ตอนที่ ๔
สองสาวที่เพิ่งเข้ามาในห้อง คนหนึ่งเป็นประธานชมรมอาสาเพื่อสังคมชื่อ “น้ำเพชร” อีกคนเป็นกรรมการชมรมคนสนิทชื่อ “มุกลัดดา” สองสาวเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์ มีรูปร่างที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด น้ำเพชรสูงราว ๑๖๐ เซนติเมตร ผิวพรรณขาวผ่องเหมือนจ้อน ใบหน้าเรียวเล็กเข้ากับริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่ม ผมดำยาวสลวยถูกรวบตึงไว้ด้านหลังดูราวกับเด็กมัธยมต้น เธอดูไม่เหมือนนักศึกษาชั้นปีที่สามเลย ดูอายุอ่อนกว่าวัยตั้งห้าปี
ส่วนมุกลัดดาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำประจำมหาวิทยาลัย สมัยเรียนชั้นมัธยมเคยเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน จึงไม่แปลกที่เธอจะมีผิวสีน้ำตาลอ่อนและมีส่วนสูงเกินหญิงสาวธรรมดา ๆ เธอสูง ๑๗๓ เซนติเมตรท่าทางกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา ไว้ผมซอยสั้นใบหน้าไร้การประทินโฉมใด ๆ จึงดูแก่กว่าวัยไปตั้งห้าปี
ประธานชมรมอาสาเพื่อสังคมแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพห้องชมรมที่เปลี่ยนไป แท่นบูชาของเผ่าอะไรมาตั้งตรงมุมด้านหนึ่งของห้อง สมัยนี้วิทยาการความรู้ก้าวหน้าไปมากไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีลัทธิบูชาผีป่านางไม้มาตั้งอยู่ในสถานศึกษาของเหล่าปัญญาชนแบบนี้
“เล่นสนุกอะไรกัน ที่นี่ห้องชมรมเป็นที่สาธารณะไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ” น้ำเพชรว่าด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ
“เล่นที่ไหน ที่นี่คือสำนักหมอดูพ่อหมอณภัทร จะดูดวงไหมล่ะ แม่นอย่าบอกใครเชียวนะ” จ้อนโพทะนา
ณภัทรวางท่า คู่หูประจัญบานของแม่ประธานชมรมหูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องดูดวง
“จริงเหรอ ดูให้ฉันบ้างซิจะแม่นเหมือนอย่างที่โม้ไว้รึเปล่า?”
มุกลัดดาทำท่าจะเดินมาหาพ่อหมอแต่น้ำเพชรรั้งเอาไว้ได้ก่อน
“อย่านะยัยมุก จะไปเล่นไร้สาระกับพวกนั้นทำไม เราเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์เชื่อแต่เรื่องที่พิสูจน์ได้เท่านั้น ใครที่อ้างตัวว่ามีตาทิพย์มองเห็นอนาคตขอให้รู้ไว้เลยว่าคนผู้นั้นโกหก มนุษย์เราจะมองเห็นอนาคตได้อย่างไรกัน ทุกสิ่งที่เกิดล้วนเพราะเราเป็นคนกระทำ มีเหตุก็ต้องมีผล”
“โถ่... ยัยเพชร ไม่เห็นจะมีอะไรเลย แค่ดูดวงสนุก ๆ เท่านั้นเอง” มุกลัดดาว่า
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันอยากให้พวกหมอเดาหมดไปจากสังคมเราเสียที พวกหากินกับเรื่องงมงายไร้สาระ”
ณภัทรรีบสวนทันที
“เธอก็อย่างมงายวิทยาศาสตร์มากไปหน่อยเลยน่า บางเรื่องวิทยาศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้”
น้ำเพชรหันมาแววตาขุ่นเคือง
“เก็บข้าวของพวกนั้นออกไปให้หมด ไม่มีใครมีสิทธิ์ใช้ห้องชมรมตามอำเภอใจ”
“ฉันก็ไม่เห็นว่าเราจะได้ใช้ห้องนี้เท่าไรเลยนี่ ให้ฉันตั้งสำนักหมอดูดีกว่าปล่อยห้องว่างให้ฝุ่นจับ”
“ฝุ่นไม่มีทางจับหรอกเพราะฉันเข้ามาทำความสะอาดทุกอาทิตย์ และเย็นนี้จะมีการประชุมกรรมการชมรม ถือโอกาสบอกนายสองคนให้รู้ไว้ตรงนี้ด้วยเลย เห็นไหมห้องนี้ได้ใช้ประโยชน์แล้ว เพราะฉะนั้นนายก็ขนข้าวของของนายออกไปจากห้องนี้ซะ”
“เรื่องอย่างนี้ให้เธอตัดสินใจคนเดียวไม่ได้หรอก ไว้ตอนเย็นกรรมการชมรมมาค่อนตัดสินกันว่าจะเอายังไงกับสำนักหมอดูของฉัน แต่ฉันมั่นใจว่าสำนักของฉันจะยังอยู่ที่นี่เหมือนเดิม เพราะใคร ๆ ก็ชอบดูดวงทั้งนั้น” ณภัทรท่าทางมั่นอกมั่นใจ
“เหรอ ฉันเห็นนายมั่นใจเสียทุกเรื่อง แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ ก็แห้วตลอด” น้ำเพชรปรามาส
ณภัทรหน้าเจื่อน
“งั้นเธอเตรียมหน้าแตกได้เลย แม่ประธานชมรมคลั่งวิทยาศาสตร์!”
