คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 111
ถ้าเป็นเรานะคะ ในเมื่อคุยกันเปิดใจกันได้ ก็แยกกันอยู่ไปเลย ไม่ต้องเจอหน้ากัน ตกลงกันให้ได้ว่าในฐานะการเป็นพ่อเป็นแม่ของลูกเรายังปฏิบัติเหมือนเดิม ไม่มีขาดหรือบกพร่อง คุณก็ใช้เวลาที่แยกกันอยู่ไม่ติดต่อกัน เขาก็ไปไหนทำไรก็เรื่องของเขา แต่หน้าที่ของการเป็นแม่ต้องไม่บกพร่อง ทำหนังสือตกลงเป็นลายลักษณ์อักษรมีพยานให้เรียบร้อยเช่นทางฝ่ายแม่ยายพ่อตา หรือ และ แม่คุณพ่อคุณด้วย หากเขาขาดพกพร่องตรงหน้าที่การเป็นแม่ของลูกก็ฟ้องหย่าทันที แต่ถ้าเขาทำหน้าที่แม่ได้ดีไม่ขาดบกพร่องก็แค่แยกกันไป ต่างคนต่างทำอะไรที่อยากทำ เมื่อถึงเวลาที่คุณและเขาพร้อมก็นัดกันไปหย่าให้เสร็จเรียบร้อยซะ แต่ระหว่างเวลาที่แยกกันมันจะทำให้คุณและเมียคุณคิดทบทวนว่าจะกลับมาคืนดีกันไหม หรือจบ เลิกกันไป เพราะตอนนี้ ที่คุณบอกว่าเพื่อลูกๆ เนี้ย มันก็ไม่ใช่ซะร้อยเปอร์เซนต์หรอก มันไม่ใช่ทั้งหมด คนเคยรัก เคยอะไรกันมามันก็มีบ้าง เวลาจะช่วยรักษา และตัดสิน เป็นการดีกับทุกฝ่าย ทั้งคุณ ลูก และเมีย และทั้งเครือญาติ ส่วนเรื่องฝ่ายผู้ชาย(ผู้ชายคนนั้น) คุณคิดว่าถ้าให้ภรรยาคุณไปกับคนนั้นเป็นการไปทำลายครอบครัวเขา คุณคะ ชีวิตครอบครัวเขา ภรรยาเขาก็ไม่ใช่เด็กๆ และมีลูกสองแล้ว และพวกเขาเองก็รู้ตื้นลึกปัญหามากว่าคุณ ถ้าเขาจะเลิกกันเพราะเมียคุณ อิฉันเชื่อว่ามันไม่ใช่เพราะเมียคุณเขาไปแทรกกลางทั้งหมดหรอกนะคะ และก็เคารพการตัดสินใจในการจัดการปัญหาของภรรยาเขาเถอะค่ะ คิดว่าน่าจะช่วยอะไรได้บ้างนะ ( กรณีของเราเลิก เพราะตกลงกันไม่ได้ จึงทำแบบที่เราเขียนมาทั้งหมดไม่ได้ค่ะ) ปล คุณคะ ถ้าคุณเริ่มคิดแทนลูกคุณ คุณจะรู้ได้อย่างไรกันว่าเขาคิดอย่างไร ......โดยบอกว่าห่วงความรู้สึกลูก ที่บอกว่าอยากให้แม่เขาปรับปรุงตัวใหม่ หรือเรียกว่าให้ทำดีเพื่อโกหกลูกคุณแล้วลับหลังไปมีชู้ ลูกคุณรู้ความจริงที่หลัง มันอาจจะแย่กกว่าเดิมนะคะ เพราะเขาจะคิดว่าเขาไว้ใจใครไม่ได้อีก ทั้งพ่อ ยาย คนที่เขารัก แค่อยากฝากไว้
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 6
ผมจะบอกอะไรให้ นะครับ ผู้ใหญ่ ชอบมโน กันไปเองว่า กลัวลูกจะมีปัญหา
รู้หรือเปล่าเด็กไม่ได้โง่ แค่ทะเลาะกันกันธรรมดา เด็กแค่ 2-3ขวบก็สามารถรับรู้ถึงเรื่องผิดปกติได้ประมาณหนึ่งแล้ว
การที่พ่อแม่หย่ากัน กับ การที่พ่อแม่ แกล้งทำเป็นอยู่ด้วยกัน มันให้ผลไม่ได้ต่างกัน
