ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณทุกๆคนที่ช่วยตอบคำถามต่างๆนานาที่เราเคยโพสถามไว้ ช่วยได้มากเลยค่ะกับคนไม่มีประสบการณ์ขอวีซ่าประเภทนี้ และ ณ ตอนนี้ได้วีซ่ามานอนกอดแล้วค่ะ ดีใจมากๆเลยจะได้ตะลุยยุโรปแล้ว
ต้นเดือนมิ.ย.มีแพลนขอวีซ่าเยี่ยมเยียนค่ะ ด้วยความที่เรียนจบจากม.ชื่อดังที่เชียงใหม่ ก็เลยคุ้นชินกับเชียงใหม่มากกว่า เลยคิดว่า ยังไงก็ต้องไปสัมภาษณ์สถานทูตเยอรมันที่เชียงใหม่แน่นอน แต่พอโทรถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่ต้องนัดค่ะ มาได้เลย แต่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 1,000 บาท ใช้เวลาดำเนินการ 2 สัปดาห์...ป๊าด ทำไมนานเยี่ยงนั้น แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว เชียงใหม่ก็เชียงใหม่ พอมาคุยกะน้องที่เคยขอวีซ่าประเภทนี้ที่เชียงใหม่ เค้าบอกว่าใช้เวลา 3 สัปดาห์ค่ะ เพราะต้องส่งเรื่องไปที่ กทม. แล้วถึงส่งกลับมาเชียงใหม่ มันหลายทอดเลยเกิน เลยต้องเปลี่ยนใจกะทันหันไปสัมภาษณ์ที่ กทม. เพราะคิดว่าถ้ารอถึงตอนนั้น ค่าตั๋วคงบานเลย
เราอายุ 23 ปี เพิ่งจบ ป.โท ตอนเดือนมีนา 56 ตอนนี้ทำงานให้พ่อค่ะ พ่อมีธุรกิจส่วนตัว และเราก็เรียน มสธ.ควบคู่กับการทำงานไปด้วย เงินในบัญชีมีประมาณ 80,000 บาท หุ้นมูลค่าไม่ถึงหลักแสน รถยนต์ที่เป็นชื่อตัวเอง 1 คัน
วันที่ตัดสินใจไปขอวีซ่าที่ กทม. กลัวมากค่ะ ได้ยินกิตติศัพท์มาแล้ว ใจหวิวๆ แต่ก็สู้ค่ะ สถานทูตเยอรมันที่ กทม.จะต้องโทรไปนัดคิวก่อนค่ะ ซึ่งเบอร์โทรของสถานทูตโทรได้ทุกเครือข่าย ยกเว้น ทรู นะคะ เค้าจะขอชื่อ-นามสกุล และเลขพาสปอร์ตเราค่ะ แล้วเค้าก็จะให้จดเบอร์จองของเรา ตอนเราสัมภาษณ์ ได้คิวตอน 8.30 ค่ะ
เอกสารที่เราเอาไป
1.พาสปอร์ตเล่มใหม่
2.พาสปอร์ตเล่มเก่า
3.แบบฟอร์มวีซ่าที่กรอกเรียบร้อยแล้ว
4.Belehrung (เอกสารนี้ดาวโหลดได้ที่เว็บสถานทูตค่ะ)
5.สมุดบัญชีธนาคาร
6.bank statement
7.เอกสารการเป็นเจ้าของรถ
8. statement พอร์ตหุ้น
9.หนังสือรับรองการเป็นนักศึกษาของ มสธ.
