คำบอกเล่าของลูกศิษย์ แฉเส้นทางรัก อดีตพระมิตซูโอะ สุทธิรัตน์ อ้างรักษาเบาหวาน ส่งรถตู้ติดฟิล์มมารับประจำ
จากกรณีที่ อดีตพระมิตซูโอะ ลาสิขาและได้แต่งงานกับ นางสุทธิรัตน์ หรือ แอน นักธุรกิจสาวไฮโซคนดังของไทย พร้อมจดทะเบียนสมรส พร้อมเผยว่า บวชมา 38 พรรษา ไม่เคยคิดจะสึก ไม่เคยคิดจะแต่งงาน แต่สำหรับแอนน่าจะเป็นเนื้อคู่มาแต่ชาติก่อน เป็นคู่บารมีของอาจารย์
พร้อมทั้งมีการแชร์จดหมาย ระบุว่า ลาสิขาเป็นลายมือของเจ้าตัว ระบุว่าเขาและภรรยาได้ทำตามกฎเกณฑ์ ไม่ได้กระทำในสิ่งที่ขัดต่อพระธรรมวินัยในทางธรรม ซึ่งก่อให้เกิดกระแสฮือฮา และเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายคนรู้สึกเสียดายที่อดีตพระมิตซูโอะตัดสินใจสึกเพื่อไปแต่งงาน ในขณะที่บางคนก็มองฝ่ายหญิงในแง่ลบว่าเป็นสาเหตุให้พระสึก
ส่วนอีกกระแสก็มองว่า เป็นการตัดสินใจของอดีตพระดัง ซึ่งก็เหมาะสมแล้ว ไม่ได้มีอะไรเสียหาย บางส่วนรู้สึกข้องใจว่า อดีตพระอาจารย์ มิตซูโอะ และสุทธิรัตน์ ไปพบรักกันได้อย่างไร เป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายชายยังอยู่ในผ้าเหลืองหรือไม่
เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว มีเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า กุหลาบ ปากซัน ได้โพสต์อ้างถึงคำบอกเล่าจากลูกศิษย์คนสนิทของ อดีตพระมิตซูโอะ ระบุเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไว้ ดังนี้
มีโยมที่วัดบอกว่า ผู้หญิงคนนี้เอาแต่นั่งจ้องพระอาจารย์มิตซูโอะเป็นชั่วโมง ๆ ใครเข้าไปกราบท่าน หล่อนก็ไม่ถอยออกมา นั่งจ้องอยู่เช่นนั้น ต่อมาผู้หญิงก็เสนอให้การรักษาโรคเบาหวานด้วยการทำ chelation โดยต้องไปทำที่คลินิกทองหล่อ ซอย 4 อาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรก เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เดินทางไปด้วย แต่ตัวผู้หญิงไม่ได้ไป
และหลังจากนั้นก็เพิ่มเป็นทุก ๆ 2 วัน โดยไม่มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ติดตามไปด้วย และผู้หญิงเสนอว่า เนื่องจากต้องไปคลินิกบ่อยอยู่แล้ว จึงให้คนขับรถของหล่อนมารับไปกิจนิมนต์ด้วยเลยทุกวัน ซึ่งรถที่มารับเป็นรถตู้ สีขาว ติดฟิล์มดำสนิท มีกระจกกั้นระหว่างคนขับกับห้องโดยสาร ไม่สามารถมองเห็นและได้ยินอะไรจากห้องโดยสารได้
เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ แจ้งท่านว่า รถคันนี้ไม่เหมาะสม จึงให้ผู้ชายในวัดติดตามไปด้วย 1 คน แล้วมารู้ทีหลังว่า โดนผู้หญิงสั่งให้ไปนั่งกับคนขับรถ บางครั้งไปนั่งด้านหน้า 3 คน รวมคนขับเป็น 4 คน ตอนลงรถก็คิดว่ามากันหลายคน แต่มาทราบภายหลังว่าทุกคนโดนผู้หญิงสั่งให้ไปนั่งด้านหน้าทั้งหมด
เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามว่าทำไมต้องไปทุกวัน เธอก็ตอบว่ามีการทำ stem cell ร่วมด้วยจึงต้องไปทุกวัน ซึ่งโดยปกติพระอาจารย์ฯ จะต้องมีการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แต่ท่านปฏิเสธการตรวจสุขภาพทั้งหมด เจ้าหน้าที่มูลนิธิจึงเห็นสิ่งผิดปกติของเธอคนนี้ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างไร
พอมาคิดย้อนหลังจึงพบว่า พระอาจารย์ฯ ก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นั่งเหม่อ เก็บตัว มีอาการโมโห โกรธ ในบางครั้ง ซึ่งท่านไม่เคยเป็นแบบนี้เลย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นรวดเร็วมาก โดยไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะสึกพระ
จนกระทั่งเย็นวันที่ 8 พระที่วัดได้โทรคุยกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ว่า มีคนในครอบครัวของผู้หญิงแจ้งไปที่วัดว่า เธอคนนี้จะสึกพระในเช้าวันอาทิตย์ที่ 9 และครอบครัวได้ห้ามแล้ว แต่ด้วยนิสัยของผู้หญิงที่จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เกิดความสงสัยว่า ครอบครัวผู้หญิงรู้ได้อย่างไร จึงได้สอบถามไปที่ครอบครัวของหล่อน และได้คำตอบว่า พวกเขากลุ้มใจกันมาก แต่ไม่กล้าแจ้งทางมูลนิธิฯ ว่าหล่อนมาขอร้องให้ช่วยดำเนินการเรื่องวีซ่าไปประเทศญี่ปุ่น จึงได้รู้ความจริง จากนั้นการติดตามของลูกศิษย์ที่จะให้ได้พบตัวท่าน เพียงเพื่อจะได้เห็นกับตาว่าท่านสึกแล้วจริงหรือไม่
และจากกล้อง CCTV เราจึงบอกกับทางมูลนิธิฯ ว่า สึกจริงแล้ว สามารถยืนยันได้ และก็ปรึกษากันว่าจะตัดสินใจไปดักรอพบท่านที่สุวรรณภูมิ เพราะได้รับแจ้งจากวัดป่านานาชาติจากแหล่งข้อมูลเดิมว่า ทั้งคู่จะเดินทางออกนอกประเทศไปฮ่องกง ในช่วงเช้ามืดของวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เช้าที่สุดคือเวลา 02.15 น. จึงได้ไปถึงสนามบินในเวลาเที่ยงคืน และได้พบกับท่าน
ก็ได้เข้าไปคุยกับท่าน ถามถึงเหตุผลที่สึก ท่านตอบว่า เป็นพระสอนได้แค่คนที่เคารพผ้าเหลือง ถ้าเป็นคนธรรมดาจะสอนคนได้ทุกชาติ ศาสนา และจากนั้นก็ขอให้ท่านอยู่ที่มูลนิธิฯ ต่อสัก 2-3 วันแล้วค่อยตัดสินใจใหม่แต่ท่านปฏิเสธ จึงได้ถามอีกว่า ท่านสึกแล้วทำไมถึงมากับผู้หญิง ท่านตอบว่า ด้วยเหตุและปัจจัย
สิ่งผิดปกติที่สังเกตเห็นคือ มือของท่านทั้งสองข้างคล้ำแบบดำเขียว เหมือนกับช้ำมาก เป็นเฉพาะที่มือ ทั้งหน้ามือและหลังมือ จึงถามท่านว่า ทำไมมือของท่านดำมาก ท่านไม่สบายหรือเปล่า ท่านเก็บมือใส่กระเป๋าเสื้อแล้วบอกว่าสบายดี ไม่เป็นอะไร แต่พวกเขาไม่ยอม จึงขอให้ท่านเอามือออกมาเทียบกับมือของตน ก็พบว่ามือของท่านผิดปกติ
แต่ท่านก็ยังยืนยันว่าสบายดี โดยในระหว่างที่ถาม ท่านแสดงอาการไม่พอใจที่มาพบท่าน และพูดไล่พวกเขากลับไป ซึ่งอาการเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ท่านไม่เคยปฏิเสธใคร ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
