดโต๊ววววว
10 มิถุนายน 0 โอนมา 2,500 บาท
2,500 บาทค่ะ คุณพระช่วยน่ากลัวมาก
เราได้โทรไปถาม 0 และได้รับคำตอบว่าแจ้งมาทางเราแล้วว่าขอแบ่งจ่ายเดือนละ 2,500 บาท โดยก็ยังไม่ยอมบอกอยู่ดีว่ายอดจะเป็นเท่าไหร่
เราให้พี่สาวเชคsms ว่าทาง 0 ได้ส่งมาตามที่อ้างไหม ซึ่งก็พบเพียงแต่ sms ขอเลขบัญชี
เราเลยรู้สึกผิดหวังกับ 0 มาที่ไม่จริงใจกับลูกค้า ย้อมแมว สอนให้พี่เลี้ยงโกหกเพื่อให้ได้งาน ดึงเชงการคืนเงิน
หนำซ้ำยังไม่ซื่อตรงเรื่องการแบ่งจ่ายการคืนเงินอีก
เราก็ไม่ได้มีความช่ำชองทางกฎหมายมาก รวมถึงไม่แน่ใจว่าฝ่ายเราที่ไป”เยอะ” กับเค้า หรือฝ่ายเราที่โดนเค้าเอาเปรียบจริงๆด้วย
บริษัทจัดหาพี่เลี้ยง ย้อมแมว-ดึงเชง เงินมัดจำ
แต่ทนไม่ได้ที่พี่สาวที่รักโดนเอาเปรียบ อยากสอบถามความเห็นจากหลายๆท่านดูค่ะ เผื่อว่ามีความไม่ถูกต้อง อย่างน้อยจะได้เป็นข้อมูลให้หลายๆท่านประกอบการพิจารณาการหาพี่เลี้ยงผ่านเอเจนซี่ต่างๆ
เรื่องเกิดเมื่อเดือนเมษา-พฤษภา แต่เราติดภาระกิจที่ต่างประเทศกลับมาก็เคลียร์งานกอปรกับทางศูนย์มีการขอเจรจาต่อรอง ทางพี่สาวเราเลยดูท่าทีไปก่อนค่ะ ไม่นึกว่าจะมีเรื่องราวซ้ำซ้อนมากมายจนต้องมาตั้งกระทู้ถามและแชร์ประสบการณ์ในพันธิทิพย์ค่ะ
เริ่มเลยนะคะ
คือพี่สาวที่เรารักและเคารพมีน้องวัยประมาณ11 เดือน และเมื่อเดือนเมษาก็ทราบว่าพี่เลี้ยงจะลาไปแต่งงาน เลยต้องรีบหาพี่เลี้ยง ใหม่โดยได้ติดต่อศูนย์พี่เลี้ยงนึงย่าน ภาษีเจริญ เนื่องจากน้องชายสามีพี่เค้าก็ใช้บริการศูนย์นี้อยู่ค่ะ
โดยก็ไม่มีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยก่อนหน้านี้พี่สาวเราก็ให้โจทย์ทางศูนย์ไปว่าของพี่เลี้ยงที่จะมาดูแลเรื่องพัฒนาการเด็ก และโภชณาการได้ เนื่องจากพี่สาวเรามีลูกตอนอายุ 30 ปลายๆ โดยการทำกีฟท์(หลังจากเฟล์มา 4-5 ครั้ง) และพี่สาวเป็นคนทำงาน จึงอยากได้คนที่มาดูแลน้องอย่างใกล้ชิด โดยให้พี่พักอาหารพร้อม มีวันหยุดให้สัปดาห์ละ 1 วัน มีโอทีให้ เค้าอยากได้คนที่มาสอนมาดูแล ใม่ใช่แค่คอยป้อนข้าว อาบน้ำเปลี่ยนผ้าอ้อมนะคะและอยากได้คนมีมีประสบการณ์
โดยทางศูนย์ได้การันตีว่าคนที่หามาให้มีคุณสมบัติครบถ้วนทุกประการ เคยทำงานดูและผู้สูงอายุ และเด็ก โดยที่อยู่ประจำที่ศูนย์มาประมาณ 2 ปี
ทางพี่สาวได้ชำระเงินวางมัดจำพนักงานพี่เลี้ยง 15,000บาท และค่าบริการค่ารถ 1,000 บาท
และทำสัญญาว่าจ้าง ตามเอกสารด้านล่างนี้ค่ะ
20 เมษา พีเลี้ยงใหม่มาและรับการสอนงานจากพี่เลี้ยงเก่า
แล้วสิ่งที่น่าตกใจเริ่มเปิดเผย เช่น การบอกว่าไม่รู้จักโลชั่นทาผ้าอ้อม ฯลฯ (เราก็ไม่รู้จักงะ เพราะไม่เคยมีลูก) แต่ที่เล่นเอางงไปทั้งบางก็คือ เมื่อพี่เลี้ยงใหม่ถามว่า “ชงนมยังไง อัตราส่วนเท่าไหร่ น้ำร้อนเท่าไหร่ ฯลฯ”
เล่นเอาพี่สาวงงมาเลยถามศูนย์ว่าสรุปศูนย์ได้จัดหาพี่เลี้ยงตามคุณสมบัติที่คุยกันไว้รึเปล่า
