พ่อหมออลเวง ตอนที่๔

กระทู้สนทนา

ตอนที่ ๔



สองสาวที่เพิ่งเข้ามาในห้อง   คนหนึ่งเป็นประธานชมรมอาสาเพื่อสังคมชื่อ “น้ำเพชร”   อีกคนเป็นกรรมการชมรมคนสนิทชื่อ “มุกลัดดา”   สองสาวเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์   มีรูปร่างที่ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด   น้ำเพชรสูงราว ๑๖๐ เซนติเมตร   ผิวพรรณขาวผ่องเหมือนจ้อน   ใบหน้าเรียวเล็กเข้ากับริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่ม   ผมดำยาวสลวยถูกรวบตึงไว้ด้านหลังดูราวกับเด็กมัธยมต้น   เธอดูไม่เหมือนนักศึกษาชั้นปีที่สามเลย   ดูอายุอ่อนกว่าวัยตั้งห้าปี

ส่วนมุกลัดดาเป็นนักกีฬาว่ายน้ำประจำมหาวิทยาลัย   สมัยเรียนชั้นมัธยมเคยเป็นนักกีฬาวอลเล่ย์บอลของโรงเรียน   จึงไม่แปลกที่เธอจะมีผิวสีน้ำตาลอ่อนและมีส่วนสูงเกินหญิงสาวธรรมดา ๆ เธอสูง ๑๗๓ เซนติเมตรท่าทางกระฉับกระเฉงอยู่ตลอดเวลา   ไว้ผมซอยสั้นใบหน้าไร้การประทินโฉมใด ๆ จึงดูแก่กว่าวัยไปตั้งห้าปี

ประธานชมรมอาสาเพื่อสังคมแปลกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นสภาพห้องชมรมที่เปลี่ยนไป   แท่นบูชาของเผ่าอะไรมาตั้งตรงมุมด้านหนึ่งของห้อง   สมัยนี้วิทยาการความรู้ก้าวหน้าไปมากไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีลัทธิบูชาผีป่านางไม้มาตั้งอยู่ในสถานศึกษาของเหล่าปัญญาชนแบบนี้

“เล่นสนุกอะไรกัน   ที่นี่ห้องชมรมเป็นที่สาธารณะไม่ใช่พื้นที่ส่วนตัวที่นึกอยากจะทำอะไรก็ทำ” น้ำเพชรว่าด้วยน้ำเสียงค่อนแคะ

“เล่นที่ไหน   ที่นี่คือสำนักหมอดูพ่อหมอณภัทร   จะดูดวงไหมล่ะ   แม่นอย่าบอกใครเชียวนะ” จ้อนโพทะนา

ณภัทรวางท่า   คู่หูประจัญบานของแม่ประธานชมรมหูผึ่งขึ้นมาทันทีเมื่อพูดถึงเรื่องดูดวง

“จริงเหรอ   ดูให้ฉันบ้างซิจะแม่นเหมือนอย่างที่โม้ไว้รึเปล่า?”

มุกลัดดาทำท่าจะเดินมาหาพ่อหมอแต่น้ำเพชรรั้งเอาไว้ได้ก่อน

“อย่านะยัยมุก   จะไปเล่นไร้สาระกับพวกนั้นทำไม   เราเรียนอยู่คณะวิทยาศาสตร์เชื่อแต่เรื่องที่พิสูจน์ได้เท่านั้น   ใครที่อ้างตัวว่ามีตาทิพย์มองเห็นอนาคตขอให้รู้ไว้เลยว่าคนผู้นั้นโกหก   มนุษย์เราจะมองเห็นอนาคตได้อย่างไรกัน   ทุกสิ่งที่เกิดล้วนเพราะเราเป็นคนกระทำ   มีเหตุก็ต้องมีผล”

“โถ่... ยัยเพชร   ไม่เห็นจะมีอะไรเลย   แค่ดูดวงสนุก ๆ เท่านั้นเอง” มุกลัดดาว่า

“ถึงอย่างนั้นก็เถอะ   ฉันอยากให้พวกหมอเดาหมดไปจากสังคมเราเสียที   พวกหากินกับเรื่องงมงายไร้สาระ”

