ความกล้าหาญภายใต้หน้ากากขาว
โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ขณะนี้ นักรัฐศาสตร์ชักสับสนว่าเมืองไทยปกครองด้วยระบอบอะไรกันแน่ คนไทยถูกสะกดจิตให้ท่องคำว่า เมืองไทยเป็นประชาธิปไตย บางคนถูกสะกดจิตให้เชื่อต่อไปว่า ถ้าอยากให้เป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เสียใหม่ในหลายมาตรา เพราะนี่คือผลผลิตของเผด็จการ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลพร่ำพูดแต่คำว่า ต้องเชื่อเสียงข้างมากในสภาที่ประชาชนเลือกเข้ามา นั่นแหละคือประชาธิปไตย
ถึงอย่างไรประเทศก็ยังจัดได้ว่าเป็นประชาธิปไตยในรูปแบบ แต่นักรัฐศาสตร์มองว่า หัวใจของระบอบประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคามในทุกด้าน ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลถูกคุกคาม ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจับมือกันและก้าวล่วงอำนาจของตุลาการ องค์การอิสระเพื่อการตรวจสอบถูกข่มขู่และซื้อตัว เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกข่มขู่คุกคาม สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องถูกละเมิด การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อชาติของประเทศถูกรัฐบาลเมิน ประชาชนถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วมในโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้มหาศาล ทั้งที่เป็นผู้เสียภาษีที่จะเอาไปใช้หนี้
วันนี้ นักรัฐศาสตร์หลายท่านสุมหัวกันวิเคราะห์สภาพการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบันว่าเป็นในรูปแบบใดกันแน่ นักรัฐศาสตร์ต่างงัดตำราและความรู้ที่ไปร่ำเรียนมาจากเมืองนอก เอามาวิเคราะห์ประชาธิปไตยในเมืองไทย
ท่านเหล่านี้มองว่า นอกจากไม่ให้ความสนใจต่อ “ประชาธิปไตยโดยรัฐธรรมนูญ” (Constitutional Democracy) แล้ว รัฐบาลพยายามใช้ความได้เปรียบจากการมีเสียงเด็ดขาดในสภา สะกดจิตประชาชนให้ยอมรับ “ประชาธิปไตยโดยรัฐสภา” (Parliamentary Democracy) ที่ให้น้ำหนักไปที่ “ลัทธิเสียงข้างมาก” (Majoritarianism) ในสภาโดยไม่ฟังเสียงข้างน้อย ใช้เสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาจะเอาอะไรก็ได้ รัฐบาลจะทำเลวทำชั่วอะไรก็อยู่ได้ ก่อให้เกิดสภาพ “ทรราชเสียงข้างมาก” (Tyranny of the Majority) ซึ่งเป็นการปกครองด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล เพียงแต่อ้างว่าเป็นมติพรรคเท่านั้น คนในพรรคไม่มีสิทธิพูด ฝ่ายค้านจะพูดอะไร มีเหตุผลดีแค่ไหนก็แพ้ในที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลยังปล่อยให้ม็อบทำอะไรได้ตามใจ (Mobocracy/Demagoguery) ประหนึ่งว่าประเทศนี้ปกครองโดยม็อบ (Mob Rule)
ผู้รู้บางท่านเรียกการเมืองไทยขณะนี้ว่าเป็น “ระบอบทมิฬธิปไตย” (Ochlocracy) หรือการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยเสียงข้างมากที่ชื่นชมในตัวผู้นำทรราชอย่างไม่มีเหตุผล เพราะเชื่อว่าจะนำพาความเจริญมาให้ หรือคาดหวังหรือเกิดอุปาทานว่าชีวิตจะดีขึ้น ประชาชนหลงอยู่ในภาวะหลอนจากการปลุกระดมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน คำนี้ดูจะตรงกับสภาพของสังคมไทยขณะนี้มากที่สุด
การบริหารประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปัจจุบัน เป็นเพียงผู้รับคำสั่งมาปฏิบัติจากคนที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลที่คิดว่าเป็นตนเองเก่งที่สุด รัฐบาลแบบนี้เรียกว่า Aristocracy หรือ “การปกครองโดยคนเก่งที่สุด” (Rule of the Best) บางคนวิจารณ์ว่า เมืองไทยปกครองโดยตระกูลชิน ซึ่งนักรัฐศาสตร์เรียกว่า Oligarchy หรือ การปกครองโดยคนกลุ่มเล็กๆ (Rule of a Few) ซึ่งรูปแบบการปกครองทั้งสองถือว่าอยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย
ฟังนักรัฐศาสตร์อธิบายแล้วปวดหัว แต่ก็ได้ทบทวนความรู้ทางรัฐศาสตร์ที่ส่งคืนอาจารย์ไปจนเกือบหมดแล้ว นักรัฐศาสตร์บางท่านใช้ภาษาง่ายๆ ว่า การปกครองในไทยปัจจุบันคือ “เผด็จการภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย” ซึ่งดูจะเห็นภาพชัดเจนมากกว่า เป็นการรักษารูปแบบประชาธิปไตยไว้ แต่หลักการประชาธิปไตยถูกกัดกร่อนไปทุกที แม้มีอำนาจขนาดนี้แล้วก็ยังไม่พอ ผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลยังต้องการ “ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ” ที่เวลานี้ยังมีอุปสรรคสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ สถาบันกษัตริย์ ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ทางด้านสถาบันกษัตริย์นั้น มีความพยายามเป่าคาถาให้เชื่อใน “ระบอบกษัตริย์ทางรัฐสภา” (Parliamentary Monarchy) โดยใช้ความได้เปรียบจากเสียงข้างมากในสภากำหนดบทบาทและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ ซื้อศาล และ ป.ป.ช. ให้ได้เพื่อยึดครองเสียงข้างมากในศาล และ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบสำคัญและไม่เคยยอมตกอยู่ใต้อำนาจทางการเมือง ทำให้คนที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงต้องออกมาเคลื่อนไหว จึงเกิด “ปรากฏการณ์หน้ากากขาว” ใน กทม. และในหลายจังหวัด รวมทั้งคนไทยในต่างประเทศด้วย
คนที่ออกมาร่วม “ปรากฏการณ์หน้ากากขาว” ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจนักในสิ่งที่บรรดาอาจารย์รัฐศาสตร์ได้พูดข้างต้น แต่มาร่วมเพราะไม่พอใจรัฐบาลที่บริหารประเทศไม่เอาไหน ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ ข้าวของแพงมาก หนี้สินเพิ่มขึ้น การทุจริตคอร์รัปชั่นกว้างขวาง รัฐบาลกู้หนี้ยืมสินโดยไม่ได้ถามประชาชน แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มัวแต่มุ่งแก้รัฐธรรมนูญ เสนอกฎหมายฟอกผิดให้กับพี่ชาย บ้าอำนาจ ทำให้ชนชั้นกลางในตัวเมือง โดยเฉพาะใน กทม. ทนไม่ไหว จึงออกมาแสดงความไม่พอใจ
ปรากฏการณ์นี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด กลุ่มหน้ากากขาวเปรียบเสมือนกับ “ตาน้ำ” ที่จะเกิดขึ้นมากมาย น้ำที่ผุดขึ้นจากตาน้ำเล็กๆ เหล่านี้จะรวมกันกลายเป็นลำธาร แม่น้ำ ได้ในอนาคต
อาจารย์ชัยวัฒน์ สุรวิชัย นักสู้เพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่สมัย 14 ตุลาคม 2516 จนถึงปัจจุบันและอนาคต ได้แต่งเพลง “หน้ากากขาว” ขึ้น แต่ยังไม่ได้ทำเป็นเพลง ท่านฝากมาบอกว่า ยินดีหากท่านผู้ใดต้องการทำเป็นเพลงหรือจะปรับคำร้องให้เหมาะสม เพื่อให้คนหน้ากากขาวร้องกันให้เป็นที่ครึกครื้น (ท่านถนัดเรื่องขีดเขียน แต่ไม่ถนัดเรื่องทำเป็นเพลง)
“ฉันคือหน้ากากขาว”
ฉันเป็นคนไทย มิใช่คนกล้า กลัวคนบ้าอำนาจ ทำร้ายฉัน พลัน “หน้ากากขาว”สวมใส่ ฉันเป็นไท มีอิสระ ทันที
ฉันเป็นคนไทย ที่กล้าแล้ว ไม่ยอมแพ้ ทุนสามานย์ ที่กดขี่ จะไปทุกแห่งที่ไม่มีธรรม จะทำทุกอย่าง ขจัดพาลครองเมือง
ฉันคือ หน้ากากขาว V เป็นสตรีบุรุษผู้หาญกล้า เป็นพลังรักและศรัทธา เพื่อชาติศาสน์กษัตริย์ประชาชน