ณภัทรและจ้อนเดินออกจากอาคารเรียนรวมมุ่งหน้าสู่ทางเดินไปยังตึกสโมสรนักศึกษา ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วไปประชุมสายแน่ ๆ คาบเรียนสุดท้ายของวันนี้คือวิชาจิตวิทยา อาจารย์สอนเรื่องการสะกดจิตตัวเองเพื่อจัดการกับปัญหาให้อยู่หมัด นั่นทำให้ณภัทรมีกำลังใจเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น
“ไอ้พัดแกแน่ใจเหรอว่ากรรมการชมรมจะเห็นด้วยกับแก พวกนั้นเรียนคณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวะ คณะแพทย์ทั้งนั้นเลยนะ ยังไง ๆ เขาก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก” จ้อนพูดพลางก้าวเท้าให้ทันณภัทรซึ่งขายาวกว่า
“คนไทยชอบดูดวงจนเป็นนิสัย เรียกว่าฝังอยู่ในดีเอ็นเอเลยก็ว่าได้ ไม่อย่างนั้นตลาดนัดหน้ามอคงไม่มีพ่อหมอแม่หมอให้พรึบขนาดนั้นหรอกจริงไหม ขนาดยัยมุกคู่หูยัยประธานยังวิ่งเข้าใส่เลยตอนที่แกบอกว่าฉันดูแม่น”
“ยัยนั่นกะโหลกกะลาจะตายไปแกก็รู้ ถ้าไม่เกาะยัยน้ำเพชรไม่รู้จะเรียนมาถึงปีสามได้รึเปล่า”
“แกก็พูดเกินไป ระวังยัยนั่นมาได้ยินเข้าจะสกายคิกอัดหน้าเอา ยิ่งเถื่อน ๆ อยู่ด้วยคนนี้ ไม่รู้มีใครอยากแต่งงานด้วยรึเปล่า ทะมันทะแมงเกินผู้หญิงเสียอย่างนั้น”
“นั่นน่ะซิ ใครตกหลุมรักยัยนั่นต้องไปหาหมอเช็กประสาทให้ดี ๆ”
ณภัทรและจ้อนเป็นกรรมการชมรมที่มาถึงเป็นลำดับสุดท้าย คนอื่น ๆ นั่งพร้อมกันหน้าสลอนอยู่บนโต๊ะมองมาที่ทั้งสองด้วยแววตาตำหนิ ณภัทรเดาไว้ในใจว่าไม่เรื่องมาสายก็เรื่องที่ตั้งสำนักหมอดูโดยพละการ แต่สังหรณ์ใจว่าเป็นเรื่องสุดท้ายเสียมากกว่า ตอนที่ทั้งสองยังมาไม่ถึงยัยประธานชมรมคงใช้บุคลิกหน้าตาน่าเชื่อถือเป่าหูกรรมการทุกคนให้เห็นคล้อยตามเธอ
“พัด! จอห์น! ทำแบบนี้ได้ยังไง ตั้งสำนักหมอดูแล้ว...”
การะเกด นักศึกษาคณะแพทย์ชั้นปีที่๕ ผู้อาวุโสที่สุดในบรรดากรรมการชมรมพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ณภัทรคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องลงเอยแบบนี้จึงพยายามสะกดจิตหลอกตัวเองมาตั้งแต่ต้นคาบวิชาจิตวิทยาแต่ก็ไม่เป็นผล หมั่นไส้ยิ้มแสยะของน้ำเพชรที่ส่งมาให้เหลือเกิน
“...แล้วทำไมไม่โทรฯบอกพี่ วันนี้พี่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่หอทั้งวันเบื่อมาก อยากดูดวงแก้เซ็งเสียหน่อยไว้ประชุมเสร็จดูให้พี่หน่อยนะ” การะเกดแสดงท่าทีสนอกสนใจ
ณภัทรอึ้ง ผิดจากที่คาดไปมาก ใครจะไปนึกล่ะว่านักศึกษาแพทย์จะชอบดูดวงด้วยเหมือนกัน
“ฉันต่อนะ”
“ฉันด้วย ๆ”
“เฮ้ย! ฉันก่อนซิ”
กรรมการคนอื่น ๆ ก็สนใจด้วยต่างแย่งจองคิวกันใหญ่ เสียงใครบางคนหน้าแตกทำณภัทรชุ่มชื่นหัวใจยิ่งนัก สะใจจริง ๆ ให้ยัยประธานชมรมเรียนรู้เสียบ้างว่าไม่มีใครแพ้ตลอดไป บทเรียนนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เธอมั่นใจในตัวเองมากเกินไปจนเสียหน้าแบบคราวนี้อีก
ณภัทรยิ้มหน้าบาน ฝันถึงค่าบูชาครูที่กำลังจะได้
“ได้ครับ ๆ ไว้ประชุมเสร็จผมจะยังไม่กลับ จะอยู่ดูดวงให้ทุกคนก่อน ส่วนเรื่องค่าบูชาครูผมจะให้ไอ้จ้อน...”
