สวัสดีค่ะสาวๆ ชาวห้องแป้งทุกคน ^ ^ แอบอยู่ในห้องแป้งมานานแล้วค่ะ เพิ่งจะได้ฤกษ์งามยามดี โพสต์อะไรเป็นเรื่องเป็นราวกับเขาบ้าง เข้ามาห้องแป้งแทบจะทุกวัน ส่วนใหญ่จะอ่านกระทู้ หรือไม่ก็คอมเม้นต์บ้างเล็กๆ น้อยๆ
เกือบลืมแนะนำตัวแน่ะ ชื่อ โม ค่ะ อายุ 34 ปี มาอยู่อิตาลีได้ 3 ปีแล้ว เพิ่งเรียนจบคอร์สแต่งหน้าเมื่อเดือนที่แล้วค่ะ ตอนเรียนก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองไทยก็ทำงานออฟฟิศมาตลอด รู้สึกว่าตัวเองอิ่มตัวกับงานออฟฟิศแล้ว อยากทำงานอิสระ อยากบริหารเวลาได้เอง เลยนั่งคุยกันกับสามี เขาถามเราว่าอยากทำอะไร (ต้องบอกก่อนว่าตัวเองเป็นคนชอบทำหลายสิ่งมาก ชอบทำอาหาร เย็บปักถักร้อย ความสวยความงาม ถ่ายรูป เป็นต้น) ตอนแรกอยากเรียนทำอาหารแต่สามีไม่เห็นด้วย เพราะเขาเคยทำงานในร้านอาหารมาก่อนและรู้ว่ามันเหนื่อยมาก เวลาพักผ่อนพักร้อนของคนอื่นเราต้องทำงาน มีร้านก็จะทิ้งร้านตัวเองไม่ได้ ต้องดูแลใกล้ชิดตลอด .. อะไรที่ชอบอีกล่ะ เย็บปักถักร้อยเหรอ ชอบนะแต่ชอบทำเป็นงานอดิเรกมากกว่า .. สุดท้าย ความสวยความงาม เป๊ะ! ใช่เลย สามีบอก เธอเหมาะมาก ว่างั้น เพราะตอนอยู่เมืองไทยคนในครอบครัว และเพื่อนๆ ให้เราแต่งหน้าให้บ่อยๆ ชอบแต่งหน้าเองด้วย แต่จริงๆ ชอบแต่งให้คนอื่นมากกว่า เห็นคนอื่นสวยแล้วมีความสุข ว่าไปนั่น ^ ^เลยตัดสินใจลงเรียนคอร์สแต่งหน้าเต็มหลักสูตร 6 เดือน ตอนเรียนทางโรงเรียนก็จะหางานมาให้ตลอด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงาน “การกุศล” ซะมากกว่า เป็นการฝึกงานอะไรแบบนั้น
เกริ่นมาซะยาวเลย เอาเป็นว่าเริ่มเลยละกันเน้าะ
เรื่องของเรื่องคือ สองสามวันมานี้เห็นกระทู้ถามเกี่ยวกับ Corrector กัน ด้วยความที่โมก็พอมีความรู้อยู่บ้างเพราะเป็นเนื้อหาเรื่องแรกเลยที่เรียน เลยอยากจะแบ่งปันความรู้อันน้อยนิดที่มีและได้ทบทวนความรู้ตัวเองไปในตัว ขออธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ละกันเน้อะ (บางทีอาจจะมีการใช้ภาษาอังกฤษบ้างนะคะ เพราะที่เรียนโมเรียนเป็นภาษาอิตาเลียนทั้งหมด ถ้าแปลเป็นอังกฤษแล้วจะง่ายกว่าแปลเป็นไทยค่ะ)
