ตลอดหลายปีที่ผ่านมาผมทุ่มเทเต็มที่ให้กับการทำธุรกิจ เพื่อให้กิจการเจริญรุ่งเรืองก้าวหน้า
จนตอนนี้ทำหลายกิจการแต่ล่ะกิจการก็ขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับทรัพย์สินเงินทองเพิ่มพูนมากขึ้น
ทั้งๆที่ทุกอย่างเหมือนจะดูเข้าท่าเข้าที ... แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งกำลังไกลห่างออกไป
บางสิ่งที่ผมไขว่คว้าหามันมาตลอด สิ่งที่ไกลห่างออกไปนี้ มันเรียกว่า
“อิสรภาพทางการเงิน”
ทำไมผมถึงกล่าวเช่นนั้น ?
ถ้าอิสรภาพทางการเงิน ทางการเงินมีหมายความว่า ... การมีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่อง
โดยที่จำนวนนั้นมากเพียงพอต่อการดำรงชีวิตในแต่ละวันโดยที่ไม่ต้องทำงาน
แล้วผมล่ะ ?
ธุรกิจหลักผมมีพนักงานสิบกว่าคนเป็นกิจการเล็กๆ ที่ตอนนี้ขาใหญ่ในวงการกำลังไล่บี้ผม
หวังเหยียบผมให้บี้แบนตายคาสังเวียน ผมมีทางเลือกเดียว คือ ต้องสู้ไม่ถอย
ถ้าหยุดทำ ก็คือ ไม่ได้เงิน ... แถมถ้าผมหยุด ทุกอย่างมันก็จบ
ผมเปิดบริษัทอสังหาฯเล็กๆ เพื่อสร้างบ้านขาย ได้กำไรมาก็ทำต่อเนื่อง ขยายต่อไป
ทำไปก็ต้องมองหาที่ดินไว้ในอนาคต ต้องซื้อเตรียมไว้เพื่อสร้างต่อไป
ถ้าหยุดทำ ก็คือ ไม่ได้เงิน ... แถมถ้าหยุดโดยไม่วางแผนเงินจมลงไปกับที่อีก
วันดีคืนดีผมเห็นโอกาสในการลงทุน จึงเปิดร้านเครื่องเขียนเล็กๆร้านหนึ่ง
เปิดมาสามเดือนขาดทุนสะสมไปเก้าหมื่น ... คาดว่าขาดทุนอีกหลายเดือนกว่าจะกำไร
ถ้าหยุดทำ ก็คือ ไม่ได้เงิน ... แถมถ้าหยุดก็ขาดทุนสูญเงินลงทุนทั้งหมด
เปรียบประหนึ่งว่า ... พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขึ้นขี่หลังเสือ ขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจ
แต่เมื่อขึ้นขี่มันแล้วได้สำเร็จ มันก็วิ่งทะยานไป ไปข้างหน้าตามแรงขวับที่เราส่งไป
รู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนว่าเราหยุดมันไม่ได้ กลับลงมาไม่ได้ ถอยไม่ได้เสียแล้ว ...
ผมสามารถสร้างรายได้และเพิ่มสินทรัพย์ต่อเดือนได้พอสมควรจากหลายธุรกิจที่มีอยู่
แต่ถ้า ... เมื่อใดผมหยุดทำงานหรือเป็นอะไรไป รายได้จากกิจการที่ทำมามันจะหายไปกับผม
เมื่อนั้น รายได้จากช่องทางอื่นที่เหลืออยู่ กลับไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต(โดยไม่ทำงาน)
ณ ตอนนี้ มันช่างห่างไกลเหลือเกินกับคำว่า
“อิสรภาพทางการเงิน”
มันเกิดจากอะไรขึ้นทั้งๆที่สามารถทำรายได้ได้ดี ?
