โศกนาฏกรรมรัก (ของ ๒ นักเรียนไทย) ณ กรุงปารีส ... ในฤดูใบไม้ผลิ สรุปเป็นเรื่องแต่งใช่มั้ยคะ

ตอนแรกที่อ่านเข้าใจว่าเป็นเรื่องจริง แต่พอติดตามไปเรื่อยๆเริ่มรู้สึกว่าแปลกๆเหมือนไม่สมจริงในบางตอน

ทั้งในเรื่องการช่วยเหลือของทีมแพทย์ ที่ไม่มีการให้การปฐมพยาบาลเบื้องต้น เช่น ออกซิเจน หรือการให้ยาระงับปวดก่อนจะทำการเคลื่อนย้ายโบกี้ ทั้งๆที่นายแพทย์หลุยส์ก็บอกเองว่า น้องตาลน่าจะทรมานมากเพราะกระดูกสันหลังยังไม่ถูกตัดขาด

และ Veine cave inférieure หมายถึงหลอดเลือดดำใหญ่ ไม่ใช่หลอดเลือดแดง
และหลอดเลือดทีี่ส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายรวมถึงก้านสมอง คือ หลอดเลือดแดงที่เรียกว่า aorta  ไม่ใช่Veine cave supérieure ซึ่งเป็นหลอดเลือดดำใหญ่ที่รับเลือดกลับจากสมองต่างหาก

จะว่าคุณหมอไม่สันทัดภาษาไทยก็ไม่น่าใช่ เพราะสามารถเขียนเรื่องโดยใช้สำนวนภาษาได้คล่องและลื่นไหลดีมาก

อีกประการหนึ่งก็คือ ในภาวะคับขันต่อความเป็นความตายขนาดนั้น ทีมแพทย์ยังพยายามตามตัวคุณหมอมาเพียงเพื่อไปคุยกับคนเจ็บ แม้จะเห็นว่าเป็นคนไทยก็ตาม  เพราะน้องตาลก็สามารถพูดอังกฤษได้อยู่แล้ว(เป็นนักเรียนในอเมริกา)  แพทย์ฝรั่งเศสก็น่าจะสื่อสารภาษาอังกฤษได้เช่นกัน (ไม่ใช่คนฝรั่งเศสทั่วไปที่ไม่ยอมพูดภาษาอื่น)
การช่วยเหลือโดยเร็วน่าจะสมเหตุสมผลกว่ายืดเวลาอันมีค่านี้ไปเพื่อรอแพทย์ชาวไทยมาคุยด้วย

และเหตุการณ์อื่นๆที่ตามมาก็บังเอิญอย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งเรื่องคุณยาย จนถึงตอนสุดท้ายที่นายป๋องตายเพราะเข้าไปช่วยน้องแตน

อีกอย่างคือคนในเรื่องทั้งคุณดา น้องแตน  นายป๋อง ไว้เนื้อเชื่อใจคุณหมอเป็นอันมาก ทั้งสามคนเล่ารายละเอียดต่างๆให้คุณหมอฟังทั้งๆที่คุณหมอเป็นคนนอกและเพิ่งเจอกันไม่กี่วันเท่านั้น (ตรงนี้อาจจะเป็นเพราะบุคลิก การพูดจาของคุณหมอก็เป็นได้)

กำลังสงสัย ก็พอดีเหลือบไปเห็นtagของคุณหมอ  มีtag 'แต่งเรื่องสั้น' ด้วยยิ้ม
อ้าว ก็งงอยู่ตั้งนาน  นี่เราไม่อ่านtagให้ดีเองนี่นา คุณหมอเค้าก็จั่วหัวไว้ที่tagแล้วว่านี่เป็นเรื่องแต่ง  
สรุป เราอินไปเอง สงสัยไปเอง เฮ้อ

ปล ขออนุญาตtagแพทย์ เพื่อมาพูดคุยแลกเปลี่ยนประเด็นการช่วยเหลือผู้ป่วยเบื้องต้น และเรื่องศัพท์แพทย์ค่ะ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 193
จขกท นะคะ
มีสิ่งที่อยากจะชี้แจงเพิ่มเติม

แรกที่ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา  ถ้าอ่านดีๆไม่มีเนื้อความใดเลยที่พาดพิงถึงตัวคุณหมอ  แต่ตั้งคำถามเกี่ยวกับจุดบกพร่องในศัพท์แพทย์และประเด็นการช่วยเหลือคนเจ็บที่มีข้อกังขา  ที่จขกท อยากได้คห จากทั้งบุคลากรและคนทั่วไป เรื่องการให้ยาระงับปวด เห็นควรไม่ควรอย่างไร แล้วก็ได้รับความคิดเห็นหลายแง่มุม เช่น บางคห บอกว่าถ้าให้อาจจะเมายา โต้ตอบไม่รู้เรื่อง พลาดโอกาสที่จะได้คุยกับคุณแม่ ถือเป็นคห ที่น่าคิด ว่าระหว่างความเจ็บปวดในวาระสุดท้าย กับการได้คุยกับบุคคลที่รักในนาทีชีวิต ทุกคนย่อมมีสิทธิ์เลือกว่าจะเอาทางใด

ซึ่งการออกมาแสดงความคิดเห็นแบบนี้ คงจะไม่เป็นประเด็นขึ้นมาเลยถ้าไม่มีคนมาถามเดาว่าจขกท เป็นแพทย์ เมื่อมีคนถาม จขกท จึงตอบไปตามจริง เมื่อทราบว่าจขกท เป็นแพทย์ จึงเกิดข้อตำหนิมากมายเกี่ยวกับมารยาททางวิชาชีพว่าทำไมไม่สอบถามกับทางคุณหมอก่อน  ซึ่งในกรณีนี้ จขกท ก็ได้ยอมรับผิดไปแล้วแต่โดยดี
แต่ประเด็นอื่นๆเรื่องการช่วยเหลือคนเจ็บและการวิเคราะห์ว่าเป็นเรื่องจริงหรือแต่งนั้น ย่อมเป็นสิทธิ์ของคนอ่านทุกคนรวมถึงจขกท การสอบถามไปยังผู้เขียนนั้นไม่ได้ช่วยในส่วนนี้ เพราะผู้เขียนจะบอกอย่างไรก็ได้ อีกทั้งมีเรื่องสิทธิคนไข้มาเกี่ยวข้อง จึงเป็นการใช้วิจารณญาณของผู้อ่านเองจากข้อมูลแวดล้อมและประสบการณ์ชีวิตของแต่ละคน ในการให้เหตุผลว่าทำไมเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงหรือแต่ง  ทั้งนี้ไม่ได้มีข้อความใดที่่มีการขอให้เปิดเผยตัวบุคคลในเรื่องเลย   นี่คงพอเป็นคำตอบได้ว่าทำไม จขกท ไม่ถามคุณหมอเองว่าตกลงเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องแต่ง

เรื่องข้อคิดจากเนื้อเรื่อง เข้าใจได้ง่ายอยู่แล้วว่าจะสื่ออะไร  และการเอาผลงานมาลงในเว็บสาธารณะที่มีคนอ่านถึงสามแสนคน ย่อมต้องมีคำวิจารณ์ตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ตราบใดที่ขอบเขตการวิจารณ์อยู่ที่ตัวเนื้องาน ไม่ได้พาดพิงถึงผู้เขียน

ใครเข้ามาให้ความเห็นอย่างสุภาพ แม้จะแย้ง จขกท ตำหนิว่ามีอคติ ตั้งธง แต่มิได้กล่าวล่วงมาถึงเรื่องส่วนตัวของ จขกท  จขกท ก็รับฟังด้วยดี ไม่ได้โต้ตอบอะไร
ใครเข้ามาพาดพิงถึงจขกท และเพื่อนร่วมสายงานตัวเองโดย เช่น เป็น นศพ เกรียน ร้อนวิชา เป็นหมอจบใหม่ (แล้วยังไง?เค้าเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์แสดงความเห็นหรือ?) เช่นนี้การโต้ตอบย่อมเป็นสิทธิ์ของ จขกท และไม่ได้มีคำหยาบในนั้นแม้แต่คำเดียว ทั้งนี้ไม่เกี่ยวกับการที่จขกท ทำอาชีพอะไร เพราะการเป็นแพทย์ไม่ได้แปลว่าจะต้องเป็นเป้านิ่งให้คนมาด่าว่าเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้อง  เพราะจขกท ไม่ได้ด่าคนไข้

