ผมได้รับมรดกเป็นที่ดินจำนวนหนึ่ง ซึ่งที่ดินแปลงนี้ผมตั้งใจแล้วว่าจะไม่ขายที่แปลงนี้ออกไป
ล่าสุดมีคนมาเสนอซื้อบ้านและที่ดินแปลงนี้อีกครั้ง 18 ไร่ให้ราคา 15 ล้าน
และ แน่นอนว่า ผมไม่ขาย ... ผมได้เล่าถึงเรื่องนี้ในบทที่ชื่อว่า ...
มีคนมาเสนอซื้อบ้านและที่ดินของผมในราคา 15 ล้าน และ ผมไม่ขาย http://goo.gl/BlBLK
ที่ดินเนื่องที่ 18 ไร่ เป็นส่วนตัวบ้านประมาณ 2 ไร่ บ่อน้ำ 2 ไร่
ที่เหลืออีก 14 ไร่ เป็นพื้นที่ทำสวน เดิมทีคุณยายปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์ไว้
แต่เนื่องจากขาดการบำรุงรักษาเป็นเวลาหลายปีจึงทำให้ผลผลิตไม่ดีนัก
แต่ตอนนี้ก็ยังออกผลผลิตและสามารถทำเงินได้อยู่บ้าง …
จากความเจริญที่ย่างกลายเข้ามาทุกขณะ ผู้คนจากต่างถิ่นหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
จากสถานการณ์ดังกล่าวแทบไม่ต้องเดาเลยว่าต่อไปแถวนี้คงเจริญมากแน่นอน
จากบทก่อนในเมื่อผมตัดสินใจไม่ขายที่แล้วถ้าจะปลูกต้นไม้ปล่อยไว้อย่างเดียวก็อาจจะไม่เข้าที
มีที่แล้วไม่ต่อยอดให้เกิดประโยชน์ก็เห็นที่จะไม่เข่าท่า ดังนั้น ทำอะไรดี? ทำอย่างไร? ยังไง?
วันนี้ผมขอเล่าถึงแผนในอนาคตที่ผมวางไว้ให้กับที่แปลงนี้ ...
เริ่มจากวิเคราะห์ตัวที่ดิน ...
ที่ดินเองแปลงนี้เองก็ไม่ได้อยู่ในทำเลดีอะไรมากมาย ไม่ได้ติดถนนหลัก
ราคาที่พุ่งสูงขึ้นเป็นไปทั่วทุกอนาบริเวณแถวนี้ ทำให้ที่แปลงนี้จึงราคาเพิ่มขึ้นตาม
ที่แปลงนี้ติดถนนซอยเล็กๆ เรียกได้ว่าเป็นที่ธรรมดาๆและไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ
ในเมื่อที่แปลงนี้ไม่มีจุดแข็ง ... เราก็ต้องสร้างจุดแข็งขึ้นมาเอง!!!
จุดแข็งที่ผมจะใส่ลงไปในที่ดินแปลงนี้คือ
ต้นไม้
ต้นไม้ต้นใหญ่ๆ หลายๆต้น หลากหลายพันธ์จนกลายเป็นป่าขนาดย่อมๆ
ซึ่งผมจะค่อยๆสร้างจุดแข็ง บรรจงปลูกต้นไม้เองกับมือทีละต้นๆ โดยลงพันธุ์ไม้ยืนต้นนำไปก่อน
โดยส่วนตัวผมชอบป่า สไตล์ป่าเขตร้อนชื้น ดิบๆ มีมอส มีไลเคน ต้นเฟิร์นขึ้นตามพื้นตามต้นไม้
มีต้นหวาย มีต้นเถาวัลย์(หลง) พันห้อยไปมา ... มีทาซาน โหนไปโหนมา(อันนี้ไม่เกี่ยว 555+)
ทำไมต้นไม้ใหญ่ถึงเป็นจุดแข็ง?