ณภัทรรีบสวนทันที

“เธอก็อย่างมงายวิทยาศาสตร์มากไปหน่อยเลยน่า   บางเรื่องวิทยาศาสตร์ก็อธิบายไม่ได้”

น้ำเพชรหันมาแววตาขุ่นเคือง

“เก็บข้าวของพวกนั้นออกไปให้หมด   ไม่มีใครมีสิทธิ์ใช้ห้องชมรมตามอำเภอใจ”

“ฉันก็ไม่เห็นว่าเราจะได้ใช้ห้องนี้เท่าไรเลยนี่   ให้ฉันตั้งสำนักหมอดูดีกว่าปล่อยห้องว่างให้ฝุ่นจับ”

“ฝุ่นไม่มีทางจับหรอกเพราะฉันเข้ามาทำความสะอาดทุกอาทิตย์   และเย็นนี้จะมีการประชุมกรรมการชมรม   ถือโอกาสบอกนายสองคนให้รู้ไว้ตรงนี้ด้วยเลย   เห็นไหมห้องนี้ได้ใช้ประโยชน์แล้ว   เพราะฉะนั้นนายก็ขนข้าวของของนายออกไปจากห้องนี้ซะ”

“เรื่องอย่างนี้ให้เธอตัดสินใจคนเดียวไม่ได้หรอก   ไว้ตอนเย็นกรรมการชมรมมาค่อนตัดสินกันว่าจะเอายังไงกับสำนักหมอดูของฉัน   แต่ฉันมั่นใจว่าสำนักของฉันจะยังอยู่ที่นี่เหมือนเดิม   เพราะใคร ๆ ก็ชอบดูดวงทั้งนั้น” ณภัทรท่าทางมั่นอกมั่นใจ

“เหรอ   ฉันเห็นนายมั่นใจเสียทุกเรื่อง   แล้วสุดท้ายเป็นอย่างไรล่ะ   ก็แห้วตลอด” น้ำเพชรปรามาส

ณภัทรหน้าเจื่อน

“งั้นเธอเตรียมหน้าแตกได้เลย   แม่ประธานชมรมคลั่งวิทยาศาสตร์!”


ณภัทรและจ้อนเดินออกจากอาคารเรียนรวมมุ่งหน้าสู่ทางเดินไปยังตึกสโมสรนักศึกษา   ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเย็นแล้วไปประชุมสายแน่ ๆ   คาบเรียนสุดท้ายของวันนี้คือวิชาจิตวิทยา   อาจารย์สอนเรื่องการสะกดจิตตัวเองเพื่อจัดการกับปัญหาให้อยู่หมัด   นั่นทำให้ณภัทรมีกำลังใจเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น

“ไอ้พัดแกแน่ใจเหรอว่ากรรมการชมรมจะเห็นด้วยกับแก   พวกนั้นเรียนคณะวิทยาศาสตร์   คณะวิศวะ   คณะแพทย์ทั้งนั้นเลยนะ   ยังไง ๆ เขาก็ไม่เชื่อเรื่องพวกนี้หรอก” จ้อนพูดพลางก้าวเท้าให้ทันณภัทรซึ่งขายาวกว่า

“คนไทยชอบดูดวงจนเป็นนิสัย   เรียกว่าฝังอยู่ในดีเอ็นเอเลยก็ว่าได้   ไม่อย่างนั้นตลาดนัดหน้ามอคงไม่มีพ่อหมอแม่หมอให้พรึบขนาดนั้นหรอกจริงไหม   ขนาดยัยมุกคู่หูยัยประธานยังวิ่งเข้าใส่เลยตอนที่แกบอกว่าฉันดูแม่น”

“ยัยนั่นกะโหลกกะลาจะตายไปแกก็รู้   ถ้าไม่เกาะยัยน้ำเพชรไม่รู้จะเรียนมาถึงปีสามได้รึเปล่า”

“แกก็พูดเกินไป   ระวังยัยนั่นมาได้ยินเข้าจะสกายคิกอัดหน้าเอา   ยิ่งเถื่อน ๆ อยู่ด้วยคนนี้   ไม่รู้มีใครอยากแต่งงานด้วยรึเปล่า   ทะมันทะแมงเกินผู้หญิงเสียอย่างนั้น”