ผมไม่ได้บอกให้หย่าในทันที แต่คุณควรปรึกษา นักจิตวิทยาเด็กหรืออะไรที่ใกล้เคียง เพื่อลดผลกระทบให้มากที่สุด
รู้หรือเปล่าเด็กไม่ได้โง่ แค่ทะเลาะกันกันธรรมดา เด็กแค่ 2-3ขวบก็สามารถรับรู้ถึงเรื่องผิดปกติได้ประมาณหนึ่งแล้ว
การที่พ่อแม่หย่ากัน กับ การที่พ่อแม่ แกล้งทำเป็นอยู่ด้วยกัน มันให้ผลไม่ได้ต่างกัน
ผมไม่ได้บอกให้หย่าในทันที แต่คุณควรปรึกษา นักจิตวิทยาเด็กหรืออะไรที่ใกล้เคียง เพื่อลดผลกระทบให้มากที่สุด
ความคิดเห็นที่ 4
ผมค่อนข้างซีเรียดกับเรื่องแบบนี้นะ และไม่ให้ราคาคู่ชีวิตฝ่ายที่ตีจากไปเลยในกรณีอยู่กันมานานกว่า 10 ปีและมีลูกด้วยกัน
เพราะมันคือ ตราบาป และฝันร้ายของลูกที่เป็นสายเลือดแท้ๆเราเอง ไม่รู้จิตใจมันจะต่ำอะไรขนาดนั้น ไม่สามารถเลิก ลด ราคะได้
หรือเกิดกิเลสตัณหา เรื่อง เงินทองขึ้นมา ไม่ว่าอ้างเหตุผลใดๆ ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะมันทำให้ คนอีก 2 คน ต้องเสียโอกาสและต้องทนรับ
รู้พฤติกรรมชั่วๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งที่กระทำลงไป
ก็ลองให้โอกาสดู ว่าเขาจะกลับมาไหม ถ้ายังยืนยันไม่กลับ ก็ถือว่าทำบุญทำทานกันไป คิดแบบนี้สบายใจกว่า
ขอโทษที่พูดแรง เพราะไม่มองโลกสวยเลยเรื่องแบบนี้
เพราะมันคือ ตราบาป และฝันร้ายของลูกที่เป็นสายเลือดแท้ๆเราเอง ไม่รู้จิตใจมันจะต่ำอะไรขนาดนั้น ไม่สามารถเลิก ลด ราคะได้
หรือเกิดกิเลสตัณหา เรื่อง เงินทองขึ้นมา ไม่ว่าอ้างเหตุผลใดๆ ก็ฟังไม่ขึ้น เพราะมันทำให้ คนอีก 2 คน ต้องเสียโอกาสและต้องทนรับ
รู้พฤติกรรมชั่วๆ ของอีกฝ่ายหนึ่งที่กระทำลงไป
ก็ลองให้โอกาสดู ว่าเขาจะกลับมาไหม ถ้ายังยืนยันไม่กลับ ก็ถือว่าทำบุญทำทานกันไป คิดแบบนี้สบายใจกว่า
ขอโทษที่พูดแรง เพราะไม่มองโลกสวยเลยเรื่องแบบนี้
ความคิดเห็นที่ 107
บอกตามตรงนะครับ เท่าที่อ่านมาคุณมักจะพูดว่า..ทำเพื่อลูกๆๆ แต่ที่จับใจความได้จริงๆน่ะ คุณทำเพื่อตัวเองทั้งนั้นเลย
คุณรักภรรยามาก..มากซะจนยินยอมที่จะปิดหูปิดตาแล้วรับข้อเสนอต่างๆนาๆเพื่อให้ชีวิตคู่อยู่รอด
ซึ่งคุณรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้
อย่าอ้างธรรมะมาข่มใจเลยครับ ความจริงก็คือความจริง ยอมรับเถอะว่าเค้าไม่ได้รักคุณแล้ว และไม่มีวันจะกลับมารักด้วย
ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆนะครับ ตัวผมเองตอนอายุ 13 เคยเรียกน้องชายมาคุยว่าถ้าพ่อจะไม่อยู่กับเรา เค้ารับได้ไม๊