ทีนี้มาถึงเรื่องที่คุณหมอมาให้คำตอบ  ไม่เพียงแต่ตอบในประเด็นที่จขกท สงสัย  แต่ยังกล่าวล่วงมาถึงการที่จขกท ตอบโต้กับคห อื่นดังที่ได้เขียนไปแล้วข้างบน
มีการอ้างต่างๆนานาว่า จขกท ไปทำไม่ดีต่อเพื่อนร่วมสายงานโดยมิได้ดูในข้อเท็จจริงที่ว่าใครเป็นฝ่ายเริ่มก่อน  และจริงๆแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของคุณหมอจะต้องมาให้ความเห็นในส่วนนี้เลยเพราะเป็นความขัดแย้งระหว่างบุคคล   แต่คุณหมอก็ยังเลือกที่จะเข้ามายุ่งเกี่ยวอาจด้วยเหตุผลที่ต้องการปกป้องแฟนคลับ

คุณหมอกล่าวว่าสามารถเช็คไอพีของจขกท ได้ไม่ว่าจะเล่นจากเครื่องไหน เพราะได้ทิ้งหลักฐานเอาไว้ ? จขกท ก็ยังสงสัยว่า ตนเองไปก่อคดีอาญาอะไรไว้จึงเป็นเหตุให้คุณหมอใช้คำว่า ทิ้งหลักฐานไว้ให้ตรวจสอบ   แค่วิจารณ์ผลงานเป็นเรื่องใหญ่? ฟ้องร้องได้?
ยืนยันว่าถ้าทีมงานพันทิปจะเช็คไอพี หาตัวตนของจขกท สามารถทำได้ทุกเวลา หากมีเหตุผลที่เหมาะควรในการกระทำนั้น และไม่ละเมิดสิทธิ์ของ จขกท

คุณหมอตั้งใจที่จะพาดพิง และตำหนิจขกท ก่อน ในแง่ที่ไม่เกี่ยวกับผลงานของคุณหมอ จึงเป็นที่มาของคห ที่136  เพราะคุณทำอย่างไรมาก็ย่อมได้รับสิ่งเดียวกันกลับไป   อาจมีข้อความที่แสลงหูหลายคน  เพราะคิดแล้วพิมพ์ทันที ไม่ได้มีการเตรียมตัว  ดัดแปลง  capเอา รูปภาพ บทเพลง มาใส่ และไม่ได้มีความรู้ในการใช้หลักจิตวิทยาเพื่อโน้มน้าวจิตใจคนอ่านให้คล้อยตามอย่างคอมเม้นต์ของคุณหมอ

สุดท้ายแล้ว จขกท ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลยจากการตั้งกระทู้นี้ นอกจากตกเป็นจำเลยในสายตาแฟนคลับหลายคน  ทั้งๆที่ ถ้าปล่อยให้ผลงานตีพิมพ์ไปพร้อมข้อผิดพลาดเหล่านั้น ผลเสียก็จะตกอยู่ที่ผู้เขียนเอง และแก้ไขได้ยากเพราะมันได้จำหน่ายสู่สายตาคนจำนวนมากแล้ว  

จบจากกระทู้นี้ไป จขกท เชื่อว่าหากมีจุดบกพร่องในผลงานใดๆของคุณหมออีกก็ตาม ก็คงไม่มีใครอยากจะทักท้วงหรือตั้งข้อสงสัยอีกแล้ว เพราะมีแต่เปลืองตัว  และมีไม่กี่คนเท่านั้นที่เข้าใจสิ่งที่ต้องการจะสื่อ  ในขณะที่คุณหมอได้รับประโยชน์เพราะได้แก้ไขจุดบกพร่อง ได้กลับไปปรับเนื้อเรื่องให้รัดกุมมากขึ้นก่อนตีพิมพ์ และถือโอกาสเหยียบซ้ำคนเตือนอย่างแนบเนียน  พร้อมๆกับได้รับคำชื่นชมจากแฟนคลับไปพร้อมๆกัน

ขออโหสิ และ ขออภัย แก่ทุกความเห็นที่ได้ขัดแย้งกับ จขกท รวมทั้งคนที่บ่นว่าเกลียด จขกท และไม่คิดจะเจอ จขกท ที่รพ ไหนอีก เพราะสุดท้าย ถ้าโลกมันกลมอย่างเรื่องของคุณหมอจริง   เราอาจได้พบกัน หรือเคยพบกันโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ยิ้ม
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 108
ผมได้เห็นกระทู้นี้มาสักพักแล้ว แต่ไม่ได้เข้ามาตอบเพราะเจ้าของกระทู้ ซึ่งอนุมานว่า น่าจะเป็นแพทย์หญิงท่านหนึ่งในประเทศไทย (ตามการอ้างอิงจาก IP Address และจากข้อมูลต่าง ๆ ทิ้งไว้เป็นหลักฐานในกระทู้นี้) ยังไม่ได้เข้ามาบอกผมด้วยตัวเอง

ทั้งนี้ ผมไม่เคยบอกว่าตัวผมมีอาชีพเป็นนักเขียน ผมเรียกตัวเองว่าเป็น "คนเล่าเรื่อง" เหมือนที่ผมเล่าให้คนที่ผมรู้จัก (อาจารย์ฯ นักเรียนที่ผมสอน ฯลฯ) ได้ฟัง ได้คิด ได้พิจารณา หากเขาเหล่านั้นมีความสนใจประสบการณ์ที่ผมผ่านมา

เข้าประเด็น Q & A ที่ผมถูกถาม (ลอย ๆ) ที่ผมขอตอบในฐานะ "แพทย์ร่วมโลก" กับเจ้าของกระทู้ (ผมไม่นิยมการชกเหวี่ยงไปรอบ ๆ)

...................................................


Q : เรื่องจริงไหม?
A : เรื่องจริงครับ (Ref : http://ppantip.com/topic/30507449/comment2525) ถ้าคุณกลับไปอ่านให้ดี คุณก็จะพบกับคำตอบครับ

...................................................


Q : หลอดเลือดเขียนผิดใช่ไหม ?
A : ผมเขียนผิดครับ ยอมรับ (ผมพิมพ์สัมผัสจากแป้นพิมพ์ฝรั่งเศส + เหนื่อย + แก่) ทั้งนี้ ผมได้บอกให้บรรณาธิการตัดข้อความส่วนนี้ออกจากต้นฉบับที่กำลังรวบรวมแก้ไข รวมถึงได้ไปแก้แล้วในกระทู้ต้นฉบับตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ที่ผ่านมา ให้เป็น


ผมเขียนต้นฉบับ (แบบ Real Time) เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม (Ref : http://ppantip.com/topic/30507449/comment10) ความเห็นของคุณเป็นความเห็นย่อยที่ ๒ (Ref : http://ppantip.com/topic/30507449/comment10-2) เมื่อวันอา่ทิตย์ที่ ๑๖ มิถุนายนที่ผ่านมา


แล้วคุณก็มาตั้งกระทู้นี้ในอีกประมาณ ๔ ชั่วโมงถัดมา


ทั้งนี้ ถ้าคุณกลับไปอ่านอีกครั้ง คุณก็จะเห็นว่าประเด็นที่คุณยกขึ้นมานั้น มันได้ถูกแก้ไขแล้ว (ผมไม่ชอบการแก้ตัว) โดยถูกผมตัดทิ้งไปทั้งหมด เพราะมันไม่ได้เปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่ผมต้องการจะสื่อถึงผู้อ่านโดยส่วนใหญ่ของผม (ที่ไม่ได้เป็นแพทย์เวชปฏิบัติฯ) แต่อย่างใด