10.หนังสือเชิญจากทางเยอรมัน (แม่แฟนเป็นคนเชิญ)
11.สำเนาพาสปอร์ตของแฟนและแม่แฟน (เอาหน้าแรกที่มีรายละเอียดของบุคคลและหน้าที่มีการแสตมป์เข้ามาเที่ยวประเทศไทย)
12.สำเนาทะเบียนบ้านเรา
13.หนังสือรับรองการทำงาน
14.กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่เราทำไว้กับบริษัทที่สถานทูตรับรอง
ทุกอย่างต้องมีสำเนา 1 ชุดนะคะ ถ่ายเอกสารไปให้เรียบร้อย ถ้าพลาดไปถ่ายตรงนั้น แผ่นละ 3 บาท พอไปยื่น เค้าให้ statement พอร์ตหุ้น และเอกสารการเป็นเจ้าของรถคืนค่ะ อารมณ์ว่า ไม่ใช้ -_- และเราไม่มีจดหมายแนะนำตัวหรือรูปถ่ายอะไรไปทั้งสิ้น และเค้าก็ไม่ขอดูด้วยค่ะ
ไปถึงเค้าจะมีโต๊ะที่มีคำแนะนำในการจัดเรียงเอกสาร เราต้องจัดเรียงตามนั้นเป๊ะๆ พร้อมสำเนาอีก 1 ชุด เพราะไม่งั้นเค้าไล่กลับมาเรียงใหม่ (เราโดนมาแล้วค่ะ) จัดเสร็จเรียบร้อยนั่งรอ เค้าเรียกอีกทีก็ตอนใกล้ 8.30 ไปนั่งรอหน้าห้องสัมภาษณ์ ซึ่งจะแบ่งเป็นล็อคๆ เท่าที่เห็นน่าจะแบ่งตามประเภทของวีซ่าที่ขอนะคะ ของเราวันนั้นวีซ่าเยี่ยมเยียนเป็นช่อง 8 ค่ะ เจ้าหน้าที่หน้าใสๆ หมวยๆ น่ารักๆ แต่หน้าเครียดตลอดเวลา เค้าจะมีแบบฟอร์มของเค้า แล้วเค้าก็ถามเราตามแบบฟอร์ม คำถามที่เราเจอมีดังนี้ค่ะ
1.ขอวีซ่าไปทำไม
2.ใครเป็นคนเชิญ
3.คุณทำงานอะไร ธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับอะไร แล้วคุณทำหน้าที่อะไร
4.เจอกับแฟนได้ยังไง ที่ไหน เมื่อไร เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไร คุยกะแฟนภาษาอะไร
5.แฟนเคยส่งเงินให้มั้ย
6.จะมารับพาสปอร์ตเองหรือส่งทางไปรษณีย์
เค้าถามตรง เราก็ตอบตรงค่ะ หัวใจสำคัญของการตอบคำถามคือ "ไม่โกหก" ค่ะ
เราไปขอวันอังคาร ได้วันศุกร์ภายในสัปดาห์เดียวกันค่ะ สถานทูตทำงานไวมาก ไปรษณีย์ไทยก็แจ่มค่ะ เพอร์เฟกทุกอย่าง ขอแถมนิดนึง จองตั๋วกับ bkkfly.com แจ๋วค่ะ พี่พนักงานให้บริการดีมาก
ใครว่าขอวีซ่าเยี่ยมเยียนที่สถานทูตเยอรมันยาก...ง่ายนิดเดียวค่ะ
ต้นเดือนมิ.ย.มีแพลนขอวีซ่าเยี่ยมเยียนค่ะ ด้วยความที่เรียนจบจากม.ชื่อดังที่เชียงใหม่ ก็เลยคุ้นชินกับเชียงใหม่มากกว่า เลยคิดว่า ยังไงก็ต้องไปสัมภาษณ์สถานทูตเยอรมันที่เชียงใหม่แน่นอน แต่พอโทรถามเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่ต้องนัดค่ะ มาได้เลย แต่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม 1,000 บาท ใช้เวลาดำเนินการ 2 สัปดาห์...ป๊าด ทำไมนานเยี่ยงนั้น แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว เชียงใหม่ก็เชียงใหม่ พอมาคุยกะน้องที่เคยขอวีซ่าประเภทนี้ที่เชียงใหม่ เค้าบอกว่าใช้เวลา 3 สัปดาห์ค่ะ เพราะต้องส่งเรื่องไปที่ กทม. แล้วถึงส่งกลับมาเชียงใหม่ มันหลายทอดเลยเกิน เลยต้องเปลี่ยนใจกะทันหันไปสัมภาษณ์ที่ กทม. เพราะคิดว่าถ้ารอถึงตอนนั้น ค่าตั๋วคงบานเลย
เราอายุ 23 ปี เพิ่งจบ ป.โท ตอนเดือนมีนา 56 ตอนนี้ทำงานให้พ่อค่ะ พ่อมีธุรกิจส่วนตัว และเราก็เรียน มสธ.ควบคู่กับการทำงานไปด้วย เงินในบัญชีมีประมาณ 80,000 บาท หุ้นมูลค่าไม่ถึงหลักแสน รถยนต์ที่เป็นชื่อตัวเอง 1 คัน
วันที่ตัดสินใจไปขอวีซ่าที่ กทม. กลัวมากค่ะ ได้ยินกิตติศัพท์มาแล้ว ใจหวิวๆ แต่ก็สู้ค่ะ สถานทูตเยอรมันที่ กทม.จะต้องโทรไปนัดคิวก่อนค่ะ ซึ่งเบอร์โทรของสถานทูตโทรได้ทุกเครือข่าย ยกเว้น ทรู นะคะ เค้าจะขอชื่อ-นามสกุล และเลขพาสปอร์ตเราค่ะ แล้วเค้าก็จะให้จดเบอร์จองของเรา ตอนเราสัมภาษณ์ ได้คิวตอน 8.30 ค่ะ
เอกสารที่เราเอาไป
1.พาสปอร์ตเล่มใหม่
2.พาสปอร์ตเล่มเก่า
3.แบบฟอร์มวีซ่าที่กรอกเรียบร้อยแล้ว
4.Belehrung (เอกสารนี้ดาวโหลดได้ที่เว็บสถานทูตค่ะ)
5.สมุดบัญชีธนาคาร
6.bank statement
7.เอกสารการเป็นเจ้าของรถ
8. statement พอร์ตหุ้น
9.หนังสือรับรองการเป็นนักศึกษาของ มสธ.