เพราะพ่อผมเป็นคนเจ้าชู้ ที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยมีวันไหนที่เห็นแม่มีความสุขจริงๆเลย น้องผมเห็นด้วยนะ
ถึงจะรักพ่อมาก แต่เราก็รับไม่ได้ที่เค้าเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ทุกวันนี้เราสองพี่น้องเกลียดคนนอกใจเข้าเส้น
เวลามีแฟนแล้วแฟนแค่ไปคุยกับคนอื่นก็จะมีปัญหา และเราเลือกที่จะเลิกทันทีเพราะให้อภัยไม่ได้ มันกลายเป็นปมด้อยไปเลย
ถ้าคุณอ่อนแอเกินไปที่จะยอมรับความจริง วันนึงคนที่ทนไม่ได้อาจจะเป็นลูกคุณเองที่มาลงมือจัดการให้ปัญหามันจบ
ถ้าหากคุณตัดสินใจหย่า หลังจากที่หย่าแล้ว กลับไปอยู่กับลูกนะครับ ทำหน้าที่พ่อและแม่ให้ดีที่สุด เค้าต้องการรักแท้ที่พร้อมจะให้
ไม่ใช่รักที่ให้ไปตามหน้าที่ อย่ายอมแพ้ครับ
คุณรักภรรยามาก..มากซะจนยินยอมที่จะปิดหูปิดตาแล้วรับข้อเสนอต่างๆนาๆเพื่อให้ชีวิตคู่อยู่รอด
ซึ่งคุณรู้อยู่แก่ใจดีแล้วว่ามันเป็นไปไม่ได้
อย่าอ้างธรรมะมาข่มใจเลยครับ ความจริงก็คือความจริง ยอมรับเถอะว่าเค้าไม่ได้รักคุณแล้ว และไม่มีวันจะกลับมารักด้วย
ขอโทษที่ต้องพูดตรงๆนะครับ ตัวผมเองตอนอายุ 13 เคยเรียกน้องชายมาคุยว่าถ้าพ่อจะไม่อยู่กับเรา เค้ารับได้ไม๊
เพราะพ่อผมเป็นคนเจ้าชู้ ที่ผ่านมาตั้งแต่เล็กจนโตก็ไม่เคยมีวันไหนที่เห็นแม่มีความสุขจริงๆเลย น้องผมเห็นด้วยนะ
ถึงจะรักพ่อมาก แต่เราก็รับไม่ได้ที่เค้าเป็นแบบนั้นเหมือนกัน ทุกวันนี้เราสองพี่น้องเกลียดคนนอกใจเข้าเส้น
เวลามีแฟนแล้วแฟนแค่ไปคุยกับคนอื่นก็จะมีปัญหา และเราเลือกที่จะเลิกทันทีเพราะให้อภัยไม่ได้ มันกลายเป็นปมด้อยไปเลย
ถ้าคุณอ่อนแอเกินไปที่จะยอมรับความจริง วันนึงคนที่ทนไม่ได้อาจจะเป็นลูกคุณเองที่มาลงมือจัดการให้ปัญหามันจบ
ถ้าหากคุณตัดสินใจหย่า หลังจากที่หย่าแล้ว กลับไปอยู่กับลูกนะครับ ทำหน้าที่พ่อและแม่ให้ดีที่สุด เค้าต้องการรักแท้ที่พร้อมจะให้
ไม่ใช่รักที่ให้ไปตามหน้าที่ อย่ายอมแพ้ครับ
แสดงความคิดเห็น
ภรรยาที่อยู่กันมา 13 ปี มีลูกด้วยกันแล้ว นอกใจกับชายที่เขาเคยชอบตั้งแต่มัธยม ปัจจุบันชายคนนี้มีภรรยาและลูก 2 คนแล้ว
Updated 27 มิ.ย. 2556
ผมต้องขอขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคนที่ Pantip แห่งนี้ด้วยนะครับ สำหรับคำแนะนำต่างๆ ที่แนะนำกันมา
พวกเราทั้ง 4 คน ผม ภรรยา ฝ่ายชาย และภรรยาของเค้า ก็ได้เข้ามาอ่าน และรับรู้ทุกตัวอักษรในกระทู้นี้แล้วเช่นกัน