วันนั้น พวกเขายืนมองท่านเดินจากไป เห็นท่าเดินที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นท่าเดินลากเท้าเหมือนคนอ่อนแรง โดยปกติท่านจะเป็นคนที่เดินแบบยกเท้าพ้นพื้น แล้วจรดเท้าลงแบบเดินจงกรม เห็นท่านยืนรอผู้หญิงแลกเงินอย่างเหม่อลอย เป็นภาพที่เรารู้สึกว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะช่วยท่าน แต่จะด้วยอะไรก็ตาม วันนั้นพวกเขาทำเพียงยืนดูท่านจากไป
และในคืนนั้นเอง พวกเขาได้กลับมาหาข้อมูลของผู้หญิงคนนี้ต่อ พบว่า ในเว็บไซต์เขียนถึงหล่อนว่า แต่งงานมาแล้ว และหย่ามาแล้วหลายครั้ง มีหนี้สินมากกว่าพันห้าร้อยล้าน มีคดีที่ต้องขึ้นศาลตลอดเวลา และต่อมา ก็ได้คุยกับผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับยาว่า คนที่มีอาการแบบนี้ เป็นไปได้ที่จะโดนยากล่อมประสาท
แต่เนื่องจากต้องเดินทางไกล จึงต้องสเน็ปยาเข้าไปที่ข้อมือมากกว่าปกติ มือจึงดำ ประกอบกับอาการเหม่อลอยและเดินลากขา เป็นเพราะยากล่อมประสาท เช่น dormicum และจากการปล่อยข่าวของผู้หญิง ทั้งรูปและวิดีโอ สร้างภาพให้เป็นการสึกด้วยความรักหล่อน ทำให้สงสัยว่า ด้วยเวลาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน ถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2556 จะสามารถสึกพระ 38 พรรษาได้จริงหรือ ถ้าไม่มีตัวช่วย
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า เรื่องราวจากเฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งแฉเกี่ยวกับเส้นทางรักของ อดีตพระมิตซูโอะ – สุทธิรัตน์ มุตตามระ นั้นเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งหากใครต้องการอ่านข้อมูลดังกล่าวแบบเต็ม ๆ สามารถติดตามได้ที่ เฟซบุ๊ก กุหลาบ ปากซัน
ที่มา:
http://www.talkystory.com/?p=59277
แฉ! เส้นทางรัก อดีตพระมิตซูโอะ เหมือนโดนมอมยา
จากกรณีที่ อดีตพระมิตซูโอะ ลาสิขาและได้แต่งงานกับ นางสุทธิรัตน์ หรือ แอน นักธุรกิจสาวไฮโซคนดังของไทย พร้อมจดทะเบียนสมรส พร้อมเผยว่า บวชมา 38 พรรษา ไม่เคยคิดจะสึก ไม่เคยคิดจะแต่งงาน แต่สำหรับแอนน่าจะเป็นเนื้อคู่มาแต่ชาติก่อน เป็นคู่บารมีของอาจารย์
พร้อมทั้งมีการแชร์จดหมาย ระบุว่า ลาสิขาเป็นลายมือของเจ้าตัว ระบุว่าเขาและภรรยาได้ทำตามกฎเกณฑ์ ไม่ได้กระทำในสิ่งที่ขัดต่อพระธรรมวินัยในทางธรรม ซึ่งก่อให้เกิดกระแสฮือฮา และเสียงวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ หลายคนรู้สึกเสียดายที่อดีตพระมิตซูโอะตัดสินใจสึกเพื่อไปแต่งงาน ในขณะที่บางคนก็มองฝ่ายหญิงในแง่ลบว่าเป็นสาเหตุให้พระสึก
ส่วนอีกกระแสก็มองว่า เป็นการตัดสินใจของอดีตพระดัง ซึ่งก็เหมาะสมแล้ว ไม่ได้มีอะไรเสียหาย บางส่วนรู้สึกข้องใจว่า อดีตพระอาจารย์ มิตซูโอะ และสุทธิรัตน์ ไปพบรักกันได้อย่างไร เป็นช่วงเวลาที่ฝ่ายชายยังอยู่ในผ้าเหลืองหรือไม่
เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว มีเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อว่า กุหลาบ ปากซัน ได้โพสต์อ้างถึงคำบอกเล่าจากลูกศิษย์คนสนิทของ อดีตพระมิตซูโอะ ระบุเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของทั้งคู่ไว้ ดังนี้