10.หนังสือเชิญจากทางเยอรมัน (แม่แฟนเป็นคนเชิญ)
11.สำเนาพาสปอร์ตของแฟนและแม่แฟน (เอาหน้าแรกที่มีรายละเอียดของบุคคลและหน้าที่มีการแสตมป์เข้ามาเที่ยวประเทศไทย)
12.สำเนาทะเบียนบ้านเรา
13.หนังสือรับรองการทำงาน
14.กรมธรรม์ประกันสุขภาพที่เราทำไว้กับบริษัทที่สถานทูตรับรอง
ทุกอย่างต้องมีสำเนา 1 ชุดนะคะ ถ่ายเอกสารไปให้เรียบร้อย ถ้าพลาดไปถ่ายตรงนั้น แผ่นละ 3 บาท พอไปยื่น เค้าให้ statement พอร์ตหุ้น และเอกสารการเป็นเจ้าของรถคืนค่ะ อารมณ์ว่า ไม่ใช้ -_- และเราไม่มีจดหมายแนะนำตัวหรือรูปถ่ายอะไรไปทั้งสิ้น และเค้าก็ไม่ขอดูด้วยค่ะ
ไปถึงเค้าจะมีโต๊ะที่มีคำแนะนำในการจัดเรียงเอกสาร เราต้องจัดเรียงตามนั้นเป๊ะๆ พร้อมสำเนาอีก 1 ชุด เพราะไม่งั้นเค้าไล่กลับมาเรียงใหม่ (เราโดนมาแล้วค่ะ) จัดเสร็จเรียบร้อยนั่งรอ เค้าเรียกอีกทีก็ตอนใกล้ 8.30 ไปนั่งรอหน้าห้องสัมภาษณ์ ซึ่งจะแบ่งเป็นล็อคๆ เท่าที่เห็นน่าจะแบ่งตามประเภทของวีซ่าที่ขอนะคะ ของเราวันนั้นวีซ่าเยี่ยมเยียนเป็นช่อง 8 ค่ะ เจ้าหน้าที่หน้าใสๆ หมวยๆ น่ารักๆ แต่หน้าเครียดตลอดเวลา เค้าจะมีแบบฟอร์มของเค้า แล้วเค้าก็ถามเราตามแบบฟอร์ม คำถามที่เราเจอมีดังนี้ค่ะ
1.ขอวีซ่าไปทำไม
2.ใครเป็นคนเชิญ
3.คุณทำงานอะไร ธุรกิจที่ทำเกี่ยวกับอะไร แล้วคุณทำหน้าที่อะไร
4.เจอกับแฟนได้ยังไง ที่ไหน เมื่อไร เจอกันครั้งสุดท้ายเมื่อไร คุยกะแฟนภาษาอะไร
5.แฟนเคยส่งเงินให้มั้ย
6.จะมารับพาสปอร์ตเองหรือส่งทางไปรษณีย์
เค้าถามตรง เราก็ตอบตรงค่ะ หัวใจสำคัญของการตอบคำถามคือ "ไม่โกหก" ค่ะ
เราไปขอวันอังคาร ได้วันศุกร์ภายในสัปดาห์เดียวกันค่ะ สถานทูตทำงานไวมาก ไปรษณีย์ไทยก็แจ่มค่ะ เพอร์เฟกทุกอย่าง ขอแถมนิดนึง จองตั๋วกับ bkkfly.com แจ๋วค่ะ พี่พนักงานให้บริการดีมาก