ปัจจุบันในรัศมี 10 กม.จากบ้านผม ต้นไม้ใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแทบจะหาได้ยากเต็มที
ถึงมีก็เป็นเพียงต้นโดดๆ ถ้าจะมีหลายต้นหน่อยก็อยู่ในวัดวาหรือไม่ก็อยู่ในโรงเรียน
ต้นไม้ถ้าจะมีมากๆหน่อยแบบจริงจังสักหน่อยก็คงจะมีแต่สวนยางพาราและสวนต้นยูคาฯ
มองย้อนไปถึงความเจริญและเมืองที่ขยายตัวออกมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
และจากปัจจัยต่างๆที่ถาโถมเข้ามา ทำให้ผมคาดว่าที่บริเวณนี้คงจะขยายต่อไปอีกหลายปี
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต้นไม้ใหญ่ๆ จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ รวมถึงชาวสวนที่น่าจะน้อยลงตามลำดับ
จนผมเชื่อว่าในอีกยี่สิบสามสิบปีข้างหน้า ที่ดินแปลงที่ผมปลูกต้นไม้ลงไปกับมือแปลงนี้
และผมเดาว่าที่แปลงนี้ อาจจะกลายเป็น
“ป่ากลางเมือง” ที่ร่มรื่นที่สุดในรัศมี 20 กิโลเมตร
ถามต่อว่า ... เราสร้างจุดแข็งแล้วอย่างไรต่อ?
ผมก็คิดต่อไปว่า ... มีกิจการใดบ้างที่จะสามารถใช้ต้นไม้จะเป็นจุดเด่น คิดๆๆ ติ๊กต๊อกๆๆ
ค่ายลูกเสือ ฐานกิจกรรมแบบผจญภัย ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รีสอร์ท โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ฯลฯ
เอ๊ะ!! ... ร้านอาหาร!!!
ถ้าเป็นร้านอาหารบรรยากาศป่าๆ ต้นไม้ใหญ่ๆ ทำให้ผมนึกถึงร้านอาหารร้านหนึ่ง
ที่ผมมีความทรงจำในอดีตที่ประทับใจกับร้านอาหารแห่งนี้เอามากๆ
เป็นร้านอาหารที่มีบรรยากาศป่าเขา ต้นไม้ใหญ่ๆเต็มไปหมด เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่
ใช้ไม้เป็นโครงสร้างหลัก มีหลายชั้น ทีเด็ดคือ มีลานนั่งทานอาหาร มุมสูงเย็นวิวยอดไม้
มีเรือนรับประทานอาหารบนต้นไม้ ที่เวลาจัดส่งอาหารต้องใช้ชักรอกดึงขึ้นไป ... เจ๋ง!!!
อืม ... ตกลงจะทำแบบนี้ล่ะตรงตามจริตผมดี!!! (อาศัยความชอบเป็นตัวตัดสินครับกรณีนี้)
ถามต่อว่า ... ร้านอาหารสไตล์นี้พอไปได้ไหม?
น่าจะไปไหว ถ้าทำดีๆ รสชาติอร่อย มีสไตล์ที่ชัดเจน จับฐานลูกค้าระดับกลางขึ้นไป
และจากปัจจัยประกอบ ที่เป็น
“โอกาส” ให้เราได้หยิบฉวยเช่น
แถวนี้พัฒนาขึ้นมากจนเป็นแหล่งงานอันดับต้นๆของประเทศไทย
อีกทั้งยังเป็น ถิ่นที่ชาวต่างชาติ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำงานอยู่มากมายอีกด้วย
ณ ปัจจุบัน จากสถานที่ตั้งของที่แปลงนี้ ถ้าจะทำกิจการใดๆในที่แปลงนี้
อาจจะเรียกได้ว่าเป็น
“จุดอ่อน” เลยในการทำกิจการเลยก็ว่าได้
เพราะ ที่ดินแปลงนี้ ไม่ได้ติดถนนหลวงเส้นหลัก ที่ผู้คนใช้ในการสัญจรในปัจจุบัน
แต่การเดินทางก็ถือว่าสะดวกและไม่ไกลมากจากความเจริญตอนนี้มาก
แต่เมื่อมองในระยะยาว มองไปในอนาคตข้างหน้า จุดอ่อนนี้จะพัฒนามาเป็น
“จุดแข็ง” ได้
จากความเจริญที่คืบคลานเข้ามา ในอนาคตอาจจะมีอพาร์ทเม้นใหญ่โตมาตั้งที่ปากซอยก็เป็นได้
รูป ต้นสักทอง!!! หนึ่งในพันธุ์ไม้ที่ปลูกลงไป
ซึ่งกว่าต้นไม้จะโตจนกลายเป็นจุดแข็งของกิจการได้ก็น่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี
เมื่อถึงเวลานั้น ที่แปลงนี้จะมี จุดแข็งหลายๆอย่างที่น่าจะทำให้กิจการร้านนี้อยู่รอด
อีก 20 ปีข้างหน้า ...