จ้อนเอาศอกแทงสีข้างเพื่อน หวังเตือนสติไม่ให้ลืมเรื่องที่ตกลงกันไว้”
“เอ่อ... ไอ้จอห์นเป็นคนเก็บนะครับ แล้วแต่จิตศรัทรา แต่บอกไว้ก่อนว่ายิ่งมากยิ่งแม่น”
จ้อนตกลงกับณภัทรว่าเวลาอยู่ในที่สาธารณะพบปะผู้คน ณภัทรต้องเรียกจ้อนว่า “จอห์น” เหตุผลเพื่อความเท่ห์และทันสมัย การประชุมวันนี้พูดถึงเรื่องกิจกรรมต่อไปของชมรม ช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอมใหม่มีการรับน้องทั้งในและนอกสถานที่ ทางชมรมจึงอยากจัดกิจกรรมรณรงค์การรับน้องอย่างปลอดภัย สุภาพไม่อนาจารและไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ซึ่งการประชุมก็ราบรื่นไปได้ด้วยดีโดยใช้เวลาไม่นาน ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากการเตรียมงานอย่างละเอียดรอบคอบของประธานชมรมหรือสมาชิกทุกคนช่วยกันเร่งการประชุมให้ไปไวเพื่อจะได้ถึงเวลาดูดวงเร็ว ๆ กันแน่
ณภัทรนั่งบนเบาะหน้าแท่นบูชา การะเกดนั่งประจันหน้าอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อจ้อนยื่นขันเงินเข้ามาใกล้การะเกดก็ควักธนบัตรหนึ่งร้อยบาทหย่อนลงไป เมื่อเห็นว่าได้เงินมาแล้วณภัทรก็เริ่มทำงาน
“เอาละครับพี่จ้องตาผมไว้นะ” ณภัทรพูดพลางจ้องสายตาแน่วแน่ไปยังการะเกด
ทันทีที่การะเกดสบสายตาณภัทร มนต์เชื่อมสายตาที่มาวินได้ร่ายไว้ก็ทำงาน ทุกภาพที่ณภัทรเห็นมาวินจะเห็นด้วย ภาพเรื่องราวในอดีตจวบจนปัจจุบันของการะเกดประดังเข้ามาในหัวของมาวินราวน้ำทะลักไหลจากเขื่อน ใช้เวลาดูภาพไม่นานมาวินก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการะเกด
“ถามเขาซิณภัทรว่าอยากรู้เรื่องอะไร” มาวินบอก ณภัทรทำตาม
“ช่วงนี้พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ไม่มีสมาธิทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหงา ๆ เศร้า ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกัน พัดมีวิธีที่จะทำให้พี่กลับมากระฉับกระเฉงเหมือนเดิมไหม?”
“เฮ้อ... เรื่องอย่างนี้ไม่เห็นต้องมาถาม น่าจะรู้อยู่แก่ใจ” มาวินพูดกับตนเองน้ำเสียงแฝงแววประชดประชัน เขาบอกให้ณภัทรพูดตามที่เขาพูด ณภัทรก็ทำตามโดยดี
“ที่พี่ไม่ค่อยสบายใจเพราะเรื่องที่ทะเลาะกับพ่อรึเปล่า?”