ทำให้ได้ประโยชน์จากความเห็นที่แนะนำกันมา โดยเฉพาะเรื่องลูก ถ้าอยู่ในครอบครัวที่มีปัญหา พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อย
จะเป็นผลเสียกับลูก เสียมากกว่า แม้ว่าตัวผมเอง ก็จะยังไม่ได้ข้อสรุปสำหรับครอบครัวผมเอง
แต่ครอบครัวของฝ่ายชาย ข้อสรุปค่อนข้างชัดเจนแล้วครับ เพราะมีปัญหากันตลอดเวลา 14 ปี อยู่ด้วยกันแล้วมีทุกข์ มากกว่าสุข
มีการทะเลาะ ประชด ประชันกันต่อหน้าลูกบ่อยครั้ง รวมถึงการที่ภรรยาของฝ่ายชาย นำเรื่องของสามีไปแจ้งหน่วยงานที่สามีทำงานอยู่
ทำให้ทางบ้านของฝ่ายชายรับไม่ได้ ก็คงมาถึงทางแยกของครอบครัวนี้แล้วครับ
ผมเองมีโอกาสได้พูดคุยกับฝ่ายชายแล้ว ล่าสุดเค้าบอกว่า "ตัวเค้าเองคงต้องห่างกับภรรยาผมกันบ้างแล้วเพื่อกลับไปทบทวนตัวเอง ว่าที่ผ่านมามันเป็นแค่ความใคร่ ความหลง หรือความรักกันแน่ และอีกอย่างต่างคนต่างก็ไม่อยากให้คนอื่นมาเดือดร้อนด้วย ถ้าเรามีวาสนาต่อกันคงได้อยู่ด้วยกันเอง ไม่ต้องดิ้นรนอะไรมาก" แต่นั่นก็แค่คำบอกกล่าวครับ รอดูเหตุการณ์จริงๆ ดีกว่า ชีวิตคนเรา ตราบใดที่เรายังหายใจ
ก็คงต้องสู้กันต่อไปครับ ขอบคุณเพื่อนๆ ทุกคน สำหรับทุกความคิดเห็น ทุกคำแนะนำ ขอบคุณมากครับ
+++++++++++++
Updated 28 มิ.ย. 2556
มีโอกาสได้คุยกับภรรยาของฝ่ายชาย ตอนนี้เรื่องทางวินัยของฝ่ายชาย ที่ทำงานฝ่ายชายเรียกสามีภรรยาคู่นี้ไปไกล่เกลี่ยกันแล้วครับ
เพราะทางผู้ใหญ่ ไม่อยากให้ต้องส่งเรื่องขึ้นข้างบน เพราะว่าโทษจะรุนแรงครับ
ทางภรรยาเค้าบอกว่า หลังจากวันที่ไปไกล่เกลี่ยกันแล้ว ทางฝ่ายชายไม่ชอบพูดคุยเรื่องนี้อีกเลย และทางบ้านของฝ่ายชาย
โทรมาด่าทอภรรยาเค้า เพราะทางนั้นเคยขอร้องเรื่องนี้ไว้แล้ว เพราะทางบ้านฝ่ายชาย ก็ไม่อยากให้ลูกต้องโดนโทษทางวินัยครับ
นอกจากด่าแล้ว ทางบ้านฝ่ายชายก็บอกว่า ลูกคนเล็กอีกคนที่ทางพ่อแม่ฝ่ายชายเป็นผู้เลี้ยงดูมาให้ตั้งแต่เล็ก เค้าจะไม่ให้เด็กไปอยู่กับแม่แน่นอนครับ
ตอนนี้ทางภรรยาฝ่ายชายต้องการที่จะขอแยกกันอยู่กับสามีตัวเอง (ปัจจุบันยังพักอยู่ด้วยกันกับลูกคนโตของทั้งคู่)
แล้วก็ขอเป็นคนเลี้ยงดูลูกเองทั้ง 2 คน แล้วให้ฝ่ายชายคอยโอนเงินค่าเลี้ยงดูลูกให้แต่ละเดือน
ถ้าฝ่ายชายคิดถึงลูก ก็ให้ไปหาลูกได้ที่โรงเรียน ถ้าฝ่ายชายทำได้ตามนี้ ภรรยาเค้าจะไปถอนเรื่องที่ไปยื่นฟ้องที่ ที่ทำงานฝ่ายชายครับ
แต่ถ้าไม่ยอมตามนี้ เค้าจะเอาเรื่องให้ถึงที่สุด แล้วก็จะฟ้องหย่ากับฝ่ายชาย เรียกร้องสิทธิ์การดูแลลูกทั้ง 2 คนเอง เรียกร้องค่าเสียหายจากทั้งฝ่ายชาย และภรรยาผม ฐานที่เล่นชู้กับสามีเค้าต่อไปครับ