- ที่แปลงนี้จะมีต้นไม้ใหญ่หลากสายพันธุ์ ที่มีอายุกว่า 20 ปีจำนวนมาก
- ที่แปลงนี้ที่จะอยู่ใกล้หรืออาจจะอยู่ใจกลางความเจริญ
- ร้านอาหารแห่งนี้จะดำเนินการด้วยต้นทุนที่ต่ำ เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเช่า
- เราสามารถสร้างร้านอาหารได้โดยใช้ต้นทุนน้อย เพราะวันนี้เราเตรียมวัสดุที่จำเป็นไว้รอแล้ว
การสร้างร้านอาหารแห่งนี้ เราอาจจะต้องตัดต้นไม้ออกจำนวนหนึ่งออกที่บังแปลนที่เราออกแบบ
และ เราก็จะใช้ต้นไม้เหล่านี้มาสร้างเป็นร้านอาหารต่อไป
แน่นอนว่ากิจการนี้คงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่ถ้าไม่มี
“เงินทุน”
ผมบวกตัวเลขเงินลงทุนคร่าวๆ แบบประมาณการณ์
อีกยี่สิบปีข้างหน้าผมจะต้องเตรียมทุนไว้อย่างน้อย 20 ล้านบาท
(เทียบเป็นเงินปัจจุบัน ก็ประมาณ 8 ล้านบาท พิจารณาที่อัตราเงินเฟ้อ 5% ต่อปี)
ฟันธง!!!
ผมจะทำร้านอาหารบรรยากาศป่าดิบ!!! ในอีก 20 ปีข้างหน้า!!!
และผมจะเตรียมทุนไว้สำหรับโครงการนี้อย่างน้อย 20 ล้านบาท!!!
โดยส่วนตัวผมไม่ได้ทำอาหารเก่งแต่อย่างใด เรียกว่าทำไม่เป็นเลยจะดีกว่า ผมชอบกินมากกว่า
แต่ผมเองชอบต้นไม้ และจะปลูกต้นไม้ให้เป็นป่า จึงมองเห็นโอกาสในการต่อยอดจากตรงนี้
ถ้าโครงการนี้สำเร็จลุล่วง กิจการนี้จะเป็นอีกหนึ่งกิจการที่ผมจะเก็บไว้ให้ลูกหลานได้ดูแลและสานต่อไป ...
ผมเล่าถึงความเป็นไปได้โครงการนี้และการวิเคราะห์ที่มาที่ไปแบบง่ายๆโดยใช้ SWOT
ในบทความผมพูดถึงจุดแข็งจุดอ่อนและโอกาสแต่ยังไม่ได้พูดถึง T (Threats) หรือ อุปสรรค
ผมมั่นใจเหลือเกินว่า
“อุปสรรค” ของกิจการนี้ คงจะมีเพียบ มันจะต้องตามมาเป็นพรวน
แต่สำหรับผม ถ้าอุปสรรคถามหาผม ผมจะบอกกลับไปดังๆ ...
“ผมไม่กลัวคุณหรอกครับ และ ผมนับวันรอที่จะเจอกับคุณ”
เพราะผมเชื่อว่าการที่เราจัดการกับอุปสรรคนั่นหมายถึงว่าเราได้เข้าไกล้ความสำเร็จไปแล้วอีกขั้นหนึ่ง ...
สุดท้ายและท้ายสุด ...
ผมไม่รู้หรอกครับว่า ต่อไปในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร
ทุกอย่างมันจะเป็นไปแผนที่ผมคาดการณ์ไว้หรือเปล่า
แต่ผมรู้แน่ๆว่า ถ้าแค่คิดอย่างเดียวแต่ไม่เริ่มลงมือทำ
แผนที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ... มันคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน!!
ขอให้บทความชิ้นนี้จงได้สร้างประโยชน์ให้แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขอให้ความร่ำรวยและความสุขสวัสดิ์จงมาสถิตแด่ท่าน
…[^_^]…
มันเพี้ยนไปมั้ย ถ้าผมจะบอกว่า ... ผมจะทำร้านอาหารในอีก 20 ปีข้างหน้า!!!