เหมือนมีหอกแหลมมาแทงกลางใจดำ การะเกดอึ้งจ้องณภัทรเขม็งอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น หมอดูคนนี้ดูแม่นเหมือนตาเห็นเลยจริง ๆ
“ใช่! รู้ได้ยังไง วันนั้นพี่ทะเลาะกับพ่อเรื่องโรงพยาบาลที่จะเข้าไปฝึกงาน ตัวพี่อยากไปฝึกงานช่วยเหลือผู้ป่วยที่ชายแดนใต้ เพราะที่นั้นขาดแพทย์เฉพาะทาง ที่นั่นไม่ได้อันตรายอย่างที่พวกเราคิดหรอกนะ แต่พ่อพี่น่ะซิอยากให้พี่เข้าฝึกงานที่โรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในเมืองแล้วพอเรียนจบก็เข้าทำงานเสียที่นั่น โรงพยาบาลใหญ่ ๆ บริหารเหมือนเป็นธุรกิจแบบนั้นพี่รับไม่ได้ ที่นั่นมีแพทย์เก่ง ๆ ฝีมือดีอยู่แล้วมากมาย ค่ารักษาก็แพงจนชนชั้นล่างไม่มีโอกาสเข้าถึง พี่อยากให้คนที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ได้รับสิทธิ์ในการรักษาเหมือนคนในเมือง แต่พ่อพี่ไม่เข้าใจ พ่อพี่เห็นแก่ตัวเกินไปจึงไม่อยากกลับไปพบอีก นี่ก็สองเดือนมาแล้วที่พี่ไม่ได้กลับบ้าน” การะเกดเล่าสีหน้าระอา ไม่พอใจความคิดของผู้เป็นพ่อ
“พี่คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว งั้นผมจะเล่าให้พี่ฟังใหม่อีกรอบ”
การะเกดหันมามองณภัทรด้วยความสนใจใคร่รู้ มีเรื่องราวอะไรในชีวิตที่เธอหลงลืมไป ณภัทรเล่าเรื่องราวตามที่ได้ยินมาจากมาวิน กล่องเก็บความทรงจำสีจาง ๆ ของการะเกดถูกเปิดออก ภาพในอดีตที่เลือนลางกลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครา
วันที่เด็กหญิงการะเกดเพิ่งเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง เธอร้องไห้โยเยกอดพ่อที่มาส่งแน่นไม่ยอมปล่อย คุณครูยิ้มใจดีก็เข้ามาปลอบเอาของเล่นมาหลอกให้ตามเข้าไปเล่นต่อในห้องเรียนก็ไม่เป็นผล พ่อมอบยิ้มละมุนใจให้พลางลูบหัวอย่างเอ็นดูแล้วพูดว่า
“เกดเด็กดีของพ่อ ตอนนี้หนูโตและมีหน้าที่ต้องเรียนหนังสือ พ่อก็มีหน้าที่ต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงหนู เราต่างคนก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนนะ เอาอย่างนี้ ถ้าหนูยอมไปกับคุณครูและหยุดร้องไห้พ่อสัญญาว่าเมื่อถึงเวลาโรงเรียนเลิกพ่อจะกลับมารับหนูและพาไปซื้อจักรยานสีชมพูคันที่หนูอยากได้”
“จริงเหรอคะ พ่อจะซื้อให้หนูจริงเหรอคะ แล้วเมื่อไรพ่อจะมารับหนูล่ะ?” เด็กหญิงการะเกดถามแววตาใสซื่อ
“อีกไม่นานเกินรอจ๊ะ” ว่าแล้วพ่อก็วางลูกน้อยพร้อมจูบที่หน้าผาก เด็กหญิงคิดถึงคำสอนของพ่อท่องไว้ในใจว่าต้องเป็นเด็กดีให้พ่อเห็นให้ได้จึงกลั้นสะอื้นโบกมือลาคุณพ่อแล้วยอมให้คุณครูอุ้มเข้าห้องเรียน
ตลอดระยะเวลาของการมาโรงเรียนวันแรก เด็กหญิงการะเกดเอาแต่ถามคุณครูว่าเมื่อไรโรงเรียนจะเลิก คุณครูชี้นาฬิกาแขวนผนังให้ดูแล้วบอกว่าเมื่อไรที่เข็มสั้นชี้เลขสาม เข็มยาวชี้เลขหก เมื่อนั้นคุณพ่อของหนูก็จะมารับ เด็กหญิงการะเกดเอาแต่จ้องมองนาฬิกาไม่ยอมลุกไปเล่นของเล่นกับกลุ่มเพื่อน ๆ ตั้งตารอเวลาที่เข็มสั้นชี้เลขสาม เข็มยาวชี้เลขหก
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง เด็กหญิงการะเกดก็คว้ากระเป๋าวิ่งออกมาจากห้องเรียน เธอพบพ่อรออยู่ข้างนอกนี้จึงโผเข้ากอดด้วยความคิดถึง พ่ออุ้มเธอเดินมาถึงหน้าโรงเรียน เด็กหญิงเห็นรถขายไอศกรีมก็นึกอยากกินจึงขอพ่อ เมื่อพ่อวางเธอลงเธอก็รีบวิ่งตรงไปยังรถขายไอศกรีมทันทีโดยไม่ทันระวังรถ
พ่อหมออลเวง ตอนที่๔
ตอนที่ ๔