คุณได้ปัจฉิมลิขิตไว้ว่า "ปล ขออนุญาตtagแพทย์ เพื่อมาพูดคุยแลกเปลี่ยนประเด็นการช่วยเหลือผู้ป่วยเบื้องต้น และเรื่องศัพท์แพทย์ค่ะ" แต่ เมื่อมีแพทย์บางท่านเข้ามาแสดงความเห็น ยกตัวอย่างเช่น Réf : http://ppantip.com/topic/30613055/comment108 เมื่อวานนี้ (๑๘ มิถุนายน) คุณก็ไปว่าเพื่อนร่วมวิชาชีพในประเทศเดียวกันกับคุณ (ผมอยู่ต่างประเทศ) ทั้งที่คุณเองก็ยังไม่ได้กลับไปดูกระทู้ต้นเรื่องในประเด็นที่คุณอ้างถึงหลอดเลือด etc ว่าผมได้แก้ไข (ในที่นี้คือตัดออกไป)

เรื่องขอความเห็น (ในแบบของคุณนั้น) ผม Post เรื่องนี้ไว้ในห้องแพทย์ตั้งนานแล้ว ... รุ่นพี่ที่ผมเคารพ รุ่นน้องที่ให้เกีัียรติผม ก็พอเห็นพอทราบกันอยู่

(http://www.thaiclinic.com/cgi-bin/wb_xp/YaBB.pl?board=doctorroom;action=display;num=1369150896)



เชื่อเถอะว่าครับคุณไม่ใช่แพทย์คนเดียวหรอกครับที่อ่านเรื่องเล่าของผมเรื่องนี้ (จากสามแสนกว่าคนทั่วโลก ข้อมูลวันอังคารที่ ๑๑ มิถุนายน) รวมถึงครอบครัวของคุณดา (นามสมมติ) ด้วย


ที่ผมเลือก Pantip มาเป็นสื่อกลางในการถ่ายทอดเรื่องราวของผม เพราะผมอยู่กับ Pantip (ในฐานะคนอ่าน) มานาน ผมเชิ่้อว่า ณ วันนี้ ทีมงาน Pantip มีประสบการณ์มากพอที่จะตรวจสอบ (ด้วยวิธีทางกฏหมาย) ได้ว่าใครเป็นใคร ที่ผมเขียนบอกแฟน ๆ นักอ่าน (เรื่องเล่า) ของผมว่าผมอยู่ที่เมืองไหน ประเทศอะไร เพราะ Pantip ได้บันทึุก IP Address ของผมทุกครั้งที่ Log-in เข้าไป (ลองพิสูจน์ดูนะครับว่าสิ่งที่ผมพูดนั้น เป็นจริงหรือไม่?) ถ้า Pantip จะหาคุณหรือผมก็คงเป็นไปได้ในทางปฏิิบัติ (แม้คุณจะใช้ Log-in จากโทรศัพท์มือถือที่คุณจะใช้หรือไม่ใช้หมายเลขนั้นก็ตาม)

อนึ่ง ผมไม่ได้อยู่ในทีมแพทย์ ผมเขียนในฐานะผู้เล่าสารอีกที แล้วผมก็พิมพ์ผิด (ขอย้ำว่า ผมพิมพ์สัมผัสจากแป้นพิมพ์ฝรั่งเศส + เหนื่อย + แก่) ซึ่งผมก็รับผิดชอบแล้วด้วยการตัดข้อความที่อาจส่งผลกระทบให้แพทย์ทีมนั้นเสียหาย เพราะผมไม่ได้ถูกเชิญไปในฐานะแพทย์ปฏิบัติการฯ แต่ในฐานะเพื่อนร่วมประเทศของน้องตาล (นามสมมติ) ทำไมเขาถึงเชิญผมในวันนั้น คำตอบอยู่ที่กระทู้นี้ครับ http://ppantip.com/topic/30473678


แม้ ณ เวลานี้ ผมจะไม่ได้ทำเวชปฏิบัติฯ ที่ฝรั่งเศสแล้ว เพราะผมเป็นแพทย์ที่ปรึกษาอาวุโส (หมอแก่) ที่ได้ License to Practice Medicine ขึ้นตรงต่อสหภาพยุโรป ซึ่งก็มากเพียงพอสำหรับการประสานกับทางการฯ ที่ต้องการคำปรึกษา (Consultation) หรือขอ Second Opinion (กรณีคนไข้ชาวไทย) จากแพทย์อย่างผม ซึ่งทางการฯ (ไม่ใช่ตัวผม) คงได้ประเมินแล้วว่า ผมน่าจะมีความสามารถเพียงพอที่จะให้ความช่วยเหลือในกรณีนั้น ๆ ได้

...................................................



Q : ทำไมผมจึง Tag ห้องสมุด (เรื่องสั้น)
A : เพราะผมลองตามที่คุณผู้อ่านท่านนี้แนะมา http://ppantip.com/topic/30496527/commment50 จากกระทู้ควายธนู ฯ ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องครั้งแรกของผมใน Pantip (ผมอ่านทุกความเห็น)


ซึ่งผมไม่เคยคิดเลยว่ามันจะก่อให้เกิดความวุ่นวาย (Catastrophe) เพราะระบบ Tags แบบใหม่ของ Pantip (ที่ผมไม่เคยมีประสบการณ์ในการใช้มาก่อน)
Ref : http://ppantip.com/topic/30507449/comment21; http://ppantip.com/topic/30507449/comment25; http://ppantip.com/topic/30507449/comment48 ซึ่งเมื่อทีมงาน Pantip ยอมรับความผิดพลาด ผมก็ต้องยอมรับความผิดพลาดของตัวผมเองเช่นกัน นั่นคือผมเขียนต่อไปในกระทู้ของผม โดยไม่แตกเป็นกระทู้ยิบย่อยออกไปอีก แม้จะมีใครแตกออกไปให้ผม ผมก็ไม่ได้ตามไปปั่นกระแสให้

ผมถูกสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ (ทั้งไทยและเทศ) ว่าอย่าไปตีฆ้องร้องป่าว เวลาไม่มีคนมาสนใจเรื่องราวที่ผมเล่า และผมมักจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับคนในวิชาชีพเดียวกัน ยกเว้นแต่ว่าผมจะโดนทำก่อน เพราะุ้ผมก็ควรจะมีสิทธิ์ในการปกป้่องตัวของผมเองเช่นกัน อีกทั้งคุณเองก็ไม่เคยส่งข้อความหาผม แต่เลือกที่จะเปิดกระทู้แยกออกไปเพื่อหาแนวร่วมทางความคิด รวมถึงการไปเชิญผมมาชี้แจงในที่อย่างสาธารณะเช่นนี้ด้วย

...................................................


สรุป

๑. ผมเขียนผิด (ผมแสดงความยอมรับผิด) และได้แก้ไขโดยการลบข้อความนั้นออกไปแล้ว (ผมแสดงความรับผิดชอบ)

๒. เรื่องที่ผมเล่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง แต่จะเกิดกับครอบครัวใด กับใคร ชื่ออะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ ผมบอกคุณไม่ได้ (What for?) ทั้งนี้ หากคุณสามารถที่จะแสดงให้ผมเห็นว่าคุณสามารถที่จะเปิดเผยข้อมูลคนไข้ของคุณ (By means of Research, Conference, Seminar, etc) โดยที่ไม่ผิดหลักการปฏิบัติทางจรรยาบรรณวิชาชีพ ไม่เพียงบทบัญญัติแพทยสภาเมืองไทย แต่จริยธรรมของแพทย์เวชปฏิบัติสากล ในเรื่องข้อมูลผู้ป่วย (Anonymity) ผมคงต้องขอสอบถามและตรวจสอบข้อมูลของคุุณไปยังหน่วยงานรับผิดชอบที่เมืองไทยว่าข้อมูลที่ึคุณชี้แจงนั้น มีความจริงเท็จแค่ไหน เพียงใด

๓. เพราะผมเป็นแพทย์โดยวิชาชีพ ผมจึงถูกสอนให้ใช้เหตุใช้ผลมากกว่าการเหวี่ยงไปรอบ ๆ (ผมขอเขียนย้ำอีกเป็นครั้งที่ ๒) การที่คุณ Object เพื่อนร่วมวิชาชีพหรือบุคคลทั่วไป ยกตัวอย่างเช่น http://ppantip.com/topic/30613055/commment43; http://ppantip.com/topic/30613055/commment64 และ http://ppantip.com/topic/30613055/commment67-7 นั้น เป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง (หากคุณเป็นแพทย์จริง)


