จากมติชนออนไลน์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้า วันที่ 18 มิถุนายน ตำรวจชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้าจับกุมกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุทำอนาจารหญิงสาว และช่วยกันรุมทำร้ายพลเมืองดี สองสามีภรรยา และเจ้าของร้านอาหารที่เข้าช่วยเหลือจนได้รับบาดเจ็บ หลังจากศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อนุมัติหมายจับกลางดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยจู่โจมเข้าจับกุมชาย 4 คนได้เมื่อกลางดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมาเช่นกัน ที่บ้านพักเขตตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากนัก พร้อมตั้งข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาได้แก่ นายธีระพงษ์ สิบมาเกตุ อายุ 21 ปี หรือ แบงค์ บ่อโพง พร้อมเยาวชนชายอีก 3 คน ทั้งหมดยอมรับสารภาพว่า
โมโหที่พลเมืองดีทุกคนเข้ามาช่วยเหลือหญิงสาว จึงช่วยกันรุมทำร้าย แต่ยังไม่ยอมรับว่า ลวนลามหญิงสาว ตลอดเวลาที่ถูกสอบปากคำญาติของผู้ต้องหา และผู้ต้องหาเอง แสดงพฤติกรรมยียวน ไม่สำนึกต่อความผิดที่ได้กระทำลงไป และไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ทั้งนี้ นางสาววิไลวรรณ บุญยอ ภรรยาของพลเมืองดีที่บาดเจ็บสาหัส กล่าวอย่างเสียความรู้สึกว่า
ผู้ก่อเหตุมีมากกว่านี้ อีกทั้งพฤติกรรม รุมทำร้ายแบบจะฆ่าให้ตาย ด้วยอาวุธและตามไล่ทำร้ายแบบไม่ลดละ ร้องขอชีวิตแล้วและวิ่งหนีเข้าป่าแล้ว ยังไม่ยอมหยุด แต่ทำไมตำรวจตั้งข้อหาเบาหวิวมาก แค่ทำร้ายร่างกาย แบบนี้ต่อไปสังคมจะเป็นอย่างไร หากตำรวจจะช่วยเหลือ ควรช่วยเหลือคนดี ที่ถูกทำร้ายเกือบตาย ไม่ใช่ช่วยเหลือคนร้าย ที่ไม่สำนึกผิด เพียงแค่เขาอายุ 18 ปีเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เมื่อคืนวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายวธัญญู ธัญพันธุ์ อายุ 24 ปี อาชีพพนักงานโรงงาน อยู่บ้านเลขที่ 39 หมู่ 3 ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนางสาววิไลวรรณ บุญยอ 31 ปี ได้เข้าช่วยเหลือ นางสาวณัฐพัชร์ ศรีสังข์งาม อายุ 29 ปี ที่กำลังถูกกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่น 5 คนลวนลาม บนถนนสายเอเชีย ด้วยการพาหญิงสาวที่เคราะห์ร้ายขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนี แต่คนร้ายขับตามและทำร้ายร่างกาย ทั้ง 3 คน จนได้รับบาดเจ็บ กระทั่งหนีมาขอความช่วยเหลือ จากนายสนอง หัศดวง
เจ้าของร้านอาหารที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บเช่นกัน ก่อนที่เจ้าของร้านนำปืนออกมายิงขึ้นฟ้า ทำให้กลุ่มวัยรุ่นแยกย้ายหลบหนีไป
นางสาววิไลวรรณ ภรรยาผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก และคิดว่าตายกันหมดแน่นอน
ขับรถหนีไปบนถนนก็ถูกตามไล่จะฆ่า ทิ้งรถวิ่งหนีเข้าป่า วิ่งมาถึงหน้าร้านค้า ก็ตามมารุมแตก ตี ด้วยไม้ เหล็ก ขวด
"มันมีกัน 5 คน เป็นผู้ชายกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่น เจ้าของร้านอาหารมาช่วยก็โดนทำร้ายไปอีก มันไม่หยุด เตะตีเรายิ่งกว่าหมา มันจะเอาให้ตาย" น.ส.วิไลวรรณกล่าว และว่า
