เหย้าบาหยัน : บทที่๓ : ภูตผีปีศาจ

กระทู้สนทนา
ความเดิมบทที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้



บทที่ ๓
ภูตผีปีศาจ




             เสียงขับไล่ของขจรไม่ได้ช่วยให้วิญญาณร้ายตนนั้นหนีถอยไปเลย  มือกร้านสากทั้งสองข้างยังคงกำผมของแก้วไว้แน่น  มันลากกระชากหัวเธอลงมาห้อยกับขอบเตียง  ทั้งดึง..ทั้งทึ้ง..กระตุกกระจุกผมซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนต้องการจะให้ผมขาดออกมาพร้อมกับหนังหัว  

             หญิงสาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทว่ายิ่งร้องอย่างทรมานเท่าไหร่ วิญญาณร้ายตนนั้นก็กลับหัวเราะชอบใจมากเท่านั้น   “ หยุด! ข้าบอกให้เอ็งหยุด! ” เสียงขจรตะคอกไล่อย่างดุดันเพื่อหยุดวิญญาณตนนั้นที่กำลังทำร้ายแก้วอย่างทรมาน

             “ กูจะเอาหนังหัวมัน!  อย่ามายุ่งกับกู! ” วิญญาณร้ายตะเบ็งกลับใส่ด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า  มือทั้งสองยังคงกระตุกหัวให้กระแทกกับขอบเตียง

             วิญญาณขจรพยายามจะเข้าไปช่วยหญิงสาว ทว่าอำนาจของแรงพยาบาทและมนต์ดำบางอย่างขวางกั้นไม่ให้เขาสามารถทำอะไรได้เลยนอกจากยืนดูและร้องขอความปรานีจากวิญญาณร้าย“ ปล่อยแม่แก้วไปเถิด ข้าขออโหสิกรรมแทน ”

             “ กรรมใครก็กรรมมัน หามีใครมาแทนได้ไม่ ออกไปซะไอ้ขุนขจร! ”  

             “ คุณขจรรรร..โอ้ยย..อย่าไป..ช่วยฉันด้วย” แก้วพยายามตะโกนสุดเสียงเพื่อเรียกให้ขจรอยู่ช่วย ทว่าเสียงนั้นมันเหมือนอยู่แค่ในลำคอ เพียงเธอเปล่งวาจา วิญญาณหญิงชราก็ดึงหัวเธอมาฟาดกระแทกกับขอบเตียงให้ถี่ขึ้นด้วยความโกรธ

             “ ฉันไม่ไปไหนดอก ฉันจะอยู่กับหล่อน” เสียงวิญญาณขจรตะโกนบอกหญิงสาวให้รู้สึกอุ่นใจ

             “ อยากอยู่ด้วยกันงั้นรึ แล้วเล่าอีแก้ว อยากอยู่เป็นผีด้วยขุนขจรหรือไม่ ฮ่าๆๆ ”  วิญญาณร้ายเริ่มใช้เล็บมือจิกกดไปที่โคนรากผมของแก้ว   และใช้ปลายเล็บงัดแงะเปลือกหนังหัวให้หลุดออกมาเรื่อยๆด้วยความชอบใจ


             “ โอ้ยยยยยยยย...” แก้วกรีดร้องอย่างทรมานแทบขาดใจ  

             “ แม่แก้ว...หล่อนจงฟังฉันและตั้งสติ  หล่อนจงสวดมนต์ของท่านขรัวโตตามฉัน  บัญชรแห่งพระชินสีห์จะเป็นเกราะให้หล่อนปลอดภัย  ”

             “ ฮ่าฮ่า น่าขันนัก ผีจะสวดมนต์ไล่ผีงั้นรึ  ต่อให้ตัวคนตนผีช่วยกันสวดมนต์ของขรัวไหนครูบาไหน  กูก็หากลัวไม่ ฮ่าๆๆๆ ”

             “ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ...  ”  วิญญาณขจรเริ่มกล่าวบทสวดบูชาพระพุทธเจ้า และพยายามเพ่งพินิจจิตให้ไปถึงแก้ว    

              ด้วยความเจ็บปวดปางตาย หญิงสาวจึงไม่มีสมาธิสนใจฟังหรือทำตามที่วิญญาณหนุ่มบอก  เพราะตอนนี้เธอก็ยังคงไม่สามารถขยับอวัยวะส่วนไหนได้เลย  ร่างกายก็กลับแข็งทื่อสภาพไม่ต่างจากศพที่ไร้วิญญาณ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเคลื่อนไหวได้ก็คือ ดวงจิตและลมหายใจ  

              หญิงสาวพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด พอเริ่มจะขึ้นคำว่า’นะโมตัสสะ’ วิญญาณหญิงชราก็ดึงหัวเธอเผยอขึ้นมา และกล่าวบทสวดกรอกใส่ที่หูของเธอด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าน่ากลัว “ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฮ่าๆๆ ”

               “ อย่าครั่นคร้ามใดๆ  จิตหล่อนหามีใครบังคับได้ไม่ แค่หล่อนเริ่มนะโม หล่อนก็จะภาวนาคำต่อไปได้แล้ว.....หายใจเข้าออก....แล้วท่องอยู่ในใจ ” แก้วเริ่มพยายามหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อเรียกหาสติ แต่สัมปชัญญะของเธอตอนนี้มันกำลังเจ็บปวดเพราะการถูกดึงหน่วงหนังหัวอย่างไม่ใยดี  