ถ้าคุณกล่าวได้ว่า จขกท ไม่ได้ทำหน้าที่หมอในกระทู้นี้ค่ะ (ตรรกะในนิยามที่คุณเขียน)

ผมพอจะมีสิทธิ์ตอบบ้างได้ไหมว่า ผมเองก็ไม่ได้ทำหน้าที่แพทย์ในขณะที่เล่าเรื่องให้คุณผู้อ่านของผมฟังเหมือนกัน (ตามตรรกะที่คุณยกมา)

ผมไม่เห็นด้วยที่เห็นเพื่อนร่วมวิชาชีพเดียวกันมีเรื่องกันเองหรือต่อหน้าสาธารณชน เพราะมันไม่ได้ก่อให้เกิดผลดีกับวิชาชีพของเรา (แพทย์ร่วมโลก) เลยแม้แต่น้อย (คุณเองก็น่าจะเข้าใจ) ทั้งนี้ การที่ผมไม่ทำเวชปฏิบัติฯ ในเมืองไทย ไม่ได้หมายความว่าผมพูดไม่ได้ (ตามตรรกะที่คุณอ้างถึง)

ปกติผมสอนนักเรียนอย่างมากก็ Class ละ ๓๐๐ กว่าคน Open Session แบบนี้ (อนุมานว่า "ผมสอน" ทั้งที่จริงแล้วคือการ "เล่าเรื่อง" ผมเข้าใจประเด็น) แต่จะให้ผมสอนนักเรียนสามแสนกว่าคน โดยให้ทุกคนเข้าใจสิ่งที่คุณต้องการจะสื่อ คงเป็นเรื่องลำบาก

ผมเป็นอดีตทหาร (ผ่านศึก) เป็นลูกทหาร (คุณพ่อและคุณแม่) ทำงานกับทหาร ผมเป็นจิตแพทย์ที่ีดูแลทหารผ่านศึก (Veterans) บุคลิกของผมจึงเป็นแบบนี้ เพราะถ้าผมไม่เป็นตัวของผมแบบนี้ ผมคงไม่สามารถที่จะทำงานในวงการนี้ได้ และคงไม่สามารถยืนอยู่ในที่ ๆ ผมอยู่ในปัจจุบันได้

ทั้งนี้ ผมคงไม่เข้ามาตอบอีก (จนกว่าคุณจะไปเชิญผมมาจากกระทู้ของผมอีก) เพราะน่าจะมีเพื่อนแพทย์ในหมู่นักอ่านของผม (ที่เ้ข้าใจกาลเทศะ) มาช่วยชี้แจงแทนผม (เช่น เพื่อนร่วมวิชาชีพท่านอื่นจากเมืองไทย ที่ส่งข้อความมาบอกว่าตรงนั้นผมน่าจะเขียนผิด) ที่ได้ชี้ให้คุณเห็นก่อนหน้านี้แล้วว่า มารยาททางการสื่อสาร "ระหว่างเพื่อนร่้วมวิชาชีพเดียวกัน" ควรเป็นเยี่ยงไร

อนึ่ง ผมคงจะเข้ามาแก้ไขคำผิดของผมเรื่อย ๆ (ตามสไตล์) แต่ผมได้พูดสิ่งที่อยากพูดไปหมดแล้ว ในฐานะ "แพทย์ร่วมโลก" (เพราะผมไม่มีรุ่นในเมืองไทย) คุณไม่ต้องมาขอโทษผมหรอกนะครับ คุณไปขอโทษผู้ที่เข้ามาตอบกระทู้ของคุณดีกว่า (เช่น แพทย์สองท่านที่ผมยกตัวอย่าง) เพราะแค่เรื่องทุกวันนี้ "ผู้ใหญ่" ที่มองลงมาเห็นการทะเลาะกัน ... ก็เหนื่อยใจจะแย่อยู่แล้ว

ผมดูคนไข้ที่เป็นทหารผ่านศึกที่มีบาดแผลทางจิตใจที่เกิดจากการสู้รบ ถ้าคุณทำงานด้านเดียวกันกับผม เี่ราอาจได้มีโอกาสพบกันที่เมืองไทย แต่ถ้าไม่ ผมดีใจที่ได้อยู่ร่วมโลกกับคุณในฐานะมนุษย์ เราอย่าทะเลาะกันเลยนะครับ แค่นี้ปัญหาในสังคม (ทั้งของคุณและของผม) ก็น่าจะเพียงพอแล้ว

ขอบคุณอีกครั้งที่เชิญผมเข้ามาตอบกระทู้ที่คุณตั้งนี้ และชี้ให้เห็นข้อผิดพลาดจากงานเขียน (สมัครเล่น) ที่ตกหล่นไป ที่ผมยอมรับผิดและแก้ไขในสิ่งที่ผมทำผิดแล้ว ผมหวังว่าคุณก็คงจะทำเช่นเดียวกันนะครับ (โดยไม่แตกกระทู้เพิ่มและชกไปรอบ ๆ)

(Réf : คำเชิญ http://ppantip.com/topic/30595722/comment259)



...................................................



คุณพ่อสอนผมว่า ถ้าผมเหนื่อยใจเวลากลับมาทำงานที่เมืองไทย (เป็นที่ีปรึกษา, มาบรรยาย, มาสอน) ให้ผมนึกถึง "ในหลวง" แล้วใจผมจะเย็นลง

ผมดีใจครับ ... ที่ได้เกิดมาเป็นลูกของพ่อ

ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กําเนิดศิริ
จิตแพทย์เวชศาสตร์การสงคราม
กรุงปารีส สาธารณรัฐฝรั่งเศส



Quid pro quo ...

ความคิดเห็นที่ 32
จขกท เข้ามาถามเพราะสงสัยว่าเป็นเรื่องแต่ง แถมตั้งคำถามว่าสรุปว่าเป็นเรื่องแต่งใช่ไหม
โดยยกในเรื่องความไม่แม่นยำของเหตุการณ์ โดยลงประเด็นปลีกย่อยเรื่องหลอดเลือด
อันนี้ในฐานะคนอ่านชาวบ้าน ไม่รู้ชื่อเรียกหลอดเลือด แต่ไม่คิดว่าการให้ชื่อหลอดเลือดผิดเป็นเรื่องคอขาดบาดตายหรือจุดเปลี่ยนของเรื่องราวแต่อย่างใด
ยิ่งคุณหมอไม่ได้อยู่ในฐานะทีมแพทย์ฉุกเฉิน แต่มาในฐานะจิตแพทย์เพื่อมาพูดคุย คงรู้อาการจากทีมแพทย์ฉุกเฉินคร่าวๆ เท่านั้น การไม่รู้รายละเอียดการบาดเจ็บทั้งหมดอย่างแม่นยำจึงไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่
ดังนั้นการบอกชื่อหลอดเลือดผิดเส้นแม้จะเป็นแพทย์ จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกและไม่ได้เปลี่ยนข้อเท็จจริงหรือใจความสำคัญในองค์รวมของเรื่อง


เรื่องที่ 2 เรื่องภาษา ทำไมต้องตามหมอไทย หมอฝรั่งเศสก็น่าจะรู้ภาษาอังกฤษ
ผมมาเรียนที่อังกฤษจะ 4 ปีแล้ว ภาษาอังกฤษผมเรียกได้ว่าระดับพอสื่อสารซื้อปลาทอดกินได้เท่านั้น
แต่ในกรณีฉุกเฉินหรือต้องอธิบายความเจ็บป่วยเวลาไปหาหมอ ความรู้ภาษาอังกฤษของผมเรียกได้ว่าแทบสื่อสารไม่ได้
ยังไม่รวมว่าชาวฝรั่งเศสทั่วไปไม่ได้ภาษาอังกฤษดี  ขนาดตำรวจประจำที่สนามบินชาลส์ เดอ โกล ยังบอกผมเองว่าเค้าพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ตอนผมไปขอความช่วยเหลือเอกสารหาย
หรือ จนท ตม ก็ภาษาอังกฤษไม่ได้ดีเท่าไหร่
ดังนั้นแม้ทีมแพทย์จะสื่อสารกับคนเจ็บได้ ไม่ได้แปลว่าสื่อสารได้อย่างดี การมีเจ้าของภาษามาช่วยสื่อสารให้จะเพิ่มความสะดวกให้ทีมแพทย์มากขึ้น
ดังนั้นเค้าถึงเรียกตัวคุณหมอมาด้วย  และหน้าที่ของคุณหมอคือพูดคุยกับคนเจ็บ ไม่ได้ตัดสินใจเรื่องการรักษา