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ผมและภรรยา จดทะเบียนสมรสกันมา 13 ปี มีลูกด้วยกัน 1 คน แต่เพราะจากเรามีลูกตั้งแต่อายุยังน้อย ลูกจึงอยู่กับญาติภรรยาที่ต่างจังหวัด จนถึงปัจจุบันครับ แต่เราจะกลับไปเยี่ยมลูกบ่อยๆ เกือบทุกเดือนครับ ช่วงเวลาที่อยู่ด้วยกันผม และภรรยาก็ไม่เคยมีเรื่องรุนแรง ทะเลาะเบาะแว้งกัน ด่าทอ หรือตบตีกันนี่ ไม่เคยมีเลยครับ แล้วตลอดเวลาที่คบหากันมาก ผมไม่เคยมีกิ๊ก ไม่เคยนอกใจ ชีวิตคู่ของเราที่ผ่านมาดูเหมือนจะราบรื่น จนเมื่อต้นปีนี้ ผมเพิ่งทราบว่าภรรยา แอบคบหากับชายอื่น จากข้อความที่พวกเขาสนนทนากันผ่านช่อง Chat ใน Facebook
ซึ่งข้อความในช่อง Chat เหล่านั้นใน Facebook ของภรรยา ทำให้ทราบว่าพวกเค้าแอบคบหากันมาประมาณ 6 เดือนแล้ว
ก็พบข้อความที่เป็นการเฉลยเรื่องโกหกในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาเยอะแยะไปหมด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการนัดไปเที่ยวกันที่ต่างจังหวัด
แต่จะโกหกผมว่าไปกับที่บริษัทฯ ไปกับแผนก มีแม้กระทั่งการนัดเดทกัน โดยไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน สิงห์บุรี แต่จะโกหกผมว่าหัวหน้าพาไปปฏิบัติธรรมทั้งแผนก มีการไปเที่ยวต่างประเทศด้วยกันด้วย แต่โกหกผมว่าไปกับที่ทำงาน เช่นเคย โกหกขั้นเทพจริงๆ
แต่นั่น ไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกครับ Highlight ของข้อความที่พวกเค้าคุยกัน ที่ทำให้ผมเครียดสุด ณ ตอนนั้นก็คือ
พวกเค้า 2 คนได้วางแผนกันว่าหลังจากนี้ เมื่อได้เวลาอันเหมาะสม ต่างคน ก็ต่างจะเลิกกับคู่สมรสปัจจุบันของตนเองแล้ว
เพื่อที่จะได้มาแต่งงานกันอย่างถูกต้อง แล้วก็จะนำลูกผม และลูกของฝ่ายชาย มาอยู่ร่วมกัน 5 คน พ่อแม่ลูกอย่างมีความสุข
ผมอ่านจบ ผมยังไม่เชื่อตัวเองเลย ผมไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม ผมอ่านอีกรอบ จนแน่ใจ ว่านี่ พวกมันคิดกันง่ายไปไหม
ลูกมีพ่อคือผม และแม่คือภรรยาผม จะตัดสินใจเองได้ยังไง แล้วลูกนี่ไม่ใช่สิ่งของ นึกจะย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ได้
ใช้ตรรกะอะไรกัน มาตัดสินชีวิตเด็กแบบนี้ แล้วลูกผมต้องไปอยู่กับพ่อเลี้ยง ลูกฝ่ายชายต้องมาอยู่กับแม่เลี้ยง
นี่มันนรกของเด็กบนสวรรค์จอมปลอมของเค้า 2 คน