รายได้ของผมมากกว่า 80% มาจากการทำงาน ... ทำก็ได้เงิน ไม่ทำก็ไม่ได้เงิน
รายได้ของผมนั้นขึ้นอยู่กับการทำงานมากเกินไป ขึ้นอยู่กับรายได้จากการทำงานมากเกินไป (Active Income)
แต่คำว่า
“อิสรภาพทางการเงิน” นั้นวัดจาก รายได้เชิงรับ (Passive Income)
รายได้เชิงรับ (Passive Income) คืออะไร
รายได้เชิงรับ (Passive Income) คือ รายได้ที่ไม่ได้มาจากการที่เราออกแรงทำงานโดยตรง
หรือแปลอีกทีคือ รายได้ที่เกิดเครื่องมือที่ทำงานทำเงินโดยทีคุณไม่ต้องออกแรงลงมือทำทุกวัน
เช่น รายได้จากทรัพย์สินต่างๆ ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่าสินทรัพย์ต่างๆ บ้าน คอนโด โกดัง กะละมัง ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ฯลฯ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมุ่งเน้นไปที่รายได้จาการทำงานมากถึงมากที่สุด
จนเกิดความไม่สมดุลกันระหว่าง Active Income และ Passive Income
มิหนำซ้ำหลายปีที่ผ่านมา ... ผมถอนเงินลงทุนออกจาก Passive Income ออกมาเยอะมาก
ถอนหมดทุกการลงทุน ถอนพันธบัตรรัฐบาลเมื่อครบงวดทั้งหมดแล้วไม่ซื้อต่อ หุ้นกู้ก็เช่นกัน
เงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นสามัญที่เคยอยู่ในพอร์ทก็ถูกลดจำนวนลงมาก
เพื่อนำเงินเหล่านี้มาลงทุนตั้งต้น มาเป็นรากฐานที่ใช้ในการทำธุรกิจ
สัดส่วนรายได้ของผมเอียงกะเท่เร่มากองอยู่ที่รายได้จากการทำงานจนหมด
หลายปีผ่านมา ... จนมาถึงวันนี้เหล่าเสือของผมพอวิ่งได้ คล่องแคล่ว และ กระฉับกระเฉงขึ้น
มันคงถึงเวลาที่ผมต้องหยุดเร่งความเร็วในการทำกิจการ ต้องหยุดอัดฉีดเงินใหม่ๆเข้าไป
รวมถึงระงับการลงทุนใหม่ๆ เพื่อมามุ่งเน้นที่รายได้เชิงรับ เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตให้มากขึ้น
เป็นเวลานานนับสิบปีตั้งแต่ที่ผมได้รู้จักคำว่า
“อิสรภาพทางการเงิน”
แต่ตลอดระยะเวลาหลายปีผมเดินสวนทางกับเค้ามาโดยตลอด วันนี้ผมกลับมาตั้งหลักใหม่ ...
ปักธงใหม่ ... เพื่อเดินมุ่งหน้าไปตามเส้นทางนี้เพื่อพบเค้า ... คำที่ได้ยินมานาน
แต่ก็ไม่เคยได้พบเขาเลย ... แล้วพบกันครับ ...
“อิสรภาพทางการเงิน”
หัวหอกในการเดินตามหาอิสรภาพทางการเงินของผมในครั้งนี้ทางเลือกแรกก็เห็นจะเป็นบ้านเช่าที่ผมคลุกคลีมานาน
คงต้องขยันดูบ้านมากขึ้น เผื่อว่าจะได้ของดีราคาสมเหตุผลในอนาคตอันใกล้
อีกทางเลือกก็คงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่คุ้นเคยกันมานานแต่พักหลังๆปันใจไปทางอื่น
กำลังตั้งท่าดูจังหวะเพื่อกลับไปสวมปีก
“เม่า” แล้วกลับเข้าไปบินเข้ากองไฟที่โชติช่วงนี้อีกครั้ง
ขอให้บทความชิ้นนี้จงได้สร้างประโยชน์ให้แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขอให้ความร่ำรวยและความสุขสวัสดิ์จงมาสถิตแด่ท่าน
…[^_^]…
ยังห่างไกลเหลือเกิน . . . กับคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน”
จนตอนนี้ทำหลายกิจการแต่ล่ะกิจการก็ขยายใหญ่ขึ้นตามลำดับทรัพย์สินเงินทองเพิ่มพูนมากขึ้น
ทั้งๆที่ทุกอย่างเหมือนจะดูเข้าท่าเข้าที ... แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่ามีบางสิ่งกำลังไกลห่างออกไป
บางสิ่งที่ผมไขว่คว้าหามันมาตลอด สิ่งที่ไกลห่างออกไปนี้ มันเรียกว่า “อิสรภาพทางการเงิน”
ทำไมผมถึงกล่าวเช่นนั้น ?