เรื่องที่ 3  ความบังเอิญต่างๆ อาจจะดูแปลกหรือเหลือเชื่อ แต่โลกนี้มีความบังเอิญที่แปลกพิศดารมากมาย
ครั้งนึงน้าชายผมขับรถไปเฉี่ยวคู่กรณี เลยโมโหลงไปเบ่งอ้างชื่อผู้ใหญ่คนนึง กลายเป็นว่าคู่กรณีเป็นลูกชายผู้ใหญ่คนนั้นอีก อะไรจะบังเอิญขนาดนั้น
การที่คุณหมอเคยเจอคุณยายมาก่อนแล้วคุณแม่จำได้ ไม่น่าแปลกมากนักจนถึงกับเป็นไปไม่ได้ เพราะตอนเจอก็เจอใน รพ  เจอในฐานะแพทย์
ดังนั้น  แม้เป็นเรื่องบังเอิญที่แปลก แต่ไม่ถึงกับพิศดาร


เรื่องที่ 4 ทำไมคนเพิ่งเจอกันจึงไว้ใจเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้มากมาย
ต้องบอกว่าบางครั้งคนยิ่งสนิทกัน ยิ่งยากที่จะเล่าหรือพูดคุยเรื่องอะไรที่ละเอียดอ่อนและอาจจะกระทบกระเทือนความรู้สึกกันได้
เราจึงเห็นเรื่องมากมายที่ลูกมีปัญหาแล้วไปขอคำแนะนำจากเพื่อน คนนอก ฯลฯ แทนที่จะเป็นพ่อแม่ตัวเอง
บางครั้งการพูดกับคนนอกหรือได้ระบายกับใครซักคนที่เค้ารับฟัง มันง่ายกว่าการระบายกับคนที่สนิทกับเรามากครับ จขกท เองก็น่าจะเคยตกอยู่ในถานการณ์แบบนี้
ยิ่งคุณหมออยู่ในฐานะหมอ จิตแพทย์ ด้วยสถานะก็ได้รับความไว้วางใจอยู่แล้ว และเป็นเสมือนตัวกลาง จึงง่ายที่คนอื่นๆ จะเข้าหาเพื่อพูดคุยปรึกษาครับ


เรื่องนี้คุณหมอก็บอกแล้วว่ามีพื้นฐานมาจากเรื่องจริงแต่แต่งออกมาในรูปคล้ายๆ นิยายเรื่องเล่าที่มีบทสนทนา  ดังนั้นจะคาดหวังคำพูดหรือเหตุการณ์แบบเป๊ะๆ  คงไม่ได้
แต่ในฐานะที่คุณหมอก็ไม่ได้ปกปิดตัวตน ถ้าเรื่องนี้นิยายล้วนๆ แล้วมาบอกว่าจากเรื่องจริง คนเสียคือคุณหมอ
หรือถ้าบอกว่าเรื่องนี้คือนิยายล้วนๆ  ทั้งที่มาจากโครงเรื่องจริง ก็เหมือนโกหกอีก  ดังนั้นในฐานะคนอ่านเราก็ควรเชื่อเกียรติของคุณหมอ
ถ้าบอกว่าเพราะคุณหมออยากดังหรือยากขายหนังสือ ผมว่ารายได้หรือคุณภาพชีวิตคุณหมอคงไม่ต้องมาเขียนหนังสือก็สบายแล้ว
ดังนั้นการเขียนจึงเป็นแค่การเติมเต็มอะไรบางอย่างในชีวิตอย่างที่คุณหมอบอกไว้ ตรงนี้ใครเป็นแฟนคุณหมอคงทราบดี



การที่ จขกท สงสัยก็เป็นสิทธิ์ที่สงสัยได้  แต่ด้วยมารยาทถ้าเป็นผมคงจะหลังไมค์ไปถามคุณหมอด้วยตัวเองก่อน
โดยเฉพาะถ้าจะวิจารณ์อะไรที่อาจจะเป็นในแง่ลบ เช่นข้อมูลไม่แม่น  ความบังเอิญเยอะ ผมก็คงสอบถามที่เจ้าตัวก่อนจะดูดีกว่ามาถามแบบนี้ให้คนที่ไม่รู้เหมือนกันสรุปคำตอบให้
ถ้าจะมาตั้งกระทู้ถามแบบนี้ซึ่งอาจส่งผลลบต่อเจ้าตัว ก็น่าจะขออนุญาตเจ้าตัวก่อนเพื่อเป็นการให้เกียรติและไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
ที่บอกแบบนี้เพราลักษณะการถามที่ จขกท ถาม การคิดแย้ง การตอบโต้ต่างๆ  สำหรับผมอ่านแล้วรู้สึกว่ามันมีกลิ่นอคติ และออกแนวมุ่งโจมตีมากกว่าการวิจารณ์ครับ
ความคิดเห็นที่ 33
เห็นด้วยกับการที่เจ้าของกระทู้ตั้งกระทู้นี้ขึ้นมาค่ะ พวกเราๆชอบบ่นกันว่าการศึกษาไทยสักแต่สอนให้เด็กเชื่อ ไม่สอนให้เด็กคิด แล้วในเมื่อเจ้าของกระทู้คิด สงสัย และถามออกมาแล้ว ทำไมถึงจะเป็นเรื่องผิดหรือเสียมารยาทไปได้ล่ะคะ จะบอกว่าจขกท.ตั้งธงไว้แล้วว่าเป็นเรื่องแต่ง มีอคติ เรากลับไม่รู้สึกอย่างนั้นค่ะ ที่สำคัญ คนที่บอกว่าเป็นเรื่องจริง ทราบได้อย่างไรว่าเป็นเรื่องจริง เพราะคุณหมอบอกว่าเป็นเรื่องจริงงั้นหรือคะ อย่างนี้เราว่ามันก็เรียกว่าตั้งธงไว้แล้วได้เช่นกันนะคะ

ส่วนที่หลายคนบอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือแต่งก็ไม่สนใจเพราะสนใจแต่ประโยชน์ที่ได้รับ คิดอย่างนั้นก็ได้อยู่ค่ะ แต่ถ้าหากมองให้ลึกลงไป การที่คุณหมอโพสต์เรื่องนี้ลงในพันทิพไม่ได้มีแต่ด้านที่คนอ่านได้ประโยชน์ คุณหมอเองก็ได้ประโยชน์นะคะ ได้ชื่อ ได้เป็นที่รู้จักของคนหมู่มาก หนังสือที่คุณหมอกำลังจะพิมพ์ย่อมเป็นที่จับตามากขึ้นแน่นอน เราไม่ได้กล่าวหาว่าคุณหมอเล็งผลเลิศในเรื่องนี้ไว้แต่แรกนะคะ อย่าเพิ่งมองว่าเราอคติคิดจับผิด เราแค่อยากบอกว่ามันเป็นผลพลอยได้ที่เกิดขึ้นได้ ทั้งโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจค่ะ หากจะให้ไปถามคุณหมอโดยตรง ถ้าคุณหมอบอกว่าเป็นเรื่องจริง ก็ต้องเชื่อว่าเป็นเรื่องจริงอย่างไร้ข้อกังขางั้นหรือคะ