ถามว่า Concealer กับ Corrector ต่างกันยังไง Conceal คือการปกปิด Correct คือ การทำให้ถูกต้อง แต่การใช้งานจริงๆ ก็คล้ายกันมากค่ะ Corrector ช่างแต่งหน้าที่ต้องแต่งหน้าสำหรับถ่ายรูป รายการโทรทัศน์ ละคร หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์ จะใช้สำหรับเทคนิคที่เรียกกันว่า Camouflage (คาโมฟลาช เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า การอำพราง) เช่น การพรางรอยแผลเป็น รอยไหม้ของผิวหนัง หรือเม็ดสีผิวที่ไม่เท่ากัน(ผิวด่าง) ฝ้า กระ จุดด่างดำใหญ่ๆ หรือแม้กระทั่งรอยสัก เป็นต้น ตัวอย่างเช่น อย่างที่รู้ว่าคนยุโรปอันเดอร์โทนผิวแดงหรือชมพู ผิวจะแดงง่ายโดยเฉพาะในหน้าหนาว ซึ่งหากต้องแต่งหน้าถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ จะต้องพรางให้มิด ไม่ให้เห็นรอยแดง หรือแม้กระทั่งรอยแดงจากการแพ้ การเป็นสิว ก็ตาม
Corrector จะใช้ความรู้ในเรื่องของสีมาใช้เยอะมาก โดยเฉพาะ Primary color และ Secondary color คงเคยได้เรียนกันมาบ้างแล้วในวิชาศิลปะอะเน้อะ แต่ลองมาทบทวนกันนิดนึง
Primary color ประกอบไปด้วย สีน้ำเงิน เหลือง แดง (รวมทั้ง ขาว และ ดำ)
Secondary color คือ สีที่ได้จากการผสมของ Primary color ได้แก่ เขียว (น้ำเงิน+เหลือง) ส้ม (แดง+เหลือง) ม่วง (น้ำเงิน+แดง)
สีที่ตรงกันข้ามกัน (ดูจากวงล้อสี) เวลานำมาผสมกันจะทำให้เกิดสีเทาซึ่งใกล้เคียงกับสีขาว ดังนั้นหลักในการใช้ Corrector ในการแต่งหน้าก็เหมือนกัน คือ จะใช้สีตรงกันข้ามเพื่อปรับสีผิวให้ใกล้เคียงกับสีขาวมากที่สุด เพื่อจะสามารถลงสีอื่นปิดทับได้สมบูรณ์ (คือ ทำเหมือนกระดาษหรือผ้าขาว เพื่อลงสีอะไรทับก็จะได้เป็นสีนั้นนั่นเอง)
การใช้ Corrector นั้น บางครั้งต้องลงหลายสีผสมกันเพื่อปรับให้สีใกล้เคียงกับสีผิวมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น
- รอยคล้ำใต้ตา จะเป็นรอยคล้ำที่สีจะช้ำๆ เขียวๆ ฟ้าๆ ม่วงๆ Corrector ที่ใช้จะเป็นสีส้ม (ดูจากสีตรงกันข้ามกันในวงล้อสี) อาจจะต้องผสมสีส้มกับสีอื่นที่เข้มหรืออ่อนกว่า เพื่อนให้ตรงกับสีผิวมากที่สุด เป็นต้น
- รอยแดงจากสิว ก็จะใช้ Corrector สีเขียว ในการอำพรางหรือลดรอยแดงนั้น
**จะสังเกตุว่า Base หรือ CC cream จะมีสีเขียว ชมพู ม่วง ส้ม ก็ใช้หลักการเดียวกันกับ Corrector นี่ล่ะค่ะ
หัวใจของการใช้ Corrector คือ เราต้องดูให้ออกว่า สีของรอยที่เราจะทำการปรับหรือพรางนั้น คือ สีอะไร นั่นเองค่ะ