“นั่นน่ะซิ   ใครตกหลุมรักยัยนั่นต้องไปหาหมอเช็กประสาทให้ดี ๆ”

ณภัทรและจ้อนเป็นกรรมการชมรมที่มาถึงเป็นลำดับสุดท้าย   คนอื่น ๆ นั่งพร้อมกันหน้าสลอนอยู่บนโต๊ะมองมาที่ทั้งสองด้วยแววตาตำหนิ   ณภัทรเดาไว้ในใจว่าไม่เรื่องมาสายก็เรื่องที่ตั้งสำนักหมอดูโดยพละการ   แต่สังหรณ์ใจว่าเป็นเรื่องสุดท้ายเสียมากกว่า   ตอนที่ทั้งสองยังมาไม่ถึงยัยประธานชมรมคงใช้บุคลิกหน้าตาน่าเชื่อถือเป่าหูกรรมการทุกคนให้เห็นคล้อยตามเธอ

“พัด!   จอห์น!   ทำแบบนี้ได้ยังไง   ตั้งสำนักหมอดูแล้ว...”

การะเกด   นักศึกษาคณะแพทย์ชั้นปีที่๕   ผู้อาวุโสที่สุดในบรรดากรรมการชมรมพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ   ณภัทรคิดไว้อยู่แล้วว่าต้องลงเอยแบบนี้จึงพยายามสะกดจิตหลอกตัวเองมาตั้งแต่ต้นคาบวิชาจิตวิทยาแต่ก็ไม่เป็นผล   หมั่นไส้ยิ้มแสยะของน้ำเพชรที่ส่งมาให้เหลือเกิน

“...แล้วทำไมไม่โทรฯบอกพี่   วันนี้พี่นั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ที่หอทั้งวันเบื่อมาก   อยากดูดวงแก้เซ็งเสียหน่อยไว้ประชุมเสร็จดูให้พี่หน่อยนะ” การะเกดแสดงท่าทีสนอกสนใจ

ณภัทรอึ้ง   ผิดจากที่คาดไปมาก   ใครจะไปนึกล่ะว่านักศึกษาแพทย์จะชอบดูดวงด้วยเหมือนกัน

“ฉันต่อนะ”

“ฉันด้วย ๆ”

“เฮ้ย! ฉันก่อนซิ”

กรรมการคนอื่น ๆ ก็สนใจด้วยต่างแย่งจองคิวกันใหญ่   เสียงใครบางคนหน้าแตกทำณภัทรชุ่มชื่นหัวใจยิ่งนัก   สะใจจริง ๆ ให้ยัยประธานชมรมเรียนรู้เสียบ้างว่าไม่มีใครแพ้ตลอดไป   บทเรียนนี้จะเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เธอมั่นใจในตัวเองมากเกินไปจนเสียหน้าแบบคราวนี้อีก
ณภัทรยิ้มหน้าบาน   ฝันถึงค่าบูชาครูที่กำลังจะได้

“ได้ครับ ๆ ไว้ประชุมเสร็จผมจะยังไม่กลับ   จะอยู่ดูดวงให้ทุกคนก่อน   ส่วนเรื่องค่าบูชาครูผมจะให้ไอ้จ้อน...”

จ้อนเอาศอกแทงสีข้างเพื่อน   หวังเตือนสติไม่ให้ลืมเรื่องที่ตกลงกันไว้”

“เอ่อ... ไอ้จอห์นเป็นคนเก็บนะครับ   แล้วแต่จิตศรัทรา   แต่บอกไว้ก่อนว่ายิ่งมากยิ่งแม่น”