มีโยมที่วัดบอกว่า ผู้หญิงคนนี้เอาแต่นั่งจ้องพระอาจารย์มิตซูโอะเป็นชั่วโมง ๆ ใครเข้าไปกราบท่าน หล่อนก็ไม่ถอยออกมา นั่งจ้องอยู่เช่นนั้น ต่อมาผู้หญิงก็เสนอให้การรักษาโรคเบาหวานด้วยการทำ chelation โดยต้องไปทำที่คลินิกทองหล่อ ซอย 4 อาทิตย์ละ 1 ครั้ง โดย 2 ครั้งแรก เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ เดินทางไปด้วย แต่ตัวผู้หญิงไม่ได้ไป
และหลังจากนั้นก็เพิ่มเป็นทุก ๆ 2 วัน โดยไม่มีเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ติดตามไปด้วย และผู้หญิงเสนอว่า เนื่องจากต้องไปคลินิกบ่อยอยู่แล้ว จึงให้คนขับรถของหล่อนมารับไปกิจนิมนต์ด้วยเลยทุกวัน ซึ่งรถที่มารับเป็นรถตู้ สีขาว ติดฟิล์มดำสนิท มีกระจกกั้นระหว่างคนขับกับห้องโดยสาร ไม่สามารถมองเห็นและได้ยินอะไรจากห้องโดยสารได้
เจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ แจ้งท่านว่า รถคันนี้ไม่เหมาะสม จึงให้ผู้ชายในวัดติดตามไปด้วย 1 คน แล้วมารู้ทีหลังว่า โดนผู้หญิงสั่งให้ไปนั่งกับคนขับรถ บางครั้งไปนั่งด้านหน้า 3 คน รวมคนขับเป็น 4 คน ตอนลงรถก็คิดว่ามากันหลายคน แต่มาทราบภายหลังว่าทุกคนโดนผู้หญิงสั่งให้ไปนั่งด้านหน้าทั้งหมด
เมื่อเจ้าหน้าที่สอบถามว่าทำไมต้องไปทุกวัน เธอก็ตอบว่ามีการทำ stem cell ร่วมด้วยจึงต้องไปทุกวัน ซึ่งโดยปกติพระอาจารย์ฯ จะต้องมีการตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลวิชัยยุทธ แต่ท่านปฏิเสธการตรวจสุขภาพทั้งหมด เจ้าหน้าที่มูลนิธิจึงเห็นสิ่งผิดปกติของเธอคนนี้ แต่ยังไม่ได้ดำเนินการอย่างไร
พอมาคิดย้อนหลังจึงพบว่า พระอาจารย์ฯ ก็เริ่มมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป นั่งเหม่อ เก็บตัว มีอาการโมโห โกรธ ในบางครั้ง ซึ่งท่านไม่เคยเป็นแบบนี้เลย เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นรวดเร็วมาก โดยไม่มีใครคาดคิดว่าผู้หญิงคนนี้จะสึกพระ
จนกระทั่งเย็นวันที่ 8 พระที่วัดได้โทรคุยกับเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ ว่า มีคนในครอบครัวของผู้หญิงแจ้งไปที่วัดว่า เธอคนนี้จะสึกพระในเช้าวันอาทิตย์ที่ 9 และครอบครัวได้ห้ามแล้ว แต่ด้วยนิสัยของผู้หญิงที่จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
เกิดความสงสัยว่า ครอบครัวผู้หญิงรู้ได้อย่างไร จึงได้สอบถามไปที่ครอบครัวของหล่อน และได้คำตอบว่า พวกเขากลุ้มใจกันมาก แต่ไม่กล้าแจ้งทางมูลนิธิฯ ว่าหล่อนมาขอร้องให้ช่วยดำเนินการเรื่องวีซ่าไปประเทศญี่ปุ่น จึงได้รู้ความจริง จากนั้นการติดตามของลูกศิษย์ที่จะให้ได้พบตัวท่าน เพียงเพื่อจะได้เห็นกับตาว่าท่านสึกแล้วจริงหรือไม่