อย่าลืมว่ากี่ครั้งแล้วที่มีคนใช้ประโยชน์จากการเป็นคนดังในพันทิพเพื่อหาประโยชน์ให้ตัวเอง กรณีคุกกี้หลงป่า ลาบไก่ใส่ตับหมู บรรดาบล็อกเกอร์เครื่องสำอาง หน้าม้าร้านอาหาร จนล่าสุดคือกรณีแม่ยูอะโกงเงิน ทั้งหมดทั้งมวลนี้ หากจะทำให้เกิดการตั้งข้อสงสัยในสิ่งที่ถูกบอกเล่ามาก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรนี่คะ เรายังจำได้เลยว่าเคยมีเด็กไทยที่ไปWAT ที่อเมริกาแล้วมีปัญหา โพสต์ขอความช่วยเหลือในพันทิพ ยังมีคนมาตั้งข้อสังเกตมากมาย ถึงขั้นเช็คไอพีว่าอาจจะเป็นเรื่องแต่ง ทั้งที่นั่นเป็นเรื่องของการขอความช่วยเหลือ ไม่เกี่ยวกับชื่อเสียงอะไรของผู้โพสต์เลยด้วยซ้ำ

เฮ้อ... โพสต์เสียยาว กลัวจริงๆว่าจะถูกแปะป้าย "อคติ จับผิด ไร้มารยาท" เสียจริงๆ เอาเถอะค่ะ ก็แค่อยากออกความเห็นบ้างก็เท่านั้นเอง
ความคิดเห็นที่ 139
อ่านมานานแล้ว...และพยายามทำใจให้นิ่งสำหรับการที่คุณจขกท.อ้างว่าเป็นการ วิจารณ์
แต่...ไม่ว่าอ่านอย่างไรก็ดูเหมือนเป็นการหาแนวร่วมที่จะจับผิดเพื่อที่จะดิสเครดิตคุณหมอวัชรพล...เพราะในการที่มีกระแสนิยมอะไรเกิดขึ้นมากๆกับคนใดคนหนึ่ง ก็ย่อมมักจะมีการกังขาเกิดขึ้นเสมอๆ...ไม่แปลกใจเลย

เพียงแต่ประหลาดใจนิดหน่อยการกังขานี้...มีการแสดงออกได้หลายอย่าง ตามวุฒิภาวะ...เช่นถามท่านผู้เขียนโดยตรงทางหลังไมค์ หรือ ถามในกระทู้ต้นเรื่อง เพราะมีช่องให้แสดงความคิดเห็นอยู่แล้ว  ยิ่งถ้าเป็นผู้มีอาชีพเดียวกันมาร่วมกันถกแถลงด้วยภาษาศิลปของผู้มีการศึกษา ย่อมเป็นประโยชน์ยิ่งสำหรับคนอ่าน

ดิฉันในฐานะที่เป็นคนหนึ่งที่เคยมีประโยชนฺ์กระแส"ความนิยม" ของการเขียนในพันทิบจนได้ออกพ๊อคเก็ตบุ๊คสองเล่ม และได้รับเชิญไปเป็นนักเขียนประจำ (อยู่ช่วงหนึ่ง แต่ก็ยาวนานถึงสามปี) ในนิตยสารหญิงไทย ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจในตัวเองในแง่ที่ว่า...เราทำได้  อีกทั้งมันได้เยียวยาความผิดในสมัยเด็กๆที่เป็นคนที่เรียนไม่เก่งด้านคณิตศาสตร์  ยิ่งเคมีชีวะด้วยแล้ว..จัดว่าโง่เลยทีเดียว
แต่ใจรักการอ่าน  การเขียน  ชอบประวัติศาสตร์ที่ทุกๆคนเห็นว่า ไม่ได้เรื่อง เห็นท่าที่จะเอาดีกับอนาคตไม่ได้ เลยถูกส่งมาเรียนไกลๆ เพราะไม่มีใครหวังว่าจะสอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยห้าแห่งที่มีของประเทศไทย (ในสมัยนั้น...)

ในช่วงที่ดิฉันเขียนและเล่าเรื่องของตัวเองอย่างเมามันส์ในพันทิบห้องไกลบ้านเมื่อประมาณร่วมสิบปีก่อนนั้น มีหนุ่มน้อยจากกรีซคนหนึ่งได้มาแอบอ่าน และส่งข้อความหลังไมค์มาทักทายด้วย  นามว่า วัชรพล (คนเดียวกันนี้ละค่ะ)  
ตอนนั้นเพียงแค่ทราบว่า เป็นหมอทหาร  ดิฉันก็ทึ่งจะแย่...ประทับใจและภาคภูมิใจที่เรามีคนไทยที่เก่งสุดยอดคนหนึ่ง เพราะภาษากรีกมันเรียนกันง่ายๆที่ไหนเล่า...

จากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกัน...เพราะไฟในการเขียนย่อมมีวันมอดรา...........แต่ก็ยังไม่เคยลืมว่าทำให้ได้รู้จักกับหนุ่มไทยในกรีซคนหนึ่ง

จนบัดนี้  หนุ่มน้อยคนที่ดิฉันได้เคยรู้จักทักทายคนนั้น มาเป็นนักเขียนเล่าเรื่องประสบการณ์ชีวิตของตัวเองในนามว่า..Psychiatrist  ที่มีสำนวนแซ่บ
ภาษาในการเขียนออกจะเป๊ะ..แถมยังใช้ศัพท์แสงแบบสมัยใหม่ถูกใจวัยรุ่นอีกด้วย  ถือว่าเป็นความสามารถมากสำหรับคนที่อยู่ต่างประเทศที่ต้องพิมพ์สลับแป้นตลอดเวลา
ดิฉันก็เลยมาเป็นหนึ่งในแฟนคลับของคุณหมอ แบบ..รักนะแต่ไม่แสดงออก อะไรปานนั้น...แค่เข้าไปร่วมแสดงความรู้สึกถูกใจและสวัสดี
ไปคุยที่ไหนก็เอาลิงค์ไปแปะให้เพื่อนๆได้อ่านด้วย ไม่ว่าจะเป็นเว็บเจ้าประจำเว็บอื่นหรือใน FB

แป๊บเดียวเองค่ะ  คุณหมอได้ส่งข้อความมาสวัสดีและรีบทบทวนความหลัง ว่า...พี่ยังจำผมได้ไหมครับ?
(โถ..ทำไมจะทำไม่ได้เล่าพ่อคุณ...พ่อหนุ่มน้อยในกรีซคนนั้นน่ะ...)
แล้วเราก็คุยกันเรื่อยๆถึงเรื่องต่างๆที่ผ่านมา ทางเส้นทางชีวิตของคุณหมอและของดิฉันในช่วงที่ขาดหายในการติดต่อ..ซึ่งเป็นที่น่ายินดีในความบังเอิญอย่างเหลือเชื่อว่า...จากการเดินทางไกลของคนไทยสองคนที่จากบ้านจากเมืองมา  เราสองคนก็ได้ลงหลักปักฐานในประเทศเดียวกัน คือ ฝรั่งเศส (ที่ดิฉันกำลังจะย้ายไปอยู่ถาวรในเดือนกันยายน)  ที่เรากำลังจะมีโอกาสพบกัน จิบกาแฟคุยกันแบบชิลๆ ที่คาเฟเล็กๆแห่งหนึ่งในกรุงปารีส
ตามประสาคนที่รักการอ่าน การเขียน การเล่าเรื่อง และมุมมองชีวิต...