ถ้าอิสรภาพทางการเงิน ทางการเงินมีหมายความว่า ... การมีเงินไหลเข้ามาต่อเนื่อง
โดยที่จำนวนนั้นมากเพียงพอต่อการดำรงชีวิตในแต่ละวันโดยที่ไม่ต้องทำงาน
แล้วผมล่ะ ?
ธุรกิจหลักผมมีพนักงานสิบกว่าคนเป็นกิจการเล็กๆ ที่ตอนนี้ขาใหญ่ในวงการกำลังไล่บี้ผม
หวังเหยียบผมให้บี้แบนตายคาสังเวียน ผมมีทางเลือกเดียว คือ ต้องสู้ไม่ถอย
ถ้าหยุดทำ ก็คือ ไม่ได้เงิน ... แถมถ้าผมหยุด ทุกอย่างมันก็จบ
ผมเปิดบริษัทอสังหาฯเล็กๆ เพื่อสร้างบ้านขาย ได้กำไรมาก็ทำต่อเนื่อง ขยายต่อไป
ทำไปก็ต้องมองหาที่ดินไว้ในอนาคต ต้องซื้อเตรียมไว้เพื่อสร้างต่อไป
ถ้าหยุดทำ ก็คือ ไม่ได้เงิน ... แถมถ้าหยุดโดยไม่วางแผนเงินจมลงไปกับที่อีก
วันดีคืนดีผมเห็นโอกาสในการลงทุน จึงเปิดร้านเครื่องเขียนเล็กๆร้านหนึ่ง
เปิดมาสามเดือนขาดทุนสะสมไปเก้าหมื่น ... คาดว่าขาดทุนอีกหลายเดือนกว่าจะกำไร
ถ้าหยุดทำ ก็คือ ไม่ได้เงิน ... แถมถ้าหยุดก็ขาดทุนสูญเงินลงทุนทั้งหมด
เปรียบประหนึ่งว่า ... พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อขึ้นขี่หลังเสือ ขึ้นมาเพื่อทำธุรกิจ
แต่เมื่อขึ้นขี่มันแล้วได้สำเร็จ มันก็วิ่งทะยานไป ไปข้างหน้าตามแรงขวับที่เราส่งไป
รู้สึกตัวอีกที ก็เหมือนว่าเราหยุดมันไม่ได้ กลับลงมาไม่ได้ ถอยไม่ได้เสียแล้ว ...
ผมสามารถสร้างรายได้และเพิ่มสินทรัพย์ต่อเดือนได้พอสมควรจากหลายธุรกิจที่มีอยู่
แต่ถ้า ... เมื่อใดผมหยุดทำงานหรือเป็นอะไรไป รายได้จากกิจการที่ทำมามันจะหายไปกับผม
เมื่อนั้น รายได้จากช่องทางอื่นที่เหลืออยู่ กลับไม่เพียงพอต่อการใช้ชีวิต(โดยไม่ทำงาน)
ณ ตอนนี้ มันช่างห่างไกลเหลือเกินกับคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน”
มันเกิดจากอะไรขึ้นทั้งๆที่สามารถทำรายได้ได้ดี ?
