ครอบครัวชะฮีด คือ ครอบครัว อัมมาร อิบนุ ยาซีร
ยาซีร (บิดา) และสุมัยยะฮฺ (มารดา) กับอับดุลลอฮฺ (พี่ชาย) และอัมมาร (น้องชาย) ทั้งครอบครัวได้อุทิศชีวิตเป็นชะฮีดไว้ในหนทางของอัลลอฮ์
ยาซีรผู้พ่อ เป็นชาวอาหรับจากประเทศเยเมน ได้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ที่นครมักกะฮฺ ก่อนที่อิสลามจะอุบัติขึ้น และได้แต่งงานกับทาสหญิงของตระกูลบนีมัคซวูม อันมีนามว่า สุมัยยะฮฺ ซึ่งเป็นมารดาของอับดุลลอฮฺ และอัมมาร
เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี อัมมารผู้น้องได้เข้ารับนับถืออิสลาม แล้วต่อมา บิดา มารดา และพี่ชาย ก็ได้รับนับถืออิสลามด้วย
ขณะนั้นอาหรับตระกูลกุไรชฺ ได้คอยสอดส่องจ้องทำร้ายทุกคนที่เข้ารับศาสนาอิสลาม และที่นิยมชมชอบในตัวท่านนบีมุฮัมมัด ไม่เลือกว่าเขาผู้นั้นจะเป็นผู้ที่อยู่ในตระกูลสูงศักดิ์เพียงใด ไม่ว่าจะเป็นที่เคารพมีผู้นับหน้าถือตาเพียงไหน จะอย่างไรเสียอีกกับครอบครัวต่างถิ่นที่ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีพรรคพวก ไม่มีแม้กระทั่งกำลังความสามารถที่จะให้ความคุ้มครองได้ อย่างครอบครัวของยาซีร
สมาชิกในครอบครัวของยาซีรต้องตกเป็นเหยื่อทารุณกรรมอย่างที่มุสลิมคนอื่นๆต้องประสบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทารุณจากตระกูลบนีมัคซูม ซึ่งสุมัยยะฮฺ เป็นข้าทาสของตระกูลนี้อยู่ โดยที่เจ้านายมีคำสั่งใช้ให้เอาเชือกล่ามทาสหญิงของเขาพร้อมทั้งสามีและบุตรทั้งสองของนางไว้ แล้วลากไปบนถนน ลากไปบนทรายที่ร้อนระอุ ซ้ำยังเอาก้อนหินก้อนโตๆวางทับไว้อีก บางครั้งก็ใช้เหล็กเผาไฟ นาบไปบนตัว
การกระทำทารุณต่อสี่ชีวิต พ่อ แม่ ลูก ยังคงดำเนินต่อไป บางครั้งเมื่อแดดร้อนจัดบนีมัคซูมได้เอาเสื้อเกราะที่ถูกแดดจนร้อนจัดเผาผลาญประดุจผิงไฟไว้มาสวมใส่ให้แก่สี่ชีวิต พ่อ แม่ ลูก ครอบครัวนี้ แล้วปล่อยให้ยืนตากแดดอยู่กลางแจ้ง
ทั้งหมดนี้ก็เพื่อต้องการให้สี่ชีวิต พ่อ แม่ ลูก กลับศาสนาเดิม ทิ้งศาสนาใหม่ที่เขาเหล่านั้นยึดมั่นอยู่ แต่สี่ชีวิตนี้ก็ไม่ยอมทรยศต่ออุดมการณ์ ไม่ยอมกุฟุรต่อท่านนบีมุฮัมมัด
ขณะที่ครอบครัวของยาซีรกำลังถูกทารุณกรรมอยู่นี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ผ่านมาประสบเข้า จึงได้กล่าวปลอบประโลม และให้กำลังใจให้อดทนต่อไปว่า
“วงศ์วานของยาซีร อดทนต่อไปเถิด แท้จริงสวรรค์กำลังรอคอยพวกท่านอยู่ข้างหน้า”
ยาซีรผู้พ่อ ไม่สามารถที่จะทนต่อทารุณกรรมที่ได้รับ เนื่องด้วยความชราภาพ ก็สิ้นชีวิตลง เขาตายอย่างศรัทธาชนที่ขันติอดทน อับดุลลอฮฺ ลูกชาย ก็เช่นเดียวกัน สุดที่จะทนทานต่อทารุณกรรมและความทรมานต่อไปได้ ก็จบชีวิตลงตามบิดาไปอีกผู้หนึ่ง อย่างศรัทธาชนที่อดทนและขันติ คงเหลืออีกสองแม่ลูก สุมัยยะฮฺมารดาได้กัดฟันสู้ต่อไปด้วยหัวใจทีมั่นคง แต่ศัตรูของอัลลอฮฺ ขาดความอดทนเสียก่อน จึงชิงจบชีวิตให้แก่นางโดยสังหารนางอย่างป่าเถื่อน เหี้ยมโหด และไร้มนุษยธรรม นางตายลงอีกผู้หนึ่ง ตายอย่างศรัทธาชนที่ขันติเยี่ยงสามีและบุตรของนาง