คุณหมอได้ให้เกียรติดิฉันมาก..เรียกว่า พี่ ทุกคำ อีกทั้งรีบส่งคำเชิญในการที่เราจะพบปะ  รวมไปถึงการปรึกษาในเรื่องบางเรื่องที่สมควรจะเขียนถึงหรือไม่...(เป็นการสนทนากันทางโทรศัพท์ข้ามทวีป)
ดิฉันที่ว่าเคย "ทึ่ง" ในความสามารถของคุณหมอที่ได้เป็นที่ยอมรับในสหภาพยุโรปแล้ว...ยึ่งทึ่งกว่าเมื่อทราบว่า เมื่อสมัยบุชเป็นปธน. คุณหมอได้มาฝึกและร่วมทำงานที่อเมริกา ไม่ไกลไปจากที่ดิฉันอยู่นัก...จนได้รับการเสนอให้แค่ลงนามในเอกสารเพื่อที่จะเป็นอเมริกันซิติเซ่นแบบอัตโนมัติในฐานะบุคคลากรคุณภาพ
แต่..คุณหมอได้ปฏิเสธไป เพราะข้อแม้นั้น คือการที่จะต้องสละสัญชาติอื่นๆให้หมด เช่น ไทยและฝรั่งเศส  เรื่องไทยนั้น ในฐานะที่เราเกิดในผืนแผ่นดินไทยคงจะสละทางพฤตินัยไม่ได้ (ทางวาจาก็คงทำได้)  ส่วนฝรั่งเศส ก็ต้องหมดไป...
ซึ่งคุณหมอ เลือกที่จะเป็นคนสองสัญชาติ แค่ไทยและฝรั่งเศส เหมือนเดิม เพราะยังต้องประกอบอาชีพในสหภาพยุโรป ส่วนอเมริกา เอาไว้แต่เป็นประสบการณ์ในการทำงานในสาขาวิชาชีพเท่านั้น...แม้ว่าผลประโยชน์ตอบแทนทางรัฐบาลอเมริกันจะอู้ฟู่กว่าก็ตาม

หลายคนคงใหม่กับอาชีพและการทำงานของคุณหมอ...และมองไม่เห็นว่าการทำงานจิตแพทย์สงครามนั้นเป็นอย่างไร หรืออาจไม่เห็นความสำคัญ
ซึ่งในความจริงแล้ว...มันสำคัญมากในหลายๆประเทศที่ให้ความสนใจและเยียวยาทหารผ่านศึกของเขา ทั้งร่างกายและจิตใจ
ทหารที่ออกศึก ออกไปเสี่ยงตาย...เขาต้องเผชิญกับความกลัวสารพัด เมื่อมีชีวิตรอดกลับมา...นอกจากร่างกายที่บุบสลายที่สามารถซ่อมแซมรักษาได้แล้ว...เขายังต้องเข้าบำบัดฟื้นฟูจิตใจให้กลับมามีสภาพที่ปรกติ จนอยู่กับโลกของปัจจุบันได้
ไม่ใช่ออกไปเที่ยวตัดคอใครเขาบนกลางถนนอย่างที่เกิดขึ้นในอังกฤษ...
หรืออย่างที่เกิดขึ้นอเมริกา...ที่ผัวจ้วงแทงเมียไม่นับ เพราะจู่ๆหล่อนเดินเข้ามากอดทางด้านหลัง  มันเกิดจากพิษของไข้สงคราม...
War Fever นี้เกิดขึ้นและอยู่กับตัวไปอย่างยืนยาวจนตลอดชีวิต เรียกได้ว่าเสียผู้เสียคนกันไป  ส่วนใหญ่ที่มีอาการไม่มากแต่ก็ตกอยู่ในสภาพติดเหล้า
บางคนก็หันมาติดยา  ติดสารเสพติด   เพราะมันทำให้เขาลืมภาพของความเจ็บปวดและโหดร้ายที่ตามหลอกหลอนในทุกขณะจิต

การทำงานของคุณหมอเหมือนกับการปิดทองหลังพระ...เพราะเป็นการเยียวยาให้คนที่มีจิตบกพร่องการสถานะภาพการผ่านสงครามให้อยู่รวมได้กับคนธรรมดาอย่างเราๆ  เพราะคน (ไข้) พวกนี้...เขาอาจทำร้ายหรือฆ่าใครก็ได้โดยไม่ติดคุกหรือมีโทษประหารชีวิต เพราะทางกฏหมายแล้ว เขาคือผู้ป่วยทางจิตที่สามารถพิสูจน์ได้...
พวกเราๆนี่แหละ ที่จะเจ็บฟรี ตายฟรี....

คงไม่ต้องสงสัยกันเลยนะคะ ว่า งานแบบนี้เครียดมากไหม?
ดิฉันในฐานะนักอ่านและแปลเรื่องสงครามมากมาย (เพราะชอบเป็นการส่วนตัว) ตอบแทนได้ทันทีว่า...เครียดมากจนถึงเครียดที่สุด

และเชื่อได้ว่า ความเครียดนี่เอง ที่เป็นพลังผลักดันให้มีการระบายออกโดยการเขียนด้วยลีลาและอารมณ์ในเชิงบวกแบบสบายๆของคุณหมอ
มันเป็นการดึงเอาอารมณ์ขันให้ออกมาให้ผู้อ่านได้ไหลลื่นเข้าใจในการทำงานได้ง่ายขึ้นกว่าที่จะเล่าแบบวิชาการ อีกทั้งได้เป็นช่องทางที่จะติดต่อกับคนที่มีเชื้อชาติเดียวกัน...
ที่ดิฉันคิดว่า คนที่ได้อ่านนั้นนับว่าโชคดี เพราะเรื่องที่เครียดกว่านี้ของคุณหมอยังมีอีกมาก แต่ท่านเลือกที่จะเล่าในส่วนที่เล่าได้และเป็นประโยชน์
ส่วนเรื่องความ"ดัง" หรือ "รายได้" ที่จะได้จากการเขียนครั้งนี้  คงไม่ใช่ประเด็น เพราะดังก็เดี๋ยวเดียวมอดเหมือนกับพลุ คนอ่านมีทางเลือกมากมาย
เมื่อเลิกเขียน คนก็ลืม  ส่วนผลประโยชน์ ยิ่งเป็นเรื่องขันๆ เพราะ...คุณหมออาจจะต้องบินไปบินกลับสองสามเที่ยวที่คุณหมอหัวเราะเอิ๊กอ๊ากเมื่อดิฉันได้ถามคุ้มไหม?


ส่วนเรื่องที่เขียนถึงและการระลึกถึงล้นเกล้าล้นกระหม่อมฯ นั้น ผิดตรงไหน...สำหรับพสกนิกรที่จงรักภักดีและยังสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ...การคิดถึงพระองค์ท่านเพื่อเป็นพลังในการทำงาน หรือ เพื่อเตือนสติตัวเอง นั้นเป็นสิ่งดีเป็นสิ่งที่ควรกระทำไม่ใช่หรือ?
นอกเสียจากว่า...คุณจขกท. จะมีความคิดต่าง หรือ อยู่อีกขั้วหนึ่ง เราก็คงไม่ว่ากัน...เพราะคำว่าประชาธิปไตยที่ใช้กันเกร่อ เบิกบานอย่างเช่นในทุกวันนี้

ดิฉันเป็นแฟนคลับของคุณหมอด้วยความทึ่งและประทับใจ เหมือนกับเราเห็นคนที่รู้จักได้ประสบความสำเร็จจนเป็นที่น่าเชิดชู เป็นการประกาศศักยภาพของคนไทยว่าเราสามารถเก่งได้ไม่แพ้ชาติอื่นๆ และที่นอกเหนือไปกว่านั้น คือ ท่านเลือกที่จะเป็นหมอในสายที่จะไม่มีการพานิชย์เข้ามาเกี่ยวข้อง  และมั่นคงต่อหลักการในอาชีพจนเป็นที่หมั่นไส้ของใครต่อใครหลายคนที่เข้ามาแสวงหาความช่วยเหลือและผลประโยชน์เพราะลายเซ็นเพียงแกร๊กเดียว...สามารถเปลี่ยนชีวิตให้ใครบางคนไปนั่งกิน..นอนกินได้อย่างสบายๆ
เกราะกำบังของคุณหมอ..คือ ต้องทำหน้ายักษ์ หน้าดุ จนคนไม่กล้าเข้าไกล้...