และจากกล้อง CCTV เราจึงบอกกับทางมูลนิธิฯ ว่า สึกจริงแล้ว สามารถยืนยันได้ และก็ปรึกษากันว่าจะตัดสินใจไปดักรอพบท่านที่สุวรรณภูมิ เพราะได้รับแจ้งจากวัดป่านานาชาติจากแหล่งข้อมูลเดิมว่า ทั้งคู่จะเดินทางออกนอกประเทศไปฮ่องกง ในช่วงเช้ามืดของวันจันทร์ที่ 10 มิถุนายน ซึ่งเมื่อตรวจสอบแล้วพบว่ามีสายการบินฮ่องกงแอร์ไลน์ เช้าที่สุดคือเวลา 02.15 น. จึงได้ไปถึงสนามบินในเวลาเที่ยงคืน และได้พบกับท่าน
ก็ได้เข้าไปคุยกับท่าน ถามถึงเหตุผลที่สึก ท่านตอบว่า เป็นพระสอนได้แค่คนที่เคารพผ้าเหลือง ถ้าเป็นคนธรรมดาจะสอนคนได้ทุกชาติ ศาสนา และจากนั้นก็ขอให้ท่านอยู่ที่มูลนิธิฯ ต่อสัก 2-3 วันแล้วค่อยตัดสินใจใหม่แต่ท่านปฏิเสธ จึงได้ถามอีกว่า ท่านสึกแล้วทำไมถึงมากับผู้หญิง ท่านตอบว่า ด้วยเหตุและปัจจัย
สิ่งผิดปกติที่สังเกตเห็นคือ มือของท่านทั้งสองข้างคล้ำแบบดำเขียว เหมือนกับช้ำมาก เป็นเฉพาะที่มือ ทั้งหน้ามือและหลังมือ จึงถามท่านว่า ทำไมมือของท่านดำมาก ท่านไม่สบายหรือเปล่า ท่านเก็บมือใส่กระเป๋าเสื้อแล้วบอกว่าสบายดี ไม่เป็นอะไร แต่พวกเขาไม่ยอม จึงขอให้ท่านเอามือออกมาเทียบกับมือของตน ก็พบว่ามือของท่านผิดปกติ
แต่ท่านก็ยังยืนยันว่าสบายดี โดยในระหว่างที่ถาม ท่านแสดงอาการไม่พอใจที่มาพบท่าน และพูดไล่พวกเขากลับไป ซึ่งอาการเช่นนี้ไม่เคยมีมาก่อน ท่านไม่เคยปฏิเสธใคร ดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
วันนั้น พวกเขายืนมองท่านเดินจากไป เห็นท่าเดินที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เป็นท่าเดินลากเท้าเหมือนคนอ่อนแรง โดยปกติท่านจะเป็นคนที่เดินแบบยกเท้าพ้นพื้น แล้วจรดเท้าลงแบบเดินจงกรม เห็นท่านยืนรอผู้หญิงแลกเงินอย่างเหม่อลอย เป็นภาพที่เรารู้สึกว่า นี่เป็นโอกาสสุดท้ายที่เราจะช่วยท่าน แต่จะด้วยอะไรก็ตาม วันนั้นพวกเขาทำเพียงยืนดูท่านจากไป
และในคืนนั้นเอง พวกเขาได้กลับมาหาข้อมูลของผู้หญิงคนนี้ต่อ พบว่า ในเว็บไซต์เขียนถึงหล่อนว่า แต่งงานมาแล้ว และหย่ามาแล้วหลายครั้ง มีหนี้สินมากกว่าพันห้าร้อยล้าน มีคดีที่ต้องขึ้นศาลตลอดเวลา และต่อมา ก็ได้คุยกับผู้ที่รู้เรื่องเกี่ยวกับยาว่า คนที่มีอาการแบบนี้ เป็นไปได้ที่จะโดนยากล่อมประสาท
แต่เนื่องจากต้องเดินทางไกล จึงต้องสเน็ปยาเข้าไปที่ข้อมือมากกว่าปกติ มือจึงดำ ประกอบกับอาการเหม่อลอยและเดินลากขา เป็นเพราะยากล่อมประสาท เช่น dormicum และจากการปล่อยข่าวของผู้หญิง ทั้งรูปและวิดีโอ สร้างภาพให้เป็นการสึกด้วยความรักหล่อน ทำให้สงสัยว่า ด้วยเวลาตั้งแต่ปลายเดือนเมษายน ถึงวันที่ 8 มิถุนายน 2556 จะสามารถสึกพระ 38 พรรษาได้จริงหรือ ถ้าไม่มีตัวช่วย
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันว่า เรื่องราวจากเฟซบุ๊กดังกล่าว ซึ่งแฉเกี่ยวกับเส้นทางรักของ อดีตพระมิตซูโอะ – สุทธิรัตน์ มุตตามระ นั้นเป็นความจริงหรือไม่ ซึ่งหากใครต้องการอ่านข้อมูลดังกล่าวแบบเต็ม ๆ สามารถติดตามได้ที่ เฟซบุ๊ก กุหลาบ ปากซัน
ที่มา: http://www.talkystory.com/?p=59277