กลุ่มวัยรุ่นได้เอาโทรศัพท์และกระเป๋าเงินของตนเองไปได้ โดยพบว่า มีคนพยายามมาเคลียร์ขอให้ไม่เอาความและนำทรัพย์สินมาคืนให้ และแนะนำว่าควรให้การกับตำรวจว่าเป็นการเข้าใจผิด
"ถามว่าเข้าใจผิดอะไร มันจะฆ่าพวกหนู พวกหนูช่วยเหลือคนแต่พวกมันจะฆ่า บอกได้คำเดียวว่าคนพวกนี้ หนักโลกและควรอยู่ในคุกไม่ควรอยู่ในสังคม หนูไม่ยอมแน่นอน และเหตุการณ์ช่วยเหลือและโดนทำร้ายแบบนี้เกิดครั้งเป็นครั้งที่ 2 ของแฟนแล้ว โดยครั้งแรกเมื่อกว่า 1 ปีที่ผ่านมา โดยหากเห็นใครเดือนร้อนแฟนจะให้การช่วยเหลือทันที" น.ส.วิไลวรรณกล่าว
ด้านนางสาวณัฐพัชร์ หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายและรอดอย่างหวุดหวิด กล่าวว่า หลังเลิกงาน ได้นั่งรถเพื่อกลับบ้านในอำเภอนครหลวง ช่วงเกิดเหตุพอตนเองลงจากรถ และถูกกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากจะเข้ามาลวนลามด้วยอาการเมาสุรา
ตนเองตกใจมากและติดว่าตกเป็นเหยื่อแน่นอน เพราะที่ดังกล่าวถึงแม้จะเป็นจุดต่อรถและแยกใหญ่ แต่กลับมืดไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง และพยายามร้องขอชีวิต และร้องขอให้คนช่วยอยู่นาน แต่ไม่มีรถจอด จนกระทั่งสองสามีภรรยาผ่านมาและช่วยเหลือตนเอง เรื่องนี้ตนจะไม่ยอมและขอเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพราะทราบว่ากลุ่มวันรุ่นเจ้าถิ่น มีการคุยกันแถวนั้นว่าใหญ่โตและรู้จักตำรวจมากมาย
ขณะที่ นายสนอง เจ้าของร้านต้มเลือดหมูและซุปหางวัว เลขที่ 66/11 หมู่ 2 ตำบลบ่อโพง ที่บาดเจ็บและเป็นหนึ่งในพลเมืองดีกล่าวว่า พวกวัยรุ่นโหดมากและไม่ยอมหยุด ซึ่งก็เป็นวัยรุ่นแถวนี้ ทั้งนี้
ตนเองทำความดีจะกลัวอะไร คนทำไม่ดียังไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง หากทำความดีและกลัวบ้านเมืองก็จะไม่สงบสุข
จับได้แค่4ทรชนลวนลามสาว-ทำร้ายพลเมืองดีกะถึงตาย โจ๋ไม่สำนึกอ้างโมโห ตร.ตั้งข้อหาแค่ทำร้ายร่างกาย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อช่วงเช้า วันที่ 18 มิถุนายน ตำรวจชุดสืบสวนสถานีตำรวจภูธรนครหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา เข้าจับกุมกลุ่มวัยรุ่นที่ก่อเหตุทำอนาจารหญิงสาว และช่วยกันรุมทำร้ายพลเมืองดี สองสามีภรรยา และเจ้าของร้านอาหารที่เข้าช่วยเหลือจนได้รับบาดเจ็บ หลังจากศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา อนุมัติหมายจับกลางดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมา โดยจู่โจมเข้าจับกุมชาย 4 คนได้เมื่อกลางดึกของเมื่อคืนที่ผ่านมาเช่นกัน ที่บ้านพักเขตตำบลบ่อโพง อำเภอนครหลวง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่เกิดเหตุมากนัก พร้อมตั้งข้อหา ร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้อื่นจนได้รับบาดเจ็บ
ทั้งนี้ ผู้ต้องหาได้แก่ นายธีระพงษ์ สิบมาเกตุ อายุ 21 ปี หรือ แบงค์ บ่อโพง พร้อมเยาวชนชายอีก 3 คน ทั้งหมดยอมรับสารภาพว่า โมโหที่พลเมืองดีทุกคนเข้ามาช่วยเหลือหญิงสาว จึงช่วยกันรุมทำร้าย แต่ยังไม่ยอมรับว่า ลวนลามหญิงสาว ตลอดเวลาที่ถูกสอบปากคำญาติของผู้ต้องหา และผู้ต้องหาเอง แสดงพฤติกรรมยียวน ไม่สำนึกต่อความผิดที่ได้กระทำลงไป และไม่เกรงกลัวกฎหมาย