ทำให้ช่วงแรกที่ทราบเรื่อง ผมถึงกับนอนไม่หลับไปหลายคืนเลย การหักหลังของภรรยาเป็นเรื่องรองครับ ณ ตอนนั้นก็พอทำใจได้บ้างแล้ว แต่ที่ห่วงคืออนาคตขอบลูกผม ต้องไปอยู่กับแม่เค้า กับพ่อเลี้ยงจริงๆ เหรอ นั่นเป็นสิ่งที่ผมเครียดสุดๆ มากกว่าครับ เพราะที่เค้าคุยกันในเฟส ผมเห็นเค้าคุยกันแบบนี้ ทำไมดูจะทำกันได้ง่ายๆ จังเลย ผมก็ไม่รู้จะปรึกษใครดี จะปรึกษาญาติพี่น้องตัวเอง เป็นได้บ้านแตกแน่ จะปรึกษาแม่ยาย ก็ไม่รู้ว่าเค้าอาจจะเห็นดีเห็นงามกับลูกสาวหรือเปล่า เพราะดูเหมือนภรรยาผมจะไม่มีการกังวลใดๆ เลย คิดอยู่หลายวัน ว่าจะเอาไงดี จนในที่สุด ผมคิดว่าบ้านภรรยาผมเท่าที่ผมคลุกคลีมาด้วย 13 ปี คิดว่าพ่อแม่เค้าอยู่ในศีลในธรรม คงไม่สนับสนุนเรื่องแบบนี้หรอก ผมเลยโทรไปสอบถามจากทางแม่ยายผม แม่เค้าก็ไม่ทราบเรื่องมาก่อนเหมือนกัน เค้าก็โมโหมากที่ลูกเค้าทำแบบนี้ครับ แต่พอคุยกับแม่ยาย ผมก็สบายใจขึ้นมาหน่อย ว่าแม่เค้าก็ไม่เห็นด้วย แล้วก็ไม่มีทางให้หลานไปอยู่กับแม่กับชายคนใหม่แน่นอน
ส่วนตัวฝ่ายชายนั้นเป็นข้าราชการครับ มีภรรยาที่จดทะเบียนสมรสด้วยกันแล้ว มีลูก 2 คนแล้ว ทางนี้ก็อยู่กันมา 14 ปีแล้วครับ โดยลูก 2 คน ก่อนหน้านี้ก็ให้ญาติเลี้ยงที่ต่างจังหวัดเช่นกัน แต่เรื่องมันบังเอิญ ตรงที่ว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน บ้านห่างกันไม่กี่ กม. กับบ้านของภรรยาผมครับ
บ้านใกล้กันขนาดนี้นี่แหล่ะครับ ตอนมัธยมพวกเค้าทั้งคู่ถึงได้มีโอกาสเรียนโรงเรียนประจำอำเภอด้วยกัน นี่คือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้อย่างแท้จริงครับ
เท่าที่ทราบจากข้อความที่คุยกันได้ ทำให้พบว่าภรรยาผมได้แอบชอบชายคนนี้ ตั้งแต่สมัยมัธยมแล้วครับ เพราะเค้าหล่อ เป็นนักกีฬาวอลเล่บอลของโรงเรียน แต่เนื่องจากภรรยาผมช่วงนี้นั้นคิดว่าชายคนนี้ เป็นเด็กเกเร เพราะดูจากเพื่อนของฝ่ายชายเลือกคบในยุคนั้น จึงยังไม่ได้คบหาเป็นแฟนกัน (แต่แอบปิ๊ง) หลังจากนั้นเค้าทั้งคู่กับต่างไปใช้ชีวิตของแต่ละคนไป จนเมื่อ 7 ปีที่แล้ว แฟนผมนั่งรถกลับต่างจังหวัด ก็ไปพบชายคนนี้นั่งรถกลับต่างจังหวัดด้วย ก็ยิ่งชอบเค้าเข้าไปใหญ่ เพราะฝ่ายชายเป็นหน่มเต็มตัว หล่อเหลา บวกกับความแอบชอบในวัยเยาว์เป็นทุนเดิมก็ได้พูดคุยทักทายกันตามประสาเพื่อนเคยรู้จักกันครับ ตอนนั้นไม่มีอะไรมาก แล้วหลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีก จนกระทั่งเมื่อเดือน มิ.