ล่าสุดมีคนมาเสนอซื้อบ้านและที่ดินแปลงนี้อีกครั้ง 18 ไร่ให้ราคา 15 ล้าน
และ แน่นอนว่า ผมไม่ขาย ... ผมได้เล่าถึงเรื่องนี้ในบทที่ชื่อว่า ...
มีคนมาเสนอซื้อบ้านและที่ดินของผมในราคา 15 ล้าน และ ผมไม่ขาย http://goo.gl/BlBLK
ที่ดินเนื่องที่ 18 ไร่ เป็นส่วนตัวบ้านประมาณ 2 ไร่ บ่อน้ำ 2 ไร่
ที่เหลืออีก 14 ไร่ เป็นพื้นที่ทำสวน เดิมทีคุณยายปลูกต้นมะม่วงหิมพานต์ไว้
แต่เนื่องจากขาดการบำรุงรักษาเป็นเวลาหลายปีจึงทำให้ผลผลิตไม่ดีนัก
แต่ตอนนี้ก็ยังออกผลผลิตและสามารถทำเงินได้อยู่บ้าง …
จากความเจริญที่ย่างกลายเข้ามาทุกขณะ ผู้คนจากต่างถิ่นหลั่งไหลเข้ามาจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
จากสถานการณ์ดังกล่าวแทบไม่ต้องเดาเลยว่าต่อไปแถวนี้คงเจริญมากแน่นอน
จากบทก่อนในเมื่อผมตัดสินใจไม่ขายที่แล้วถ้าจะปลูกต้นไม้ปล่อยไว้อย่างเดียวก็อาจจะไม่เข้าที
มีที่แล้วไม่ต่อยอดให้เกิดประโยชน์ก็เห็นที่จะไม่เข่าท่า ดังนั้น ทำอะไรดี? ทำอย่างไร? ยังไง?
วันนี้ผมขอเล่าถึงแผนในอนาคตที่ผมวางไว้ให้กับที่แปลงนี้ ...
เริ่มจากวิเคราะห์ตัวที่ดิน ...
ที่ดินเองแปลงนี้เองก็ไม่ได้อยู่ในทำเลดีอะไรมากมาย ไม่ได้ติดถนนหลัก
ราคาที่พุ่งสูงขึ้นเป็นไปทั่วทุกอนาบริเวณแถวนี้ ทำให้ที่แปลงนี้จึงราคาเพิ่มขึ้นตาม
ที่แปลงนี้ติดถนนซอยเล็กๆ เรียกได้ว่าเป็นที่ธรรมดาๆและไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ
ในเมื่อที่แปลงนี้ไม่มีจุดแข็ง ... เราก็ต้องสร้างจุดแข็งขึ้นมาเอง!!!
จุดแข็งที่ผมจะใส่ลงไปในที่ดินแปลงนี้คือ ต้นไม้
ต้นไม้ต้นใหญ่ๆ หลายๆต้น หลากหลายพันธ์จนกลายเป็นป่าขนาดย่อมๆ
ซึ่งผมจะค่อยๆสร้างจุดแข็ง บรรจงปลูกต้นไม้เองกับมือทีละต้นๆ โดยลงพันธุ์ไม้ยืนต้นนำไปก่อน
โดยส่วนตัวผมชอบป่า สไตล์ป่าเขตร้อนชื้น ดิบๆ มีมอส มีไลเคน ต้นเฟิร์นขึ้นตามพื้นตามต้นไม้
มีต้นหวาย มีต้นเถาวัลย์(หลง) พันห้อยไปมา ... มีทาซาน โหนไปโหนมา(อันนี้ไม่เกี่ยว 555+)
ทำไมต้นไม้ใหญ่ถึงเป็นจุดแข็ง?