จ้อนตกลงกับณภัทรว่าเวลาอยู่ในที่สาธารณะพบปะผู้คน   ณภัทรต้องเรียกจ้อนว่า “จอห์น”   เหตุผลเพื่อความเท่ห์และทันสมัย   การประชุมวันนี้พูดถึงเรื่องกิจกรรมต่อไปของชมรม   ช่วงนี้เพิ่งเปิดเทอมใหม่มีการรับน้องทั้งในและนอกสถานที่   ทางชมรมจึงอยากจัดกิจกรรมรณรงค์การรับน้องอย่างปลอดภัย   สุภาพไม่อนาจารและไม่ละเมิดสิทธิผู้อื่น   ซึ่งการประชุมก็ราบรื่นไปได้ด้วยดีโดยใช้เวลาไม่นาน   ไม่รู้ว่าสาเหตุมาจากการเตรียมงานอย่างละเอียดรอบคอบของประธานชมรมหรือสมาชิกทุกคนช่วยกันเร่งการประชุมให้ไปไวเพื่อจะได้ถึงเวลาดูดวงเร็ว ๆ กันแน่
ณภัทรนั่งบนเบาะหน้าแท่นบูชา   การะเกดนั่งประจันหน้าอยู่ฝั่งตรงข้าม   เมื่อจ้อนยื่นขันเงินเข้ามาใกล้การะเกดก็ควักธนบัตรหนึ่งร้อยบาทหย่อนลงไป   เมื่อเห็นว่าได้เงินมาแล้วณภัทรก็เริ่มทำงาน

“เอาละครับพี่จ้องตาผมไว้นะ” ณภัทรพูดพลางจ้องสายตาแน่วแน่ไปยังการะเกด

ทันทีที่การะเกดสบสายตาณภัทร   มนต์เชื่อมสายตาที่มาวินได้ร่ายไว้ก็ทำงาน   ทุกภาพที่ณภัทรเห็นมาวินจะเห็นด้วย   ภาพเรื่องราวในอดีตจวบจนปัจจุบันของการะเกดประดังเข้ามาในหัวของมาวินราวน้ำทะลักไหลจากเขื่อน   ใช้เวลาดูภาพไม่นานมาวินก็รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับการะเกด

“ถามเขาซิณภัทรว่าอยากรู้เรื่องอะไร” มาวินบอก   ณภัทรทำตาม

“ช่วงนี้พี่รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ   ไม่มีสมาธิทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน   เหงา ๆ เศร้า ๆ บอกไม่ถูกเหมือนกัน   พัดมีวิธีที่จะทำให้พี่กลับมากระฉับกระเฉงเหมือนเดิมไหม?”

“เฮ้อ... เรื่องอย่างนี้ไม่เห็นต้องมาถาม   น่าจะรู้อยู่แก่ใจ” มาวินพูดกับตนเองน้ำเสียงแฝงแววประชดประชัน   เขาบอกให้ณภัทรพูดตามที่เขาพูด   ณภัทรก็ทำตามโดยดี

“ที่พี่ไม่ค่อยสบายใจเพราะเรื่องที่ทะเลาะกับพ่อรึเปล่า?”

เหมือนมีหอกแหลมมาแทงกลางใจดำ   การะเกดอึ้งจ้องณภัทรเขม็งอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น   หมอดูคนนี้ดูแม่นเหมือนตาเห็นเลยจริง ๆ

“ใช่! รู้ได้ยังไง   วันนั้นพี่ทะเลาะกับพ่อเรื่องโรงพยาบาลที่จะเข้าไปฝึกงาน   ตัวพี่อยากไปฝึกงานช่วยเหลือผู้ป่วยที่ชายแดนใต้   เพราะที่นั้นขาดแพทย์เฉพาะทาง   ที่นั่นไม่ได้อันตรายอย่างที่พวกเราคิดหรอกนะ   แต่พ่อพี่น่ะซิอยากให้พี่เข้าฝึกงานที่โรงพยาบาลใหญ่ ๆ ในเมืองแล้วพอเรียนจบก็เข้าทำงานเสียที่นั่น   โรงพยาบาลใหญ่ ๆ บริหารเหมือนเป็นธุรกิจแบบนั้นพี่รับไม่ได้   ที่นั่นมีแพทย์เก่ง ๆ ฝีมือดีอยู่แล้วมากมาย   ค่ารักษาก็แพงจนชนชั้นล่างไม่มีโอกาสเข้าถึง   พี่อยากให้คนที่ด้อยโอกาสเหล่านี้ได้รับสิทธิ์ในการรักษาเหมือนคนในเมือง   แต่พ่อพี่ไม่เข้าใจ   พ่อพี่เห็นแก่ตัวเกินไปจึงไม่อยากกลับไปพบอีก   นี่ก็สองเดือนมาแล้วที่พี่ไม่ได้กลับบ้าน” การะเกดเล่าสีหน้าระอา   ไม่พอใจความคิดของผู้เป็นพ่อ