สองสาวที่เพิ่งเข้ามาในห้อง คนหนึ่งเป็นประธานชมรมอาสาเพื่อสังคมชื่อ “น้ำเพชร” อีกคนเป็นกรรมการชมรมคนสนิทชื่อ “มุกลัดดา” สองสาวเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์ มีรูปร่างที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด น้ำเพชรสูงราว ๑๖๐ เซนติเมตร ผิวพรรณขาวผ่องเหมือนจ้อน ใบหน้าเรียวเล็กเข้ากับริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่ม ผมดำยาวสลวยถูกรวบตึงไว้ด้านหลังดูราวกับเด็กมัธยมต้น เธอดูไม่เหมือนนักศึกษาชั้นปีที่สามเลย ดูอายุอ่อนกว่าวัยตั้งห้าปี
ส่วนมุกลัดดาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำประจำมหาวิทยาลัย สมัยเรียนชั้นมัธยมเคยเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน จึงไม่แปลกที่เธอจะมีผิวสีน้ำตาลอ่อนและมีส่วนสูงเกินหญิงสาวธรรมดา ๆ เธอสูง ๑๗๓ เซนติเมตรท่าทางกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา ไว้ผมซอยสั้นใบหน้าไร้การประทินโฉมใด ๆ จึงดูแก่กว่าวัยไปตั้งห้าปี
ประธานชมรมอาสาเพื่อสังคมแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพห้องชมรมที่เปลี่ยนไป แท่นบูชาของเผ่าอะไรมาตั้งตรงมุมด้านหนึ่งของห้อง สมัยนี้วิทยาการความรู้ก้าวหน้าไปมากไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีลัทธิบูชาผีป่านางไม้มาตั้งอยู่ในสถานศึกษาของเหล่าปัญญาชนแบบนี้
“เล่นสนุกอะไรกัน ที่นี่ห้องชมรมเป็นที่สาธารณะไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ” น้ำเพชรว่าด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ
“เล่นที่ไหน ที่นี่คือสำนักหมอดูพ่อหมอณภัทร จะดูดวงไหมล่ะ แม่นอย่าบอกใครเชียวนะ” จ้อนโพทะนา
ณภัทรวางท่า คู่หูประจัญบานของแม่ประธานชมรมหูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องดูดวง
“จริงเหรอ ดูให้ฉันบ้างซิจะแม่นเหมือนอย่างที่โม้ไว้รึเปล่า?”
มุกลัดดาทำท่าจะเดินมาหาพ่อหมอแต่น้ำเพชรรั้งเอาไว้ได้ก่อน
“อย่านะยัยมุก จะไปเล่นไร้สาระกับพวกนั้นทำไม เราเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์เชื่อแต่เรื่องที่พิสูจน์ได้เท่านั้น ใครที่อ้างตัวว่ามีตาทิพย์มองเห็นอนาคตขอให้รู้ไว้เลยว่าคนผู้นั้นโกหก มนุษย์เราจะมองเห็นอนาคตได้อย่างไรกัน ทุกสิ่งที่เกิดล้วนเพราะเราเป็นคนกระทำ มีเหตุก็ต้องมีผล”
“โถ่... ยัยเพชร ไม่เห็นจะมีอะไรเลย แค่ดูดวงสนุก ๆ เท่านั้นเอง” มุกลัดดาว่า
“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ฉันอยากให้พวกหมอเดาหมดไปจากสังคมเราเสียที พวกหากินกับเรื่องงมงายไร้สาระ”
ณภัทรรีบสวนทันที
“เธอก็อย่างมงายวิทยาศาสตร์มากไปหน่อยเลยน่า บางเรื่องวิทยาศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้”
น้ำเพชรหันมาแววตาขุ่นเคือง
“เก็บข้าวของพวกนั้นออกไปให้หมด ไม่มีใครมีสิทธิ์ใช้ห้องชมรมตามอำเภอใจ”
“ฉันก็ไม่เห็นว่าเราจะได้ใช้ห้องนี้เท่าไรเลยนี่ ให้ฉันตั้งสำนักหมอดูดีกว่าปล่อยห้องว่างให้ฝุ่นจับ”
“ฝุ่นไม่มีทางจับหรอกเพราะฉันเข้ามาทำความสะอาดทุกอาทิตย์ และเย็นนี้จะมีการประชุมกรรมการชมรม ถือโอกาสบอกนายสองคนให้รู้ไว้ตรงนี้ด้วยเลย เห็นไหมห้องนี้ได้ใช้ประโยชน์แล้ว เพราะฉะนั้นนายก็ขนข้าวของของนายออกไปจากห้องนี้ซะ”
“เรื่องอย่างนี้ให้เธอตัดสินใจคนเดียวไม่ได้หรอก ไว้ตอนเย็นกรรมการชมรมมาค่อนตัดสินกันว่าจะเอายังไงกับสำนักหมอดูของฉัน แต่ฉันมั่นใจว่าสำนักของฉันจะยังอยู่ที่นี่เหมือนเดิม เพราะใคร ๆ ก็ชอบดูดวงทั้งนั้น” ณภัทรท่าทางมั่นอกมั่นใจ
“เหรอ ฉันเห็นนายมั่นใจเสียทุกเรื่อง แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ ก็แห้วตลอด” น้ำเพชรปรามาส
ณภัทรหน้าเจื่อน
“งั้นเธอเตรียมหน้าแตกได้เลย แม่ประธานชมรมคลั่งวิทยาศาสตร์!”