ตัวอย่างการใช้ Corrector หรือเทคนิค Camouflage ค่ะ
จากความรู้เรื่องสีข้างต้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการแต่งหน้าได้หลายอย่างมากค่ะ เช่น
- ตาสีอะไรควรแต่งตาสีอะไรถึงจะทำให้ดูหน้ากระจ่างใส ก็ใช้เทคนิคสีตรงข้ามนั่นเอง เช่น ตาสีฟ้าแต่งโทนสีส้ม ตาสีเขียวแต่งโทนสีแดง ตาสีเหลืองอมเขียวแต่งสีม่วง เป็นต้น
- ไฮไลต์สีอมชมพูสำหรับคนเอเชียอันเดอร์โทนเหลือง ไฮไลต์สีอมเหลืองสำหรับคนยุโรปอันเดอร์โทนแดงหรือชมพู เป็นต้น (สีขาวจะใช้ได้ทั้งหมด)
- ฟันเหลือง ทาลิปสติกสีอะไรดี สีชมพูโทนเย็นค่ะ ทำให้ฟันดูขาวขึ้น เป็นต้น (อันนี้ถูกคณะกรรมการ สอบตอนสอบจบที่โรงเรยนค่ะ T_T เกือบไม่รอด)
เจ้าตัว Corrector นี้ มีหลายแบบค่ะ แต่ที่ใช้สำหรับเทคนิค Camouflage นั้น จะเป็นเนื้อครีม เนื้อและเม็ดสีจะแน่นมาก มีความเหนียวหนืดพอสมควร บางครั้งต้องผสมกับเมคอัพเบสเพื่อลดความหนืดลง มีหลายยี่ห้อให้เลือกค่ะ ที่ฮิตๆ กันก็จะมี Kryolan, Make Up Forever, MUD (Make Up Designory) เป็นต้น
สุดท้ายนี้หวังว่าอย่างน้อยความรู้เล็กๆ น้อยๆ ของโมจะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจเจ้าตัว Corrector ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ และหากมีข้อผิดพลาดประการใด หรือมีข้อแนะนำสงสัย ติชม ก็จะเป็นพระคุณอย่างมากค่ะ
Credit ภาพ จาก Google ค่ะ
Corrector คืออะไร ใช้ยังไง มาดูกันค่ะ
เกือบลืมแนะนำตัวแน่ะ ชื่อ โม ค่ะ อายุ 34 ปี มาอยู่อิตาลีได้ 3 ปีแล้ว เพิ่งเรียนจบคอร์สแต่งหน้าเมื่อเดือนที่แล้วค่ะ ตอนเรียนก็เรียนไปด้วยทำงานไปด้วย เมื่อก่อนตอนอยู่เมืองไทยก็ทำงานออฟฟิศมาตลอด รู้สึกว่าตัวเองอิ่มตัวกับงานออฟฟิศแล้ว อยากทำงานอิสระ อยากบริหารเวลาได้เอง เลยนั่งคุยกันกับสามี เขาถามเราว่าอยากทำอะไร (ต้องบอกก่อนว่าตัวเองเป็นคนชอบทำหลายสิ่งมาก ชอบทำอาหาร เย็บปักถักร้อย ความสวยความงาม ถ่ายรูป เป็นต้น) ตอนแรกอยากเรียนทำอาหารแต่สามีไม่เห็นด้วย เพราะเขาเคยทำงานในร้านอาหารมาก่อนและรู้ว่ามันเหนื่อยมาก เวลาพักผ่อนพักร้อนของคนอื่นเราต้องทำงาน มีร้านก็จะทิ้งร้านตัวเองไม่ได้ ต้องดูแลใกล้ชิดตลอด .. อะไรที่ชอบอีกล่ะ เย็บปักถักร้อยเหรอ ชอบนะแต่ชอบทำเป็นงานอดิเรกมากกว่า .. สุดท้าย ความสวยความงาม เป๊ะ! ใช่เลย สามีบอก เธอเหมาะมาก