และ ที่สำคัญ คือ พี่สาวเราได้คาดคั้นจากพี่เลี้ยงเรื่องประสบการณ์ จนพี่เลี้ยงเล่าความจริงว่าแค่เคยเลี้ยงเด็กตามบ้านและเพิ่งมาสมัครงานที่นี้เพียงไม่กี่วัน
พี่สาวเลยได้คุยกับทางศูนย์ว่ารับไม่ได้และอยากให้รับผิดชอบโดยการเปลี่ยนพี่เลี้ยงใหม่ให้ทันที ทางศูนย์ก็รับปาก โดยที่พี่เลี้ยงได้ออกจากบ้านพี่สาวเราประมาณวันพฤหัสเช้า และพี่สาวก็ได้จ่ายค่าโอทีตอนที่มาวันอาทิตย์เรียบร้อยค่ะ = ว่ามาทำงานจริงๆ 3 วัน (* 500 = 1,500 บาท)
หลังจากนั้นทางพี่สาวและศูนย์ก็พยายามติดต่อเพื่อหาพี่เลี้ยงใหม่ แต่สุดท้ายทางศูนย์ก็ไม่สามารถหาให้ได้ เช่นหาได้แต่บอกให้พี่สาวต้องสัมภาษณ์และตัดสินใจเลย แต่ขณะนั้นพี่สาวกำลังขับรถไปประชุมที่พัทยาอยู่ ทางศูนย์จึงบอกว่างั้นขอให้คนอื่นไปนะ อะไรงี้ ทางพี่สาวเราเกรงใจไม่อยากปิดโอกาสเกิดไม่ใช่ขึ้นมาพี่เลี้ยงเค้าก็อาจอดได้งานอื่นไปจึงให้ศูนย์เอาให้คนอื่นไปก่อน
แต่ทาง0 ก็ไม่สามารถหาพี่เลี้ยงคนอื่นได้ ในขณะที่มีคนอื่นเสนอมาพี่สาวจึงต้องรีบรับไว้
และอีกอย่างที่น่าคิด คือการที่ทางศูนย์ ย้อมแมว สอนให้พี่เลี้ยงโกหกตอนสัมภาษณ์ มันทำให้เสียเครดิต เสียความรู้สึกและความไว้ใจไปแล้วส่วนนึงว่าจะสามารถเชื่อใจได้มากน้อยแค่ไหนกับคนใหม่ที่หามาให้
และทันทีที่ได้พี่เลี้ยงใหม่จากที่อื่นก็ได้รีบแจ้ง 0 โดยทาง 0 ยืนยันว่าไม่มีนโยบายคืนเงินมัดจำให้ โดยเด็ดขาดแม้ว่าจะให้หักจากวัน ที่ทำงานจริงจะ นับ 3 หรือ 4 วันก็แล้วแต่ เพราะเขาอ้างว่าพี่สาวเราผิดที่ไม่รอเค้าค่ะ
พี่สาวได้ไปคุยกับ 0 หลายครั้งเรื่องการขอเงินมัดจำคืนแต่ทาง 0ก็บ่ายเบี่ยงมาโดยตลอด จนในที่สุดเราต้องเป็นคนโทรเราได้โทรไปคุยตอนวันที่วันที่ 8 พค ทาง 0 ก็รับปากว่าจะดำเนินการให้ โดยเราได้ขอว่าให้ตอบมาเป็นลายลักอักษรว่าจะคืนยอดเท่าไหร่วันไหนซึ่งทาง 0 ก็บ่ายเบียงว่าส่งเรื่องให้บัญชีแล้ว
จน 14 พค เราต้องส่งเป็น sms เพื่อให้มีหลักฐาน เพราะกลัวว่าการบอกยกเลิกจ้าง และการตกลงทางโทรศัพท์มันจะดูเลื่อนลอยเกินไป แต่ก็ไม่ได้รับ การตอบกลับจาก 0 เป็นแฟกซ์ตามที่คุยกันเลย
และทาง 0 ได้ตอบกลับอีกครั้งว่าจะโอนให้ในวันที่ 10 มิถุนายน
เราก็ได้แต่รอรอรอ
แต่แล้วบัดเจ๊ดโต๊ววววว
10 มิถุนายน 0 โอนมา 2,500 บาท
2,500 บาทค่ะ คุณพระช่วยน่ากลัวมาก
เราได้โทรไปถาม 0 และได้รับคำตอบว่าแจ้งมาทางเราแล้วว่าขอแบ่งจ่ายเดือนละ 2,500 บาท โดยก็ยังไม่ยอมบอกอยู่ดีว่ายอดจะเป็นเท่าไหร่
เราให้พี่สาวเชคsms ว่าทาง 0 ได้ส่งมาตามที่อ้างไหม ซึ่งก็พบเพียงแต่ sms ขอเลขบัญชี
เราเลยรู้สึกผิดหวังกับ 0 มาที่ไม่จริงใจกับลูกค้า ย้อมแมว สอนให้พี่เลี้ยงโกหกเพื่อให้ได้งาน ดึงเชงการคืนเงิน
หนำซ้ำยังไม่ซื่อตรงเรื่องการแบ่งจ่ายการคืนเงินอีก
เราก็ไม่ได้มีความช่ำชองทางกฎหมายมาก รวมถึงไม่แน่ใจว่าฝ่ายเราที่ไป”เยอะ” กับเค้า หรือฝ่ายเราที่โดนเค้าเอาเปรียบจริงๆด้วย