ณภัทรและจ้อนเดินออกจากอาคารเรียนรวมมุ่งหน้าสู่ทางเดินไปยังตึกสโมสรนักศึกษา ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วไปประชุมสายแน่ ๆ คาบเรียนสุดท้ายของวันนี้คือวิชาจิตวิทยา อาจารย์สอนเรื่องการสะกดจิตตัวเองเพื่อจัดการกับปัญหาให้อยู่หมัด นั่นทำให้ณภัทรมีกำลังใจเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น
“ไอ้พัดแกแน่ใจเหรอว่ากรรมการชมรมจะเห็นด้วยกับแก พวกนั้นเรียนคณะวิทยาศาสตร์ คณะวิศวะ คณะแพทย์ทั้งนั้นเลยนะ ยังไง ๆ เขาก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก” จ้อนพูดพลางก้าวเท้าให้ทันณภัทรซึ่งขายาวกว่า
“คนไทยชอบดูดวงจนเป็นนิสัย เรียกว่าฝังอยู่ในดีเอ็นเอเลยก็ว่าได้ ไม่อย่างนั้นตลาดนัดหน้ามอคงไม่มีพ่อหมอแม่หมอให้พรึบขนาดนั้นหรอกจริงไหม ขนาดยัยมุกคู่หูยัยประธานยังวิ่งเข้าใส่เลยตอนที่แกบอกว่าฉันดูแม่น”
“ยัยนั่นกะโหลกกะลาจะตายไปแกก็รู้ ถ้าไม่เกาะยัยน้ำเพชรไม่รู้จะเรียนมาถึงปีสามได้รึเปล่า”
“แกก็พูดเกินไป ระวังยัยนั่นมาได้ยินเข้าจะสกายคิกอัดหน้าเอา ยิ่งเถื่อน ๆ อยู่ด้วยคนนี้ ไม่รู้มีใครอยากแต่งงานด้วยรึเปล่า ทะมันทะแมงเกินผู้หญิงเสียอย่างนั้น”
“นั่นน่ะซิ ใครตกหลุมรักยัยนั่นต้องไปหาหมอเช็กประสาทให้ดี ๆ”
ณภัทรและจ้อนเป็นกรรมการชมรมที่มาถึงเป็นลำดับสุดท้าย คนอื่น ๆ นั่งพร้อมกันหน้าสลอนอยู่บนโต๊ะมองมาที่ทั้งสองด้วยแววตาตำหนิ ณภัทรเดาไว้ในใจว่าไม่เรื่องมาสายก็เรื่องที่ตั้งสำนักหมอดูโดยพละการ แต่สังหรณ์ใจว่าเป็นเรื่องสุดท้ายเสียมากกว่า ตอนที่ทั้งสองยังมาไม่ถึงยัยประธานชมรมคงใช้บุคลิกหน้าตาน่าเชื่อถือเป่าหูกรรมการทุกคนให้เห็นคล้อยตามเธอ
“พัด! จอห์น! ทำแบบนี้ได้ยังไง ตั้งสำนักหมอดูแล้ว...”
การะเกด นักศึกษาคณะแพทย์ชั้นปีที่๕ ผู้อาวุโสที่สุดในบรรดากรรมการชมรมพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ณภัทรคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องลงเอยแบบนี้จึงพยายามสะกดจิตหลอกตัวเองมาตั้งแต่ต้นคาบวิชาจิตวิทยาแต่ก็ไม่เป็นผล หมั่นไส้ยิ้มแสยะของน้ำเพชรที่ส่งมาให้เหลือเกิน
“...แล้วทำไมไม่โทรฯบอกพี่ วันนี้พี่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่หอทั้งวันเบื่อมาก อยากดูดวงแก้เซ็งเสียหน่อยไว้ประชุมเสร็จดูให้พี่หน่อยนะ” การะเกดแสดงท่าทีสนอกสนใจ
ณภัทรอึ้ง ผิดจากที่คาดไปมาก ใครจะไปนึกล่ะว่านักศึกษาแพทย์จะชอบดูดวงด้วยเหมือนกัน
“ฉันต่อนะ”
“ฉันด้วย ๆ”
“เฮ้ย! ฉันก่อนซิ”
กรรมการคนอื่น ๆ ก็สนใจด้วยต่างแย่งจองคิวกันใหญ่ เสียงใครบางคนหน้าแตกทำณภัทรชุ่มชื่นหัวใจยิ่งนัก สะใจจริง ๆ ให้ยัยประธานชมรมเรียนรู้เสียบ้างว่าไม่มีใครแพ้ตลอดไป บทเรียนนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เธอมั่นใจในตัวเองมากเกินไปจนเสียหน้าแบบคราวนี้อีก
ณภัทรยิ้มหน้าบาน ฝันถึงค่าบูชาครูที่กำลังจะได้
“ได้ครับ ๆ ไว้ประชุมเสร็จผมจะยังไม่กลับ จะอยู่ดูดวงให้ทุกคนก่อน ส่วนเรื่องค่าบูชาครูผมจะให้ไอ้จ้อน...”