ปัจจุบันในรัศมี 10 กม.จากบ้านผม ต้นไม้ใหญ่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแทบจะหาได้ยากเต็มที
ถึงมีก็เป็นเพียงต้นโดดๆ ถ้าจะมีหลายต้นหน่อยก็อยู่ในวัดวาหรือไม่ก็อยู่ในโรงเรียน
ต้นไม้ถ้าจะมีมากๆหน่อยแบบจริงจังสักหน่อยก็คงจะมีแต่สวนยางพาราและสวนต้นยูคาฯ
มองย้อนไปถึงความเจริญและเมืองที่ขยายตัวออกมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
และจากปัจจัยต่างๆที่ถาโถมเข้ามา ทำให้ผมคาดว่าที่บริเวณนี้คงจะขยายต่อไปอีกหลายปี
ผมค่อนข้างมั่นใจว่าต้นไม้ใหญ่ๆ จะลดจำนวนลงเรื่อยๆ รวมถึงชาวสวนที่น่าจะน้อยลงตามลำดับ
จนผมเชื่อว่าในอีกยี่สิบสามสิบปีข้างหน้า ที่ดินแปลงที่ผมปลูกต้นไม้ลงไปกับมือแปลงนี้
และผมเดาว่าที่แปลงนี้ อาจจะกลายเป็น “ป่ากลางเมือง” ที่ร่มรื่นที่สุดในรัศมี 20 กิโลเมตร
ถามต่อว่า ... เราสร้างจุดแข็งแล้วอย่างไรต่อ?
ผมก็คิดต่อไปว่า ... มีกิจการใดบ้างที่จะสามารถใช้ต้นไม้จะเป็นจุดเด่น คิดๆๆ ติ๊กต๊อกๆๆ
ค่ายลูกเสือ ฐานกิจกรรมแบบผจญภัย ท่องเที่ยวเชิงนิเวศ รีสอร์ท โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ฯลฯ
เอ๊ะ!! ... ร้านอาหาร!!!
ถ้าเป็นร้านอาหารบรรยากาศป่าๆ ต้นไม้ใหญ่ๆ ทำให้ผมนึกถึงร้านอาหารร้านหนึ่ง
ที่ผมมีความทรงจำในอดีตที่ประทับใจกับร้านอาหารแห่งนี้เอามากๆ
เป็นร้านอาหารที่มีบรรยากาศป่าเขา ต้นไม้ใหญ่ๆเต็มไปหมด เป็นร้านอาหารขนาดใหญ่
ใช้ไม้เป็นโครงสร้างหลัก มีหลายชั้น ทีเด็ดคือ มีลานนั่งทานอาหาร มุมสูงเย็นวิวยอดไม้
มีเรือนรับประทานอาหารบนต้นไม้ ที่เวลาจัดส่งอาหารต้องใช้ชักรอกดึงขึ้นไป ... เจ๋ง!!!
อืม ... ตกลงจะทำแบบนี้ล่ะตรงตามจริตผมดี!!! (อาศัยความชอบเป็นตัวตัดสินครับกรณีนี้)
ถามต่อว่า ... ร้านอาหารสไตล์นี้พอไปได้ไหม?
น่าจะไปไหว ถ้าทำดีๆ รสชาติอร่อย มีสไตล์ที่ชัดเจน จับฐานลูกค้าระดับกลางขึ้นไป
และจากปัจจัยประกอบ ที่เป็น “โอกาส” ให้เราได้หยิบฉวยเช่น
แถวนี้พัฒนาขึ้นมากจนเป็นแหล่งงานอันดับต้นๆของประเทศไทย
อีกทั้งยังเป็น ถิ่นที่ชาวต่างชาติ ข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำงานอยู่มากมายอีกด้วย
ณ ปัจจุบัน จากสถานที่ตั้งของที่แปลงนี้ ถ้าจะทำกิจการใดๆในที่แปลงนี้
อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “จุดอ่อน” เลยในการทำกิจการเลยก็ว่าได้
เพราะ ที่ดินแปลงนี้ ไม่ได้ติดถนนหลวงเส้นหลัก ที่ผู้คนใช้ในการสัญจรในปัจจุบัน
แต่การเดินทางก็ถือว่าสะดวกและไม่ไกลมากจากความเจริญตอนนี้มาก
แต่เมื่อมองในระยะยาว มองไปในอนาคตข้างหน้า จุดอ่อนนี้จะพัฒนามาเป็น “จุดแข็ง” ได้
จากความเจริญที่คืบคลานเข้ามา ในอนาคตอาจจะมีอพาร์ทเม้นใหญ่โตมาตั้งที่ปากซอยก็เป็นได้
รูป ต้นสักทอง!!! หนึ่งในพันธุ์ไม้ที่ปลูกลงไป
ซึ่งกว่าต้นไม้จะโตจนกลายเป็นจุดแข็งของกิจการได้ก็น่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 20 ปี
เมื่อถึงเวลานั้น ที่แปลงนี้จะมี จุดแข็งหลายๆอย่างที่น่าจะทำให้กิจการร้านนี้อยู่รอด
อีก 20 ปีข้างหน้า ...