ว่างั้น เพราะตอนอยู่เมืองไทยคนในครอบครัว และเพื่อนๆ ให้เราแต่งหน้าให้บ่อยๆ ชอบแต่งหน้าเองด้วย แต่จริงๆ ชอบแต่งให้คนอื่นมากกว่า เห็นคนอื่นสวยแล้วมีความสุข ว่าไปนั่น ^ ^เลยตัดสินใจลงเรียนคอร์สแต่งหน้าเต็มหลักสูตร 6 เดือน ตอนเรียนทางโรงเรียนก็จะหางานมาให้ตลอด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นงาน “การกุศล” ซะมากกว่า เป็นการฝึกงานอะไรแบบนั้น
เกริ่นมาซะยาวเลย เอาเป็นว่าเริ่มเลยละกันเน้าะ
เรื่องของเรื่องคือ สองสามวันมานี้เห็นกระทู้ถามเกี่ยวกับ Corrector กัน ด้วยความที่โมก็พอมีความรู้อยู่บ้างเพราะเป็นเนื้อหาเรื่องแรกเลยที่เรียน เลยอยากจะแบ่งปันความรู้อันน้อยนิดที่มีและได้ทบทวนความรู้ตัวเองไปในตัว ขออธิบายแบบเข้าใจง่ายๆ ละกันเน้อะ (บางทีอาจจะมีการใช้ภาษาอังกฤษบ้างนะคะ เพราะที่เรียนโมเรียนเป็นภาษาอิตาเลียนทั้งหมด ถ้าแปลเป็นอังกฤษแล้วจะง่ายกว่าแปลเป็นไทยค่ะ)
ถามว่า Concealer กับ Corrector ต่างกันยังไง Conceal คือการปกปิด Correct คือ การทำให้ถูกต้อง แต่การใช้งานจริงๆ ก็คล้ายกันมากค่ะ Corrector ช่างแต่งหน้าที่ต้องแต่งหน้าสำหรับถ่ายรูป รายการโทรทัศน์ ละคร หรือแม้กระทั่งภาพยนตร์ จะใช้สำหรับเทคนิคที่เรียกกันว่า Camouflage (คาโมฟลาช เป็นภาษาฝรั่งเศส แปลว่า การอำพราง) เช่น การพรางรอยแผลเป็น รอยไหม้ของผิวหนัง หรือเม็ดสีผิวที่ไม่เท่ากัน(ผิวด่าง) ฝ้า กระ จุดด่างดำใหญ่ๆ หรือแม้กระทั่งรอยสัก เป็นต้น ตัวอย่างเช่น อย่างที่รู้ว่าคนยุโรปอันเดอร์โทนผิวแดงหรือชมพู ผิวจะแดงง่ายโดยเฉพาะในหน้าหนาว ซึ่งหากต้องแต่งหน้าถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ จะต้องพรางให้มิด ไม่ให้เห็นรอยแดง หรือแม้กระทั่งรอยแดงจากการแพ้ การเป็นสิว ก็ตาม
Corrector จะใช้ความรู้ในเรื่องของสีมาใช้เยอะมาก โดยเฉพาะ Primary color และ Secondary color คงเคยได้เรียนกันมาบ้างแล้วในวิชาศิลปะอะเน้อะ แต่ลองมาทบทวนกันนิดนึง
Primary color ประกอบไปด้วย สีน้ำเงิน เหลือง แดง (รวมทั้ง ขาว และ ดำ)
Secondary color คือ สีที่ได้จากการผสมของ Primary color ได้แก่ เขียว (น้ำเงิน+เหลือง) ส้ม (แดง+เหลือง) ม่วง (น้ำเงิน+แดง)