ทั้งนี้ นางสาววิไลวรรณ บุญยอ ภรรยาของพลเมืองดีที่บาดเจ็บสาหัส กล่าวอย่างเสียความรู้สึกว่า ผู้ก่อเหตุมีมากกว่านี้ อีกทั้งพฤติกรรม รุมทำร้ายแบบจะฆ่าให้ตาย ด้วยอาวุธและตามไล่ทำร้ายแบบไม่ลดละ ร้องขอชีวิตแล้วและวิ่งหนีเข้าป่าแล้ว ยังไม่ยอมหยุด แต่ทำไมตำรวจตั้งข้อหาเบาหวิวมาก แค่ทำร้ายร่างกาย แบบนี้ต่อไปสังคมจะเป็นอย่างไร หากตำรวจจะช่วยเหลือ ควรช่วยเหลือคนดี ที่ถูกทำร้ายเกือบตาย ไม่ใช่ช่วยเหลือคนร้าย ที่ไม่สำนึกผิด เพียงแค่เขาอายุ 18 ปีเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ เมื่อคืนวันที่ 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา นายวธัญญู ธัญพันธุ์ อายุ 24 ปี อาชีพพนักงานโรงงาน อยู่บ้านเลขที่ 39 หมู่ 3 ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนางสาววิไลวรรณ บุญยอ 31 ปี ได้เข้าช่วยเหลือ นางสาวณัฐพัชร์ ศรีสังข์งาม อายุ 29 ปี ที่กำลังถูกกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่น 5 คนลวนลาม บนถนนสายเอเชีย ด้วยการพาหญิงสาวที่เคราะห์ร้ายขึ้นรถจักรยานยนต์หลบหนี แต่คนร้ายขับตามและทำร้ายร่างกาย ทั้ง 3 คน จนได้รับบาดเจ็บ กระทั่งหนีมาขอความช่วยเหลือ จากนายสนอง หัศดวง เจ้าของร้านอาหารที่ถูกทำร้ายบาดเจ็บเช่นกัน ก่อนที่เจ้าของร้านนำปืนออกมายิงขึ้นฟ้า ทำให้กลุ่มวัยรุ่นแยกย้ายหลบหนีไป
นางสาววิไลวรรณ ภรรยาผู้บาดเจ็บ กล่าวว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก และคิดว่าตายกันหมดแน่นอน ขับรถหนีไปบนถนนก็ถูกตามไล่จะฆ่า ทิ้งรถวิ่งหนีเข้าป่า วิ่งมาถึงหน้าร้านค้า ก็ตามมารุมแตก ตี ด้วยไม้ เหล็ก ขวด
"มันมีกัน 5 คน เป็นผู้ชายกลุ่มวัยรุ่นเจ้าถิ่น เจ้าของร้านอาหารมาช่วยก็โดนทำร้ายไปอีก มันไม่หยุด เตะตีเรายิ่งกว่าหมา มันจะเอาให้ตาย" น.ส.วิไลวรรณกล่าว และว่า กลุ่มวัยรุ่นได้เอาโทรศัพท์และกระเป๋าเงินของตนเองไปได้ โดยพบว่า มีคนพยายามมาเคลียร์ขอให้ไม่เอาความและนำทรัพย์สินมาคืนให้ และแนะนำว่าควรให้การกับตำรวจว่าเป็นการเข้าใจผิด
"ถามว่าเข้าใจผิดอะไร มันจะฆ่าพวกหนู พวกหนูช่วยเหลือคนแต่พวกมันจะฆ่า บอกได้คำเดียวว่าคนพวกนี้ หนักโลกและควรอยู่ในคุกไม่ควรอยู่ในสังคม หนูไม่ยอมแน่นอน และเหตุการณ์ช่วยเหลือและโดนทำร้ายแบบนี้เกิดครั้งเป็นครั้งที่ 2 ของแฟนแล้ว โดยครั้งแรกเมื่อกว่า 1 ปีที่ผ่านมา โดยหากเห็นใครเดือนร้อนแฟนจะให้การช่วยเหลือทันที" น.ส.วิไลวรรณกล่าว
ด้านนางสาวณัฐพัชร์ หญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายและรอดอย่างหวุดหวิด กล่าวว่า หลังเลิกงาน ได้นั่งรถเพื่อกลับบ้านในอำเภอนครหลวง ช่วงเกิดเหตุพอตนเองลงจากรถ และถูกกลุ่มวัยรุ่นจำนวนมากจะเข้ามาลวนลามด้วยอาการเมาสุรา ตนเองตกใจมากและติดว่าตกเป็นเหยื่อแน่นอน เพราะที่ดังกล่าวถึงแม้จะเป็นจุดต่อรถและแยกใหญ่ แต่กลับมืดไม่มีไฟฟ้าส่องสว่าง และพยายามร้องขอชีวิต และร้องขอให้คนช่วยอยู่นาน แต่ไม่มีรถจอด จนกระทั่งสองสามีภรรยาผ่านมาและช่วยเหลือตนเอง เรื่องนี้ตนจะไม่ยอมและขอเอาเรื่องให้ถึงที่สุด เพราะทราบว่ากลุ่มวันรุ่นเจ้าถิ่น มีการคุยกันแถวนั้นว่าใหญ่โตและรู้จักตำรวจมากมาย
ขณะที่ นายสนอง เจ้าของร้านต้มเลือดหมูและซุปหางวัว เลขที่ 66/11 หมู่ 2 ตำบลบ่อโพง ที่บาดเจ็บและเป็นหนึ่งในพลเมืองดีกล่าวว่า พวกวัยรุ่นโหดมากและไม่ยอมหยุด ซึ่งก็เป็นวัยรุ่นแถวนี้ ทั้งนี้ ตนเองทำความดีจะกลัวอะไร คนทำไม่ดียังไม่กลัวกฎหมายบ้านเมือง หากทำความดีและกลัวบ้านเมืองก็จะไม่สงบสุข