สรุปให้ได้ว่า....เรื่องโศกนาฎกรรมของนักเรียนไทยฯ  นั้นเป็นเรื่องจริง ที่คุณหมอได้นำมาเล่าแบบนิ่มๆ  เพราะความจริงท่านบอกว่าเครียดมาก ทางครอบครัวของคุณตาล  คุณดาที่จัดได้ว่าอยู่ในสังคมชั้นแถวหน้าก็ยังติดต่อกับคุณหมออยู่จนถึงทุกวันนี้...
ส่วนใครสงสัยอะไรก็ถามท่านไปได้เลย  เพราะคุณหมอเป็นคนที่ตรงไปตรงมา และชอบคนที่มีลักษณะเดียวกัน..(ดิฉันเชื่อเช่นนั้นค่ะ)
ความคิดเห็นที่ 28
ผมมองว่าเขียนจากเรื่องจริง แต่มีเนื้อเรื่องบางอย่างแต่งประกอบไปด้วย
เหตุผลหนึ่งคือการเบี่ยงความสนใจ คืออาจมีการเติมบางอย่าง ตัวละครบางตัวเข้าไปเพิ่ม ให้คนอ่านสืบหาตัวบุคคลได้ยาก
เห็นได้จากการอยากเห็นข่าว อยากตามไปหลุมศพ เพื่อสนองความอยากรู้ของตัวเองว่าบุคคลในเรื่องเป็นใคร มีจริงไหม
หรืออย่างเช่นตอนจบ ที่ถ้าให้จบห้วนๆมันก็น่าเศร้า เลยต้องมีอะไรปลอบใจว่าอย่างน้อยสองคนนั้นก็ได้อยู่ด้วยกัน
อย่าลืมว่า จขกท นั้นเขียนเรื่องประเภท fiction นะครับ ไม่ใช่ documentary

เรื่องเหตุผลที่ตาลฆ่าตัวตาย บังเอิญป๋องโดนรถชนตายตาม ผมไม่สงสัยเลย เพราะเคยเจอเรื่องความบังเอิญที่น้ำเน่ากว่านี้มาแล้ว
ยกตัวอย่างผู้ชายคนนึงตายในเหตุการณ์เครื่องบินชนตึก 9/11 อีกไม่กี่ปีต่อมาภรรยาของเขาก็ตายด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตกเหมือนกัน
หรือเรื่องนักพนันชาวอังกฤษโดนยิงตายที่วงโปกเกอร์ในกาสิโนแห่งหนึ่ง ก่อนตายทำเงินกำไรไว้ 600 USD
บ่อนสุ่มคนดูที่อยู่ในนั้นมาเล่นแทน ให้เล่นจากเงินกำไร 600 USD นั่นแหละ เล่นจนทำเงินได้อีกเท่า แต่ตำรวจเข้ามาทลายวงซะก่อน
เรื่องถึงศาล ศาลตัดสินให้คนที่มาเล่นแทนส่งคืนเงิน 600 USD ให้กับทายาทนักพนันที่ตาย ปัญหาคือนักพนันไม่ได้ติดต่อญาติหลายปีแล้ว
จนมีการสืบประวัติตามหาญาติพี่น้องจนเจอลูกชายของนักพนัน ซึ่งก็คือคนดูที่มาเล่นแทนนั่นแหละ แต่เขาจำพ่อไม่ได้ เพราะไม่เจอพ่อนานแล้ว

เรื่องเส้นเลือด เป็นไปได้ว่าเขียนผิด เพราะหลายครั้งที่ผมทันอ่านตอนคุณหมอโพสเสร็จใหม่ๆ ละมีข้อผิดพลาดจนต้องมาตามอีดิทแก้หลายครั้ง
และเรื่องการตามตัวคุณหมอ ทั้งที่ควรจะช่วยคนเจ็บ ถ้าอ่านดีๆจะเห็นว่าทางแพทย์รู้ว่าโอกาสรอดมีน้อยกว่า 0.1% ซะอีก
การตามคุณหมอมานอกจากเพราะเป็นคนไทยด้วยกันแล้ว ก็คืออยากให้คุณหมอมาช่วยดึงจิตใจตาลให้สงบนิ่งระหว่างการเดินของรถจักร
เพราะถ้าตาลไม่นิ่ง จดจ่อกับการเดินรถ โอกาสก็จะยิ่งน้อยลง จาก 0.1 อาจจะเหลือแค่ 0.00001% และจะเจ็บปวดทรมานมากกว่านี้
และประโยชน์อีกแง่คือการให้โอกาสครั้งสุดท้าย ตอนนั้นผมเชื่อว่าทุกคนรู้ว่าตาลไม่รอดแน่ นักโทษประหารยังร้องขออาหารมื้อสุดท้ายได้
ตาลเองก็น่าจะมีอะไรที่อยากทำ อยากพูดก่อนตาย จิตแพทย์จึงเกลี้ยกล่อมให้ตาลพูด ซึ่งตาลเลือกพูดถึงแม่ นี่คือสิ่งที่อยู่ในใจตาลในขณะนั้น
หมอจึงติดต่อหาแม่ให้ตาลได้พูดคุย โดยหวังให้แม่ดึงสมาธิไม่ให้ตาลจดจ่อกับรถจักร และให้ตาลได้คุยกับคนที่รักเป็นครั้งสุดท้าย

ถ้ามีอะไรที่เป็นช้อผิดพลาดของงานเขียนคุณหมอ ก็คือเขาคิดเยอะไป อยากให้คนอ่านสัมผัสเรื่องเหมือนที่เขาเจอมาทุกอย่าง
จึงใส่รายละเอียดยิบย่อยลงไปด้วย เช่นของในกระเป๋ามีอะไรบ้าง บทสนทนาต่างๆแบบละเอียดทุกคำ
มันละเอียด เรียงตามไทม์ไลน์เกินไป และไม่ได้มีเฉลยในตัว จนคนอ่านเอาไปสร้างปมและสร้างความคาดหวังกันล่วงหน้าเอาเอง
ถ้าเขียนสั้นๆแบบเฉลยตามไปด้วย อย่างเช่นในกระเป๋าที่พบเป็นของแม่ มียางลบของแม่ กุณแจตู้ยาที่บ้านที่พกติดตัวเสมอ
คุณดาเคยเห็นคุณหมอมาก่อนที่ไทย ตาลเคยเห็นแม่กินยาตายมาก่อน ความคาดหวังตรงนี้น้อยลงแน่ๆ ทั้งที่เมนเรื่องเหมือนเดิม

ให้ผมเขียนสรุปย่อสั้นๆคือจิตแพทย์คนไทยในฝรั่งเศสได้พบเด็กสาวชาติเดียวกันที่มากระโดดรถไฟฆ่าตัวตายในขณะมาเที่ยวกับแฟน
หลังจากพูดคุยกับแฟนหนุ่มที่เสียใจมาก และไม่รู้เหตุผลว่าทำไมแฟนสาวฆ่าตัวตายทั้งที่กำลังจะขอหมั้นกันคืนนี้ด้วยซ้ำ
คุณแม่เด็กสาวติดต่อคุณหมอเพื่อมาจัดการเรื่องศพของลูกสาว และประหลาดใจที่เห็นคุณหมอที่นี่ เพราะเคยเห็นคุณหมอมาก่อนที่ไทย
เมื่อถึงเวลา คุณแม่มากับลูกสาวคนเล็ก โดยมีเพื่อนสนิทผู้ตายตั้งแต่เด็กมาพร้อมกับคุณแม่เธอ และพ่อของฝ่ายชายก็มาด้วย
หมอได้พูดคุยกับแม่ก็ได้ทราบว่าครอบครัวไม่อบอุ่น ผู้ตายเคยเห็นคุณแม่พยายามฆ่าตัวตาย และมีปมที่อาจเป็นสาเหตุการฆ่าตัวตาย
หลังจากจัดการพิธีศพจนเสร็จเรียบร้อย ระหว่างการเดินกลับที่พัก ได้เกิดอุบัติเหตุรถพุ่งชนเสาไฟฟ้าโดยอัดก๊อปปี้ร่างเด็กหนุ่มไปด้วย
เด็กหนุ่มเสียชีวิตตามแฟนสาวที่เขารักมาก ทั้งสองครอบครัวจึงจัดพิธีแต่งงานให้หนุ่มสาวคู่นี้ให้สมกับความตั้งใจก่อนตายของทั้งคู่

ถ้าอ่านแค่นี้จะรู้เลยว่ามันไม่ได้มีอภินิหารอะไรหรอก มันก็เหมือนเรื่องทั่วไปที่มีความบังเอิญหลายอย่างมาเกี่ยวข้อง แต่ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ในชีวิตจริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่