รายได้ของผมมากกว่า 80% มาจากการทำงาน ... ทำก็ได้เงิน ไม่ทำก็ไม่ได้เงิน
รายได้ของผมนั้นขึ้นอยู่กับการทำงานมากเกินไป ขึ้นอยู่กับรายได้จากการทำงานมากเกินไป (Active Income)
แต่คำว่า “อิสรภาพทางการเงิน” นั้นวัดจาก รายได้เชิงรับ (Passive Income)
รายได้เชิงรับ (Passive Income) คืออะไร
รายได้เชิงรับ (Passive Income) คือ รายได้ที่ไม่ได้มาจากการที่เราออกแรงทำงานโดยตรง
หรือแปลอีกทีคือ รายได้ที่เกิดเครื่องมือที่ทำงานทำเงินโดยทีคุณไม่ต้องออกแรงลงมือทำทุกวัน
เช่น รายได้จากทรัพย์สินต่างๆ ดอกเบี้ย เงินปันผล ค่าเช่าสินทรัพย์ต่างๆ บ้าน คอนโด โกดัง กะละมัง ลิขสิทธิ์ สิทธิบัตร ฯลฯ
ตลอดเวลาที่ผ่านมาผมมุ่งเน้นไปที่รายได้จาการทำงานมากถึงมากที่สุด
จนเกิดความไม่สมดุลกันระหว่าง Active Income และ Passive Income
มิหนำซ้ำหลายปีที่ผ่านมา ... ผมถอนเงินลงทุนออกจาก Passive Income ออกมาเยอะมาก
ถอนหมดทุกการลงทุน ถอนพันธบัตรรัฐบาลเมื่อครบงวดทั้งหมดแล้วไม่ซื้อต่อ หุ้นกู้ก็เช่นกัน
เงินลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หุ้นสามัญที่เคยอยู่ในพอร์ทก็ถูกลดจำนวนลงมาก
เพื่อนำเงินเหล่านี้มาลงทุนตั้งต้น มาเป็นรากฐานที่ใช้ในการทำธุรกิจ
สัดส่วนรายได้ของผมเอียงกะเท่เร่มากองอยู่ที่รายได้จากการทำงานจนหมด
หลายปีผ่านมา ... จนมาถึงวันนี้เหล่าเสือของผมพอวิ่งได้ คล่องแคล่ว และ กระฉับกระเฉงขึ้น
มันคงถึงเวลาที่ผมต้องหยุดเร่งความเร็วในการทำกิจการ ต้องหยุดอัดฉีดเงินใหม่ๆเข้าไป
รวมถึงระงับการลงทุนใหม่ๆ เพื่อมามุ่งเน้นที่รายได้เชิงรับ เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตให้มากขึ้น
เป็นเวลานานนับสิบปีตั้งแต่ที่ผมได้รู้จักคำว่า “อิสรภาพทางการเงิน”
แต่ตลอดระยะเวลาหลายปีผมเดินสวนทางกับเค้ามาโดยตลอด วันนี้ผมกลับมาตั้งหลักใหม่ ...
ปักธงใหม่ ... เพื่อเดินมุ่งหน้าไปตามเส้นทางนี้เพื่อพบเค้า ... คำที่ได้ยินมานาน
แต่ก็ไม่เคยได้พบเขาเลย ... แล้วพบกันครับ ... “อิสรภาพทางการเงิน”
หัวหอกในการเดินตามหาอิสรภาพทางการเงินของผมในครั้งนี้ทางเลือกแรกก็เห็นจะเป็นบ้านเช่าที่ผมคลุกคลีมานาน
คงต้องขยันดูบ้านมากขึ้น เผื่อว่าจะได้ของดีราคาสมเหตุผลในอนาคตอันใกล้
อีกทางเลือกก็คงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่คุ้นเคยกันมานานแต่พักหลังๆปันใจไปทางอื่น
กำลังตั้งท่าดูจังหวะเพื่อกลับไปสวมปีก “เม่า” แล้วกลับเข้าไปบินเข้ากองไฟที่โชติช่วงนี้อีกครั้ง
ขอให้บทความชิ้นนี้จงได้สร้างประโยชน์ให้แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขอให้ความร่ำรวยและความสุขสวัสดิ์จงมาสถิตแด่ท่าน
…[^_^]…