จ้อนเอาศอกแทงสีข้างเพื่อน หวังเตือนสติไม่ให้ลืมเรื่องที่ตกลงกันไว้”
“เอ่อ... ไอ้จอห์นเป็นคนเก็บนะครับ แล้วแต่จิตศรัทรา แต่บอกไว้ก่อนว่ายิ่งมากยิ่งแม่น”
จ้อนตกลงกับณภัทรว่าเวลาอยู่ในที่สาธารณะพบปะผู้คน ณภัทรต้องเรียกจ้อนว่า “จอห์น” เหตุผลเพื่อความเท่ห์และทันสมัย การประชุมวันนี้พูดถึงเรื่องกิจกรรมต่อไปของชมรม ช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอมใหม่มีการรับน้องทั้งในและนอกสถานที่ ทางชมรมจึงอยากจัดกิจกรรมรณรงค์การรับน้องอย่างปลอดภัย สุภาพไม่อนาจารและไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น ซึ่งการประชุมก็ราบรื่นไปได้ด้วยดีโดยใช้เวลาไม่นาน ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากการเตรียมงานอย่างละเอียดรอบคอบของประธานชมรมหรือสมาชิกทุกคนช่วยกันเร่งการประชุมให้ไปไวเพื่อจะได้ถึงเวลาดูดวงเร็ว ๆ กันแน่
ณภัทรนั่งบนเบาะหน้าแท่นบูชา การะเกดนั่งประจันหน้าอยู่ฝั่งตรงข้าม เมื่อจ้อนยื่นขันเงินเข้ามาใกล้การะเกดก็ควักธนบัตรหนึ่งร้อยบาทหย่อนลงไป เมื่อเห็นว่าได้เงินมาแล้วณภัทรก็เริ่มทำงาน
“เอาละครับพี่จ้องตาผมไว้นะ” ณภัทรพูดพลางจ้องสายตาแน่วแน่ไปยังการะเกด
ทันทีที่การะเกดสบสายตาณภัทร มนต์เชื่อมสายตาที่มาวินได้ร่ายไว้ก็ทำงาน ทุกภาพที่ณภัทรเห็นมาวินจะเห็นด้วย ภาพเรื่องราวในอดีตจวบจนปัจจุบันของการะเกดประดังเข้ามาในหัวของมาวินราวน้ำทะลักไหลจากเขื่อน ใช้เวลาดูภาพไม่นานมาวินก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการะเกด
“ถามเขาซิณภัทรว่าอยากรู้เรื่องอะไร” มาวินบอก ณภัทรทำตาม
“ช่วงนี้พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ ไม่มีสมาธิทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เหงา ๆ เศร้า ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกัน พัดมีวิธีที่จะทำให้พี่กลับมากระฉับกระเฉงเหมือนเดิมไหม?”
“เฮ้อ... เรื่องอย่างนี้ไม่เห็นต้องมาถาม น่าจะรู้อยู่แก่ใจ” มาวินพูดกับตนเองน้ำเสียงแฝงแววประชดประชัน เขาบอกให้ณภัทรพูดตามที่เขาพูด ณภัทรก็ทำตามโดยดี
“ที่พี่ไม่ค่อยสบายใจเพราะเรื่องที่ทะเลาะกับพ่อรึเปล่า?”