ย. 2555 ฝ่ายชายก็บังเอิญ ไปพบชื่อ Facebook ของภรรยาผมจากเพื่อนของภรรยาอีกที แต่ตัวเค้าเองก็ไม่แน่ใจว่าใช่คนที่เค้าเคยรู้จักหรือเปล่า เพราะภรรยาผมดูดีขึ้น ผิดหู ผิดตา ก็เลย Add เป็น Friend เพื่อคุยกันเรื่อยมา นับจากวันนั้น จนถึงวันนี้ครับ ภรรยาผมบอกว่าพอได้คุยกับฝ่ายชาย เหมือนความรู้สึกดีๆ สมัยมัธยมได้กลับคืนมาอีกครั้ง เค้าบอกว่าเค้าคุยกันถูกคอมาก คุยแล้วสบายใจที่สุด อาจจะด้วยความเป็นคนบ้านเดียวกันด้วยล่ะครับ (ใช่สิ ผมมันคนต่างจังหวัดกับเค้านี่ครับ) เค้าทั้งคู่ต่างไม่พอใจกับคู่ของตนเอง เพราะคิดว่าไม่ใช่เนื้อคู่กัน จริงๆ แล้วผมกับภรรยาไม่เคยมีเรื่องกันมาก่อนหรอกครับ แต่เค้าพยายามไปบอกคนอื่นว่าเราเข้ากันไม่ได้ตั้งแต่แรกแล้วหล่ะ ที่อยู่ทุกวันนี้ ทนกันอยู่ อยู่ด้วยกันแล้วไม่มีความสุข แต่จริงๆ มันไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้นครับ ผมอาจจะไม่ใช่เป็นคนโรแมนติก เป็นคนพูดตรงๆ แรงๆ อาจจะดูแล เทคแคร์ไม่เก่งเท่าผู้ชายเจ้าชู้ทั่วไป ที่เค้ามี Skill นี้ติดตัว แล้วผมคงไม่สามารถเลียนแบบได้ บางทีเค้าก็ใส่ไข่จนเกินจริงไปนิดนึงครับ เพื่อให้คนรอบข้างที่เค้าไปขอคำปรึกษาเห็นใจ แล้วคิดว่าการกระทำแบบนี้ มันเป็นการกระทำที่ถูกต้อง เพราะทำตามความเรียกร้องจากหัวใจของเค้าทั้งคู่
พวกเค้าไม่แคร์ครับ
"จะไม่ยอมเป็นคนดี ที่ไม่มีความสุข" ข้อความนี้ผมเห็นที่ Facebook ภรรยาเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมก็ยังไม่เข้าใจครับ เพิ่ง Get นี่แหล่ะ
หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มนัดเดท นัดเที่ยวค้างคืนด้วยกันเรื่อยมา โดยต่างก็โกหกทางคู่สมรสของตนว่าไปกับบริษัทฯ บ้าง อะไรบ้าง
แต่ก่อนที่เค้าทั้งคู่จะเริ่มชีวิตคู่ใหม่กัน พวกเค้าคงต้องฝ่าฝันอุปสรรคใหญ่ 4 เรื่องข้างล่างนี้ไปให้ได้ก่อนครับ
1.ผมกับภรรยาของฝ่ายชาย ก็ add เฟส เพื่ออัพเดทข้อมูล ความเดือดร้อน หลักฐาน ฯลฯ ที่เราทั้งคู่รวบรวมได้มา และจะใช้เมื่อถึงเวลาอันควร
2.ผมกับภรรยาผม ก็มีโอกาสได้คุยกับญาติของทางฝ่ายชายคนใหม่ ทางนั้นเค้าก็ไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ครับ ยืนกรานว่า เค้าไม่มีทางรับภรรยาผมเข้าบ้านแน่นอน เพราะผู้หญิงที่ดี เค้าจะไม่ทิ้งสามี และลูกหรอก
3.ที่บ้านภรรยาผมเอง ผมก็ได้คุยกับแม่ยายแล้ว แม่ยายผมบอกว่าถ้าภรรยาผมยังดึงดัน แบบนี้ต่อไป เค้าจะให้ภรรยาผมไปเปลี่ยนนามสกุลใหม่ (ปัจจุบันเค้ายังใช้นามสกุลเดิมของบ้านเค้าอยู่ครับ) จะตั้งเป็นอะไรก็ตั้งไป แล้วก็ไม่ต้องกลับมาบ้านให้เห็นหน้ากันอีก