“พี่คงลืมเรื่องนี้ไปแล้ว   งั้นผมจะเล่าให้พี่ฟังใหม่อีกรอบ”

การะเกดหันมามองณภัทรด้วยความสนใจใคร่รู้   มีเรื่องราวอะไรในชีวิตที่เธอหลงลืมไป   ณภัทรเล่าเรื่องราวตามที่ได้ยินมาจากมาวิน   กล่องเก็บความทรงจำสีจาง ๆ ของการะเกดถูกเปิดออก   ภาพในอดีตที่เลือนลางกลับมาเด่นชัดขึ้นอีกครา

วันที่เด็กหญิงการะเกดเพิ่งเข้าเรียนชั้นอนุบาลหนึ่ง   เธอร้องไห้โยเยกอดพ่อที่มาส่งแน่นไม่ยอมปล่อย   คุณครูยิ้มใจดีก็เข้ามาปลอบเอาของเล่นมาหลอกให้ตามเข้าไปเล่นต่อในห้องเรียนก็ไม่เป็นผล   พ่อมอบยิ้มละมุนใจให้พลางลูบหัวอย่างเอ็นดูแล้วพูดว่า

“เกดเด็กดีของพ่อ   ตอนนี้หนูโตและมีหน้าที่ต้องเรียนหนังสือ   พ่อก็มีหน้าที่ต้องทำงานหาเงินมาเลี้ยงหนู   เราต่างคนก็ต้องรับผิดชอบหน้าที่ของตนนะ   เอาอย่างนี้   ถ้าหนูยอมไปกับคุณครูและหยุดร้องไห้พ่อสัญญาว่าเมื่อถึงเวลาโรงเรียนเลิกพ่อจะกลับมารับหนูและพาไปซื้อจักรยานสีชมพูคันที่หนูอยากได้”

“จริงเหรอคะ   พ่อจะซื้อให้หนูจริงเหรอคะ   แล้วเมื่อไรพ่อจะมารับหนูล่ะ?” เด็กหญิงการะเกดถามแววตาใสซื่อ

“อีกไม่นานเกินรอจ๊ะ” ว่าแล้วพ่อก็วางลูกน้อยพร้อมจูบที่หน้าผาก   เด็กหญิงคิดถึงคำสอนของพ่อท่องไว้ในใจว่าต้องเป็นเด็กดีให้พ่อเห็นให้ได้จึงกลั้นสะอื้นโบกมือลาคุณพ่อแล้วยอมให้คุณครูอุ้มเข้าห้องเรียน

ตลอดระยะเวลาของการมาโรงเรียนวันแรก   เด็กหญิงการะเกดเอาแต่ถามคุณครูว่าเมื่อไรโรงเรียนจะเลิก   คุณครูชี้นาฬิกาแขวนผนังให้ดูแล้วบอกว่าเมื่อไรที่เข็มสั้นชี้เลขสาม   เข็มยาวชี้เลขหก   เมื่อนั้นคุณพ่อของหนูก็จะมารับ   เด็กหญิงการะเกดเอาแต่จ้องมองนาฬิกาไม่ยอมลุกไปเล่นของเล่นกับกลุ่มเพื่อน ๆ   ตั้งตารอเวลาที่เข็มสั้นชี้เลขสาม   เข็มยาวชี้เลขหก

เมื่อนาฬิกาบอกเวลาบ่ายสามโมงครึ่ง   เด็กหญิงการะเกดก็คว้ากระเป๋าวิ่งออกมาจากห้องเรียน   เธอพบพ่อรออยู่ข้างนอกนี้จึงโผเข้ากอดด้วยความคิดถึง   พ่ออุ้มเธอเดินมาถึงหน้าโรงเรียน   เด็กหญิงเห็นรถขายไอศกรีมก็นึกอยากกินจึงขอพ่อ   เมื่อพ่อวางเธอลงเธอก็รีบวิ่งตรงไปยังรถขายไอศกรีมทันทีโดยไม่ทันระวังรถ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  แต่งนิยาย
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่