อัมมาร บินยาซีร จึงเป็นสมาชิกผู้เดียวของครอบครัวนี้ที่เหลืออยู่เผชิญชีวิตต่อไปภายใต้การทารุณกรรมของศัตรูผู้ไร้ความปรานี ศัตรูของอัลลอฮฺ ได้บังคับให้อัมมารสลัดศาสนาใหม่ทิ้งเสีย มิเช่นนั้นแล้วก็จะกระทำทารุณและทรมานต่อไป หรือไม่ก็จะสังหารเสีย อย่างที่สังหารมารดามาแล้ว ศัตรูของอิสลามได้ทวีการทารุณอัมมารต่างๆนานา แต่อัมมารก็ได้อดทนขันติต่อสู้กับทารุณกรรมของศัตรูผู้ไร้ความปรานี ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยการอีมาน จนได้โอกาสหนีรอดออกมาได้ แล้วอพยพหลบภัยไปยังนครอัลมาดีนะฮฺ ทำให้ชีวิตของอัมมารสดชื่นและราบรื่นขึ้น
อัมมาร อิบนุ ยาซิร ชินชาต่อความยากลำบาก ต่อภยันตรายต่างๆมาแล้ว เมื่อครั้งถูกทรมานและถูกทารุณกรรมที่มักกะฮฺ เขาทนทุกข์ทรมานอย่างชนิดที่คนอื่นๆ ไม่สามารถจะทนได้ เมื่อท่านร่อซูล ประสงค์จะสร้างมัสยิดอัลมาดินะฮฺ มุสลิมีนต่างก็ร่วมแรงร่วมกำลังกันอย่างพร้อมเพรียงกัน อัมมาร อิบนุ ยาซิร เป็นผู้หนึ่งที่ทุ่มเทกำลังความสามารถในการสร้างมัสยิดนี้ด้วย
อัมมาร อิบนุ ยาซิร ขนดินแบกหินมากยิ่งกว่าศ่อฮาบะฮฺ คนใดๆทั้งสิ้น จนเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าทั้งร่าง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเต็มไปด้วยฝุ่นและดิน
เมื่อท่านร่อซูล ผ่านมาพบเข้า จึงพูดกับเหล่าสาวกของท่านว่า
“จงเมตตาต่ออัมมาร เพลาๆ มือให้เสียบ้าง”
ครอบครัวชะฮีด (มรณะสักขี)
ยาซีร (บิดา) และสุมัยยะฮฺ (มารดา) กับอับดุลลอฮฺ (พี่ชาย) และอัมมาร (น้องชาย) ทั้งครอบครัวได้อุทิศชีวิตเป็นชะฮีดไว้ในหนทางของอัลลอฮ์
ยาซีรผู้พ่อ เป็นชาวอาหรับจากประเทศเยเมน ได้อพยพมาตั้งรกรากอยู่ที่นครมักกะฮฺ ก่อนที่อิสลามจะอุบัติขึ้น และได้แต่งงานกับทาสหญิงของตระกูลบนีมัคซวูม อันมีนามว่า สุมัยยะฮฺ ซึ่งเป็นมารดาของอับดุลลอฮฺ และอัมมาร
เมื่อท่านนบีมุฮัมมัด ได้รับการแต่งตั้งเป็นนบี อัมมารผู้น้องได้เข้ารับนับถืออิสลาม แล้วต่อมา บิดา มารดา และพี่ชาย ก็ได้รับนับถืออิสลามด้วย ขณะนั้นอาหรับตระกูลกุไรชฺ ได้คอยสอดส่องจ้องทำร้ายทุกคนที่เข้ารับศาสนาอิสลาม และที่นิยมชมชอบในตัวท่านนบีมุฮัมมัด ไม่เลือกว่าเขาผู้นั้นจะเป็นผู้ที่อยู่ในตระกูลสูงศักดิ์เพียงใด ไม่ว่าจะเป็นที่เคารพมีผู้นับหน้าถือตาเพียงไหน จะอย่างไรเสียอีกกับครอบครัวต่างถิ่นที่ไม่มีศักดิ์ศรี ไม่มีพรรคพวก ไม่มีแม้กระทั่งกำลังความสามารถที่จะให้ความคุ้มครองได้ อย่างครอบครัวของยาซีร
สมาชิกในครอบครัวของยาซีรต้องตกเป็นเหยื่อทารุณกรรมอย่างที่มุสลิมคนอื่นๆต้องประสบกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทารุณจากตระกูลบนีมัคซูม ซึ่งสุมัยยะฮฺ เป็นข้าทาสของตระกูลนี้อยู่ โดยที่เจ้านายมีคำสั่งใช้ให้เอาเชือกล่ามทาสหญิงของเขาพร้อมทั้งสามีและบุตรทั้งสองของนางไว้ แล้วลากไปบนถนน ลากไปบนทรายที่ร้อนระอุ ซ้ำยังเอาก้อนหินก้อนโตๆวางทับไว้อีก บางครั้งก็ใช้เหล็กเผาไฟ นาบไปบนตัว