สีที่ตรงกันข้ามกัน (ดูจากวงล้อสี) เวลานำมาผสมกันจะทำให้เกิดสีเทาซึ่งใกล้เคียงกับสีขาว ดังนั้นหลักในการใช้ Corrector ในการแต่งหน้าก็เหมือนกัน คือ จะใช้สีตรงกันข้ามเพื่อปรับสีผิวให้ใกล้เคียงกับสีขาวมากที่สุด เพื่อจะสามารถลงสีอื่นปิดทับได้สมบูรณ์ (คือ ทำเหมือนกระดาษหรือผ้าขาว เพื่อลงสีอะไรทับก็จะได้เป็นสีนั้นนั่นเอง)
การใช้ Corrector นั้น บางครั้งต้องลงหลายสีผสมกันเพื่อปรับให้สีใกล้เคียงกับสีผิวมากที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น
- รอยคล้ำใต้ตา จะเป็นรอยคล้ำที่สีจะช้ำๆ เขียวๆ ฟ้าๆ ม่วงๆ Corrector ที่ใช้จะเป็นสีส้ม (ดูจากสีตรงกันข้ามกันในวงล้อสี) อาจจะต้องผสมสีส้มกับสีอื่นที่เข้มหรืออ่อนกว่า เพื่อนให้ตรงกับสีผิวมากที่สุด เป็นต้น
- รอยแดงจากสิว ก็จะใช้ Corrector สีเขียว ในการอำพรางหรือลดรอยแดงนั้น
**จะสังเกตุว่า Base หรือ CC cream จะมีสีเขียว ชมพู ม่วง ส้ม ก็ใช้หลักการเดียวกันกับ Corrector นี่ล่ะค่ะ
หัวใจของการใช้ Corrector คือ เราต้องดูให้ออกว่า สีของรอยที่เราจะทำการปรับหรือพรางนั้น คือ สีอะไร นั่นเองค่ะ
ตัวอย่างการใช้ Corrector หรือเทคนิค Camouflage ค่ะ
จากความรู้เรื่องสีข้างต้น สามารถนำไปประยุกต์ใช้กับการแต่งหน้าได้หลายอย่างมากค่ะ เช่น
- ตาสีอะไรควรแต่งตาสีอะไรถึงจะทำให้ดูหน้ากระจ่างใส ก็ใช้เทคนิคสีตรงข้ามนั่นเอง เช่น ตาสีฟ้าแต่งโทนสีส้ม ตาสีเขียวแต่งโทนสีแดง ตาสีเหลืองอมเขียวแต่งสีม่วง เป็นต้น
- ไฮไลต์สีอมชมพูสำหรับคนเอเชียอันเดอร์โทนเหลือง ไฮไลต์สีอมเหลืองสำหรับคนยุโรปอันเดอร์โทนแดงหรือชมพู เป็นต้น (สีขาวจะใช้ได้ทั้งหมด)
- ฟันเหลือง ทาลิปสติกสีอะไรดี สีชมพูโทนเย็นค่ะ ทำให้ฟันดูขาวขึ้น เป็นต้น (อันนี้ถูกคณะกรรมการ สอบตอนสอบจบที่โรงเรยนค่ะ T_T เกือบไม่รอด)
เจ้าตัว Corrector นี้ มีหลายแบบค่ะ แต่ที่ใช้สำหรับเทคนิค Camouflage นั้น จะเป็นเนื้อครีม เนื้อและเม็ดสีจะแน่นมาก มีความเหนียวหนืดพอสมควร บางครั้งต้องผสมกับเมคอัพเบสเพื่อลดความหนืดลง มีหลายยี่ห้อให้เลือกค่ะ ที่ฮิตๆ กันก็จะมี Kryolan, Make Up Forever, MUD (Make Up Designory) เป็นต้น
สุดท้ายนี้หวังว่าอย่างน้อยความรู้เล็กๆ น้อยๆ ของโมจะช่วยให้เพื่อนๆ เข้าใจเจ้าตัว Corrector ได้ไม่มากก็น้อยนะคะ และหากมีข้อผิดพลาดประการใด หรือมีข้อแนะนำสงสัย ติชม ก็จะเป็นพระคุณอย่างมากค่ะ
Credit ภาพ จาก Google ค่ะ