- ที่แปลงนี้จะมีต้นไม้ใหญ่หลากสายพันธุ์ ที่มีอายุกว่า 20 ปีจำนวนมาก
- ที่แปลงนี้ที่จะอยู่ใกล้หรืออาจจะอยู่ใจกลางความเจริญ
- ร้านอาหารแห่งนี้จะดำเนินการด้วยต้นทุนที่ต่ำ เพราะไม่ต้องจ่ายค่าเช่า
- เราสามารถสร้างร้านอาหารได้โดยใช้ต้นทุนน้อย เพราะวันนี้เราเตรียมวัสดุที่จำเป็นไว้รอแล้ว
การสร้างร้านอาหารแห่งนี้ เราอาจจะต้องตัดต้นไม้ออกจำนวนหนึ่งออกที่บังแปลนที่เราออกแบบ
และ เราก็จะใช้ต้นไม้เหล่านี้มาสร้างเป็นร้านอาหารต่อไป
แน่นอนว่ากิจการนี้คงไม่เกิดขึ้นเป็นแน่ถ้าไม่มี “เงินทุน”
ผมบวกตัวเลขเงินลงทุนคร่าวๆ แบบประมาณการณ์
อีกยี่สิบปีข้างหน้าผมจะต้องเตรียมทุนไว้อย่างน้อย 20 ล้านบาท
(เทียบเป็นเงินปัจจุบัน ก็ประมาณ 8 ล้านบาท พิจารณาที่อัตราเงินเฟ้อ 5% ต่อปี)
ฟันธง!!!
ผมจะทำร้านอาหารบรรยากาศป่าดิบ!!! ในอีก 20 ปีข้างหน้า!!!
และผมจะเตรียมทุนไว้สำหรับโครงการนี้อย่างน้อย 20 ล้านบาท!!!
โดยส่วนตัวผมไม่ได้ทำอาหารเก่งแต่อย่างใด เรียกว่าทำไม่เป็นเลยจะดีกว่า ผมชอบกินมากกว่า
แต่ผมเองชอบต้นไม้ และจะปลูกต้นไม้ให้เป็นป่า จึงมองเห็นโอกาสในการต่อยอดจากตรงนี้
ถ้าโครงการนี้สำเร็จลุล่วง กิจการนี้จะเป็นอีกหนึ่งกิจการที่ผมจะเก็บไว้ให้ลูกหลานได้ดูแลและสานต่อไป ...
ผมเล่าถึงความเป็นไปได้โครงการนี้และการวิเคราะห์ที่มาที่ไปแบบง่ายๆโดยใช้ SWOT
ในบทความผมพูดถึงจุดแข็งจุดอ่อนและโอกาสแต่ยังไม่ได้พูดถึง T (Threats) หรือ อุปสรรค
ผมมั่นใจเหลือเกินว่า “อุปสรรค” ของกิจการนี้ คงจะมีเพียบ มันจะต้องตามมาเป็นพรวน
แต่สำหรับผม ถ้าอุปสรรคถามหาผม ผมจะบอกกลับไปดังๆ ... “ผมไม่กลัวคุณหรอกครับ และ ผมนับวันรอที่จะเจอกับคุณ”
เพราะผมเชื่อว่าการที่เราจัดการกับอุปสรรคนั่นหมายถึงว่าเราได้เข้าไกล้ความสำเร็จไปแล้วอีกขั้นหนึ่ง ...
สุดท้ายและท้ายสุด ...
ผมไม่รู้หรอกครับว่า ต่อไปในอนาคตมันจะเป็นอย่างไร
ทุกอย่างมันจะเป็นไปแผนที่ผมคาดการณ์ไว้หรือเปล่า
แต่ผมรู้แน่ๆว่า ถ้าแค่คิดอย่างเดียวแต่ไม่เริ่มลงมือทำ
แผนที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ... มันคงเป็นไปไม่ได้แน่นอน!!
ขอให้บทความชิ้นนี้จงได้สร้างประโยชน์ให้แก่ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ขอให้ความร่ำรวยและความสุขสวัสดิ์จงมาสถิตแด่ท่าน
…[^_^]…