4.ภรรยาของฝ่ายชายทนไม่ไหว ได้ยื่นเรื่องพฤติกรรมของสามีกับต้นสังกัดของหน่วยงานที่ฝ่ายชายทำงานอยู่ เพื่อให้ฝ่ายชายหยุดพฤติกรรมนี้อยู่ ผลก็ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรครับ เพราะถ้าฝ่ายชายไม่หยุด ก็อาจจะมีการลงโทษกันตามวินัยข้าราชการต่อไปครับ
หลังจากผมทราบเรื่องการคบชู้ของภรรยา พวกเราก็เปิดอกคุยกัน เค้าก็บอกข้อเสียของผมต่างๆ นา
ที่เคยทำไม่ดีกับเค้า ที่ทำไม่เหมือนตั้งแต่สมัยเป็นแฟนกันใหม่ หรือช่วงแรกที่คบหากัน เช่นไม่ตัดเล็บให้ ไม่จูงข้ามถนน ไม่เช็ดหน้า ฯลฯ
ผมก็ยอมรับผิด และขอโทษเค้าครับ ที่ไม่สามารถรักษามาตรฐานตรงนั้นไว้ได้ ซึ่งหลังจากนั้นผมก็พยายามปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้นครับ
2 เดือนผ่านไป หลังจากได้เปิดอกคุยกับภรรยา เค้าชมว่าผมทำตัวได้ดีขึ้นมาก ถ้าเป็นสมัยก่อน เค้าคงรักตายเลย แต่ตอนนี้คงทำไม่ได้แล้ว
เค้าเลิกรักฝ่ายชายทางนั้นไม่ได้จริงๆ ผมเลยรีบตัดบทว่า แล้วจะยังไงต่อ เพราะเราทั่งคู่ ก็ยังไม่พร้อมที่จะเลิกกันตอนนี้ เค้ายังยินดีจะอยู่กับผมต่อไป แต่ไม่ให้ผมฟ้องร้องฝ่ายชาย แต่ก็ขอโอกาสก็ต้องให้เค้ากับฝ่ายชายได้คุย ได้เจอกันบ้าง ผมก็ตกลงครับ ผมทราบดีครับว่ามันเสียเปรียบ แต่ขณะนั้น ไร้ทางเลือกอื่น นอกจากทางนี้ ทางเดียว เพื่อถ่วงเวลาให้ลูกรู้เรื่องนี้ช้าที่สุด เพื่อให้กระทบลูกผมน้อยที่สุด เลยต้องยอมเงื่อนไขแบบนี้ไปก่อน
ส่วนฝ่ายชายกับภรรยาเค้า ปัจจุบันได้รับลูกคนโตมาอยู่ด้วยกันแล้ว เพราะทางภรรยาคิดว่าการนำลูกมาอยู่ จะหยุดพฤติกรรมของพ่อได้
แต่ภรรยาเค้าคาดผิดครับ เพราะฝ่ายชาย ช่วงวันหยุด ก็ยังทิ้งลูก เพื่อไปพบภรรยาผมอยู่เรื่อยๆ ทางภรรยาเค้าก็พยายามทน และพูดให้ทำเพื่อลูกหลายครั้งแล้ว แต่ก็เหมือนไม่มีอะไรดีขึ้นมา ฝ่ายชายยังยืนกรานที่จะเลิกกับภรรยาเสียให้ได้ เพื่อให้ได้มาคบหากับภรรยาผมอย่างถูกต้อง
ที่เล่ามาทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องที่ผมยังหาทางออกที่ดีกว่านี้ไม่ได้เลยครับ จากเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับภรรยา มันจะต้องเป็นแบบนี้ไปอีกนานแค่ไหนกัน หรือผมควรจะต้องรับสภาพนี้ไปก่อน จนกว่าจะหาทางออกที่ดีที่สุดได้ครับ ท่านใดมีวิธีจัดการปัญหาแบบนี้ ผมรบกวนช่วยแนะนำด้วยครับ
ขอบคุณมากครับที่อ่านจนจบ และให้คำแนะนำ