เหมือนมีหอกแหลมมาแทงกลางใจดำ การะเกดอึ้งจ้องณภัทรเขม็งอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น หมอดูคนนี้ดูแม่นเหมือนตาเห็นเลยจริง ๆ
“ใช่! รู้ได้ยังไง วันนั้นพี่ทะเลาะกับพ่อเรื่องโรงพยาบาลที่จะเข้าไปฝึกงาน ตัวพี่อยากไปฝึกงานช่วยเหลือผู้ป่วยที่ชายแดนใต้ เพราะที่นั้นขาดแพทย์เฉพาะทาง ที่นั่นไม่ได้อันตรายอย่างที่พวกเราคิดหรอกนะ แต่พ่อพี่น่ะซิอยากให้พี่เข้าฝึกงานที่โรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในเมืองแล้วพอเรียนจบก็เข้าทำงานเสียที่นั่น โรงพยาบาลใหญ่ ๆ บริหารเหมือนเป็นธุรกิจแบบนั้นพี่รับไม่ได้ ที่นั่นมีแพทย์เก่ง ๆ ฝีมือดีอยู่แล้วมากมาย ค่ารักษาก็แพงจนชนชั้นล่างไม่มีโอกาสเข้าถึง พี่อยากให้คนที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ได้รับสิทธิ์ในการรักษาเหมือนคนในเมือง แต่พ่อพี่ไม่เข้าใจ พ่อพี่เห็นแก่ตัวเกินไปจึงไม่อยากกลับไปพบอีก นี่ก็สองเดือนมาแล้วที่พี่ไม่ได้กลับบ้าน” การะเกดเล่าสีหน้าระอา ไม่พอใจความคิดของผู้เป็นพ่อ
“พี่คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว งั้นผมจะเล่าให้พี่ฟังใหม่อีกรอบ”
การะเกดหันมามองณภัทรด้วยความสนใจใคร่รู้ มีเรื่องราวอะไรในชีวิตที่เธอหลงลืมไป ณภัทรเล่าเรื่องราวตามที่ได้ยินมาจากมาวิน กล่องเก็บความทรงจำสีจาง ๆ ของการะเกดถูกเปิดออก ภาพในอดีตที่เลือนลางกลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครา
วันที่เด็กหญิงการะเกดเพิ่งเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง เธอร้องไห้โยเยกอดพ่อที่มาส่งแน่นไม่ยอมปล่อย คุณครูยิ้มใจดีก็เข้ามาปลอบเอาของเล่นมาหลอกให้ตามเข้าไปเล่นต่อในห้องเรียนก็ไม่เป็นผล พ่อมอบยิ้มละมุนใจให้พลางลูบหัวอย่างเอ็นดูแล้วพูดว่า
“เกดเด็กดีของพ่อ ตอนนี้หนูโตและมีหน้าที่ต้องเรียนหนังสือ พ่อก็มีหน้าที่ต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงหนู เราต่างคนก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนนะ เอาอย่างนี้ ถ้าหนูยอมไปกับคุณครูและหยุดร้องไห้พ่อสัญญาว่าเมื่อถึงเวลาโรงเรียนเลิกพ่อจะกลับมารับหนูและพาไปซื้อจักรยานสีชมพูคันที่หนูอยากได้”
“จริงเหรอคะ พ่อจะซื้อให้หนูจริงเหรอคะ แล้วเมื่อไรพ่อจะมารับหนูล่ะ?” เด็กหญิงการะเกดถามแววตาใสซื่อ
“อีกไม่นานเกินรอจ๊ะ” ว่าแล้วพ่อก็วางลูกน้อยพร้อมจูบที่หน้าผาก เด็กหญิงคิดถึงคำสอนของพ่อท่องไว้ในใจว่าต้องเป็นเด็กดีให้พ่อเห็นให้ได้จึงกลั้นสะอื้นโบกมือลาคุณพ่อแล้วยอมให้คุณครูอุ้มเข้าห้องเรียน
ตลอดระยะเวลาของการมาโรงเรียนวันแรก เด็กหญิงการะเกดเอาแต่ถามคุณครูว่าเมื่อไรโรงเรียนจะเลิก คุณครูชี้นาฬิกาแขวนผนังให้ดูแล้วบอกว่าเมื่อไรที่เข็มสั้นชี้เลขสาม เข็มยาวชี้เลขหก เมื่อนั้นคุณพ่อของหนูก็จะมารับ เด็กหญิงการะเกดเอาแต่จ้องมองนาฬิกาไม่ยอมลุกไปเล่นของเล่นกับกลุ่มเพื่อน ๆ ตั้งตารอเวลาที่เข็มสั้นชี้เลขสาม เข็มยาวชี้เลขหก
เมื่อนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง เด็กหญิงการะเกดก็คว้ากระเป๋าวิ่งออกมาจากห้องเรียน เธอพบพ่อรออยู่ข้างนอกนี้จึงโผเข้ากอดด้วยความคิดถึง พ่ออุ้มเธอเดินมาถึงหน้าโรงเรียน เด็กหญิงเห็นรถขายไอศกรีมก็นึกอยากกินจึงขอพ่อ เมื่อพ่อวางเธอลงเธอก็รีบวิ่งตรงไปยังรถขายไอศกรีมทันทีโดยไม่ทันระวังรถ