ฉันคือหน้ากากขาว มารวมกันซิ วีรชนคนหนุ่มสาว ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ประเทศไทย ให้โลกรู้ เราคือไท เสรีชน
ประเทศไทย ทรราชย์ เสียงข้างมาก
โดย...ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ
ขณะนี้ นักรัฐศาสตร์ชักสับสนว่าเมืองไทยปกครองด้วยระบอบอะไรกันแน่ คนไทยถูกสะกดจิตให้ท่องคำว่า เมืองไทยเป็นประชาธิปไตย บางคนถูกสะกดจิตให้เชื่อต่อไปว่า ถ้าอยากให้เป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้ ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 เสียใหม่ในหลายมาตรา เพราะนี่คือผลผลิตของเผด็จการ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลพร่ำพูดแต่คำว่า ต้องเชื่อเสียงข้างมากในสภาที่ประชาชนเลือกเข้ามา นั่นแหละคือประชาธิปไตย
ถึงอย่างไรประเทศก็ยังจัดได้ว่าเป็นประชาธิปไตยในรูปแบบ แต่นักรัฐศาสตร์มองว่า หัวใจของระบอบประชาธิปไตยกำลังถูกคุกคามในทุกด้าน ระบบการตรวจสอบและถ่วงดุลถูกคุกคาม ฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารจับมือกันและก้าวล่วงอำนาจของตุลาการ องค์การอิสระเพื่อการตรวจสอบถูกข่มขู่และซื้อตัว เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นถูกข่มขู่คุกคาม สิทธิในการเข้าถึงข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องถูกละเมิด การมีส่วนร่วมของประชาชนต่อชาติของประเทศถูกรัฐบาลเมิน ประชาชนถูกกีดกันจากการมีส่วนร่วมในโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เงินกู้มหาศาล ทั้งที่เป็นผู้เสียภาษีที่จะเอาไปใช้หนี้
วันนี้ นักรัฐศาสตร์หลายท่านสุมหัวกันวิเคราะห์สภาพการเมืองการปกครองของไทยในปัจจุบันว่าเป็นในรูปแบบใดกันแน่ นักรัฐศาสตร์ต่างงัดตำราและความรู้ที่ไปร่ำเรียนมาจากเมืองนอก เอามาวิเคราะห์ประชาธิปไตยในเมืองไทย
ท่านเหล่านี้มองว่า นอกจากไม่ให้ความสนใจต่อ “ประชาธิปไตยโดยรัฐธรรมนูญ” (Constitutional Democracy) แล้ว รัฐบาลพยายามใช้ความได้เปรียบจากการมีเสียงเด็ดขาดในสภา สะกดจิตประชาชนให้ยอมรับ “ประชาธิปไตยโดยรัฐสภา” (Parliamentary Democracy) ที่ให้น้ำหนักไปที่ “ลัทธิเสียงข้างมาก” (Majoritarianism) ในสภาโดยไม่ฟังเสียงข้างน้อย ใช้เสียงข้างมากเด็ดขาดในสภาจะเอาอะไรก็ได้ รัฐบาลจะทำเลวทำชั่วอะไรก็อยู่ได้ ก่อให้เกิดสภาพ “ทรราชเสียงข้างมาก” (Tyranny of the Majority) ซึ่งเป็นการปกครองด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล เพียงแต่อ้างว่าเป็นมติพรรคเท่านั้น คนในพรรคไม่มีสิทธิพูด ฝ่ายค้านจะพูดอะไร มีเหตุผลดีแค่ไหนก็แพ้ในที่สุด นอกจากนี้ รัฐบาลยังปล่อยให้ม็อบทำอะไรได้ตามใจ (Mobocracy/Demagoguery) ประหนึ่งว่าประเทศนี้ปกครองโดยม็อบ (Mob Rule)
ผู้รู้บางท่านเรียกการเมืองไทยขณะนี้ว่าเป็น “ระบอบทมิฬธิปไตย” (Ochlocracy) หรือการปกครองระบอบประชาธิปไตยโดยเสียงข้างมากที่ชื่นชมในตัวผู้นำทรราชอย่างไม่มีเหตุผล เพราะเชื่อว่าจะนำพาความเจริญมาให้ หรือคาดหวังหรือเกิดอุปาทานว่าชีวิตจะดีขึ้น ประชาชนหลงอยู่ในภาวะหลอนจากการปลุกระดมอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน คำนี้ดูจะตรงกับสภาพของสังคมไทยขณะนี้มากที่สุด
การบริหารประเทศของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ในปัจจุบัน เป็นเพียงผู้รับคำสั่งมาปฏิบัติจากคนที่มีอำนาจเหนือรัฐบาลที่คิดว่าเป็นตนเองเก่งที่สุด รัฐบาลแบบนี้เรียกว่า Aristocracy หรือ “การปกครองโดยคนเก่งที่สุด” (Rule of the Best) บางคนวิจารณ์ว่า เมืองไทยปกครองโดยตระกูลชิน ซึ่งนักรัฐศาสตร์เรียกว่า Oligarchy หรือ การปกครองโดยคนกลุ่มเล็กๆ (Rule of a Few) ซึ่งรูปแบบการปกครองทั้งสองถือว่าอยู่ตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตย
ฟังนักรัฐศาสตร์อธิบายแล้วปวดหัว แต่ก็ได้ทบทวนความรู้ทางรัฐศาสตร์ที่ส่งคืนอาจารย์ไปจนเกือบหมดแล้ว นักรัฐศาสตร์บางท่านใช้ภาษาง่ายๆ ว่า การปกครองในไทยปัจจุบันคือ “เผด็จการภายใต้เสื้อคลุมประชาธิปไตย” ซึ่งดูจะเห็นภาพชัดเจนมากกว่า เป็นการรักษารูปแบบประชาธิปไตยไว้ แต่หลักการประชาธิปไตยถูกกัดกร่อนไปทุกที แม้มีอำนาจขนาดนี้แล้วก็ยังไม่พอ ผู้มีอิทธิพลเหนือรัฐบาลยังต้องการ “ยึดอำนาจเบ็ดเสร็จ” ที่เวลานี้ยังมีอุปสรรคสำคัญอยู่ 3 ประการ คือ สถาบันกษัตริย์ ศาลรัฐธรรมนูญ และ ป.ป.ช. ทางด้านสถาบันกษัตริย์นั้น มีความพยายามเป่าคาถาให้เชื่อใน “ระบอบกษัตริย์ทางรัฐสภา” (Parliamentary Monarchy) โดยใช้ความได้เปรียบจากเสียงข้างมากในสภากำหนดบทบาทและอำนาจของสถาบันกษัตริย์ให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ ซื้อศาล และ ป.ป.ช. ให้ได้เพื่อยึดครองเสียงข้างมากในศาล และ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นองค์กรอิสระเพื่อการตรวจสอบสำคัญและไม่เคยยอมตกอยู่ใต้อำนาจทางการเมือง ทำให้คนที่รักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงต้องออกมาเคลื่อนไหว จึงเกิด “ปรากฏการณ์หน้ากากขาว” ใน กทม. และในหลายจังหวัด รวมทั้งคนไทยในต่างประเทศด้วย
คนที่ออกมาร่วม “ปรากฏการณ์หน้ากากขาว” ส่วนใหญ่ไม่เข้าใจนักในสิ่งที่บรรดาอาจารย์รัฐศาสตร์ได้พูดข้างต้น แต่มาร่วมเพราะไม่พอใจรัฐบาลที่บริหารประเทศไม่เอาไหน ประชาชนเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสจากการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ ข้าวของแพงมาก หนี้สินเพิ่มขึ้น การทุจริตคอร์รัปชั่นกว้างขวาง รัฐบาลกู้หนี้ยืมสินโดยไม่ได้ถามประชาชน แทนที่จะมุ่งแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน มัวแต่มุ่งแก้รัฐธรรมนูญ เสนอกฎหมายฟอกผิดให้กับพี่ชาย บ้าอำนาจ ทำให้ชนชั้นกลางในตัวเมือง โดยเฉพาะใน กทม. ทนไม่ไหว จึงออกมาแสดงความไม่พอใจ
ปรากฏการณ์นี้ขยายตัวอย่างรวดเร็วทั้งใน กทม.และต่างจังหวัด กลุ่มหน้ากากขาวเปรียบเสมือนกับ “ตาน้ำ” ที่จะเกิดขึ้นมากมาย น้ำที่ผุดขึ้นจากตาน้ำเล็กๆ เหล่านี้จะรวมกันกลายเป็นลำธาร แม่น้ำ ได้ในอนาคต
อาจารย์ชัยวัฒน์ สุรวิชัย นักสู้เพื่อประชาธิปไตยตั้งแต่สมัย 14 ตุลาคม 2516 จนถึงปัจจุบันและอนาคต ได้แต่งเพลง “หน้ากากขาว” ขึ้น แต่ยังไม่ได้ทำเป็นเพลง ท่านฝากมาบอกว่า ยินดีหากท่านผู้ใดต้องการทำเป็นเพลงหรือจะปรับคำร้องให้เหมาะสม เพื่อให้คนหน้ากากขาวร้องกันให้เป็นที่ครึกครื้น (ท่านถนัดเรื่องขีดเขียน แต่ไม่ถนัดเรื่องทำเป็นเพลง)
“ฉันคือหน้ากากขาว”
ฉันเป็นคนไทย มิใช่คนกล้า กลัวคนบ้าอำนาจ ทำร้ายฉัน พลัน “หน้ากากขาว”สวมใส่ ฉันเป็นไท มีอิสระ ทันที
ฉันเป็นคนไทย ที่กล้าแล้ว ไม่ยอมแพ้ ทุนสามานย์ ที่กดขี่ จะไปทุกแห่งที่ไม่มีธรรม จะทำทุกอย่าง ขจัดพาลครองเมือง
ฉันคือ หน้ากากขาว V เป็นสตรีบุรุษผู้หาญกล้า เป็นพลังรักและศรัทธา เพื่อชาติศาสน์กษัตริย์ประชาชน
ฉันคือหน้ากากขาว มารวมกันซิ วีรชนคนหนุ่มสาว ร่วมสร้างประวัติศาสตร์ประเทศไทย ให้โลกรู้ เราคือไท เสรีชน