การกระทำทารุณต่อสี่ชีวิต พ่อ แม่ ลูก ยังคงดำเนินต่อไป บางครั้งเมื่อแดดร้อนจัดบนีมัคซูมได้เอาเสื้อเกราะที่ถูกแดดจนร้อนจัดเผาผลาญประดุจผิงไฟไว้มาสวมใส่ให้แก่สี่ชีวิต พ่อ แม่ ลูก ครอบครัวนี้ แล้วปล่อยให้ยืนตากแดดอยู่กลางแจ้ง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อต้องการให้สี่ชีวิต พ่อ แม่ ลูก กลับศาสนาเดิม ทิ้งศาสนาใหม่ที่เขาเหล่านั้นยึดมั่นอยู่ แต่สี่ชีวิตนี้ก็ไม่ยอมทรยศต่ออุดมการณ์ ไม่ยอมกุฟุรต่อท่านนบีมุฮัมมัด
ขณะที่ครอบครัวของยาซีรกำลังถูกทารุณกรรมอยู่นี้ ท่านนบีมุฮัมมัด ผ่านมาประสบเข้า จึงได้กล่าวปลอบประโลม และให้กำลังใจให้อดทนต่อไปว่า
“วงศ์วานของยาซีร อดทนต่อไปเถิด แท้จริงสวรรค์กำลังรอคอยพวกท่านอยู่ข้างหน้า”
ยาซีรผู้พ่อ ไม่สามารถที่จะทนต่อทารุณกรรมที่ได้รับ เนื่องด้วยความชราภาพ ก็สิ้นชีวิตลง เขาตายอย่างศรัทธาชนที่ขันติอดทน อับดุลลอฮฺ ลูกชาย ก็เช่นเดียวกัน สุดที่จะทนทานต่อทารุณกรรมและความทรมานต่อไปได้ ก็จบชีวิตลงตามบิดาไปอีกผู้หนึ่ง อย่างศรัทธาชนที่อดทนและขันติ คงเหลืออีกสองแม่ลูก สุมัยยะฮฺมารดาได้กัดฟันสู้ต่อไปด้วยหัวใจทีมั่นคง แต่ศัตรูของอัลลอฮฺ ขาดความอดทนเสียก่อน จึงชิงจบชีวิตให้แก่นางโดยสังหารนางอย่างป่าเถื่อน เหี้ยมโหด และไร้มนุษยธรรม นางตายลงอีกผู้หนึ่ง ตายอย่างศรัทธาชนที่ขันติเยี่ยงสามีและบุตรของนาง
อัมมาร บินยาซีร จึงเป็นสมาชิกผู้เดียวของครอบครัวนี้ที่เหลืออยู่เผชิญชีวิตต่อไปภายใต้การทารุณกรรมของศัตรูผู้ไร้ความปรานี ศัตรูของอัลลอฮฺ ได้บังคับให้อัมมารสลัดศาสนาใหม่ทิ้งเสีย มิเช่นนั้นแล้วก็จะกระทำทารุณและทรมานต่อไป หรือไม่ก็จะสังหารเสีย อย่างที่สังหารมารดามาแล้ว ศัตรูของอิสลามได้ทวีการทารุณอัมมารต่างๆนานา แต่อัมมารก็ได้อดทนขันติต่อสู้กับทารุณกรรมของศัตรูผู้ไร้ความปรานี ด้วยหัวใจที่เปี่ยมไปด้วยการอีมาน จนได้โอกาสหนีรอดออกมาได้ แล้วอพยพหลบภัยไปยังนครอัลมาดีนะฮฺ ทำให้ชีวิตของอัมมารสดชื่นและราบรื่นขึ้น
อัมมาร อิบนุ ยาซิร ชินชาต่อความยากลำบาก ต่อภยันตรายต่างๆมาแล้ว เมื่อครั้งถูกทรมานและถูกทารุณกรรมที่มักกะฮฺ เขาทนทุกข์ทรมานอย่างชนิดที่คนอื่นๆ ไม่สามารถจะทนได้ เมื่อท่านร่อซูล ประสงค์จะสร้างมัสยิดอัลมาดินะฮฺ มุสลิมีนต่างก็ร่วมแรงร่วมกำลังกันอย่างพร้อมเพรียงกัน อัมมาร อิบนุ ยาซิร เป็นผู้หนึ่งที่ทุ่มเทกำลังความสามารถในการสร้างมัสยิดนี้ด้วย อัมมาร อิบนุ ยาซิร ขนดินแบกหินมากยิ่งกว่าศ่อฮาบะฮฺ คนใดๆทั้งสิ้น จนเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าทั้งร่าง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเต็มไปด้วยฝุ่นและดิน
เมื่อท่านร่อซูล ผ่านมาพบเข้า จึงพูดกับเหล่าสาวกของท่านว่า “จงเมตตาต่ออัมมาร เพลาๆ มือให้เสียบ้าง”