                ในระหว่างที่จิตใจวอกแวกวุ่นวาย เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ใบหน้าของย่าเธอก็แวบเข้ามาในใจ จากจุดนั้น..ก็บังเกิดความสงบในหนึ่งขณะจิต  จนทำให้เริ่มขึ้นต้นคำสวดมนต์ได้  “ นะ...โม..ตัสสะ...ภะ..คะ...วะโต....อะระหะ...โต...สัมมา..สัมพุท...ธัสสะ ”

               ในที่สุดก็รู้สึกขยับได้ที่ปลายนิ้ว เธอจึงใช้เล็บจิกไปที่เตียงเพื่อช่วยถ่ายเทความเจ็บปวด  ทว่าวิญญาณร้ายกลับพยายามดึงหัวและตัวเธอให้ลอยเหนือเตียง        หญิงสาวจึงใช้เล็บจิกยึดกับเตียงไว้เพื่อไม่ให้ถูกยกลอยตัวไปได้  “ ยิ่งฝืนเสียเท่าไหร่ กูก็ยิ่งถลกหนังหัวง่ายขึ้น ฮ่าๆๆ เอาเลยอีแก้ว เอาเลย  ”

               “ แม่แก้ว หล่อนสวดตามฉันต่อนะ  อย่าได้สนใจใดๆที่เกิดขึ้น จงตั้งมั่นอยู่กับคำสวดในทุกขณะจิต  ” หญิงสาวคลายนิ้วที่จิกเตียง ทำตัวให้เป็นอิสระและปล่อยให้วิญญาณร้ายดึงลอยขึ้นมาเหนือเตียง  ถึงแม้จะเจ็บจวนตายแค่ไหน หูก็ยังเฝ้าฟังเสียงของขจร และภาวนาบทสวดตามในใจ  

                พอสวดบทบูชาพระพุทธเจ้าครบสามจบ ในที่สุดก็สามารถลืมตาได้ ภาพที่เห็นคือ  วิญญาณขจรกำลังพนมมือสวดมนต์อยู่ที่มุมห้องใกล้ประตูทางเข้า   ส่วนวิญญาณหญิงชราลอยตัวห้อยหัวอยู่ด้านบน เมื่อเห็นหน้า มันก็คือวิญญาณตนเดียวกันกับที่เห็นที่ตลาดไพ้ค์เพลซมาเก็ต    

                สายตาของแก้วและวิญญาณหญิงชราปะทะกัน  เธอพยายามส่งสายตาอาทรณ์วิงวอนขอความกรุณาจากวิญญาณตนนั้น  ทว่ามันกลับเบิกตาโพลงและแสยะยิ้มอย่างสยดสยอง ภายในปากแทบจะไม่มีฟันเลยสักซี่ มีเพียงคราบน้ำหมากสีแดงและน้ำลายไหลมาเครอะที่ริมปาก

                วิญญาณขจรยังคงนำสวดมนต์ให้แก้วว่าตาม ส่วนวิญญาณร้ายก็ไม่ได้มีท่าทีกลัวเกรงใดๆเลย  มันกลับยิ่งสนุกมากขึ้น “ เอาเลย! ท่องกันร้อยจบหมื่นจบ กูก็หากลัวไม่  สาธุสาธุ  ฮ่าๆๆๆ ”
  
                “ แม่แก้ว อย่าหยุดนะ  สวดตามฉันต่อ....ชะยา...สะนา..คะตา..พุทธา...” ขจรเริ่มสวดในบทที่หนึ่ง  ส่วนแก้วก็พยายามท่องตามในใจให้ได้มากที่สุด “ ชะยา...ส ะนา..คะตาา..พุทธาาา........”    พอมาในถึงบทสวดวรรคที่หนึ่ง วิญญาณร้ายก็ไม่ได้ท่องตามอีก  คราวนี้มันจับผมแก้วไปมัดและถ่วงไว้กับใบพัดของพัดลมที่ติดเพดาน  ซึ่งพัดลมเพดานตัวนี้มันใช้การไม่ได้แล้ว มีไว้เพียงแค่ประดับห้องตามสไตล์แอนทิคเท่านั้น  

                 วิญญาณร้ายใช้มือหมุนใบพัดเล่นเพื่อให้หัวและตัวหญิงสาวหมุนไปมาเหมือนโมบายที่กำลังลิ่วลม  มันทำอย่างสนุกสนานและเอื้อนเสียงทำนองไทยเดิมที่อันคุ้นหู  “ น่อย หน้อย น้อย หน่อย น่อย นอย ...”

                หญิงสาวสุดจะกลั้นความเจ็บปวด เธอจึงร้องไห้ออกมาอย่างไม่ฝืนทนอีก” ฮือๆๆ ฮือๆๆ  โอ้ยยย..”

               “ ความเจ็บมันขึ้นอยู่กับจิต  หล่อนจงตั้งสติขณะภาวนา สวดตามฉันต่อนะแม่แก้ว ” เสียงขจรแว่วดังเข้ามาเพื่อช่วยควบคุมจิตหญิงสาวให้กลับสู่สมาธิ

              การลืมตามันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น หญิงสาวจึงหลับตาและตั้งสติสวดมนต์ต่อ  ในชั่วเพียงแวบหนึ่ง  เธอก็นึกถึงคำอวยพรของย่าที่พูดก่อนเดินทางมาที่นี้   “ แก้วเอ้ย  สวมสร้อยเส้นนี้ไว้ แล้วหลานจะแคล้วคลาด มันไม่ใช่พระเครื่อง แต่มันคือตัวแทนของความรักที่ระลึกจากย่า  บุญใดก็แล้วแต่ที่ย่าทำมาแต่ชาติปางนี้หรือปางไหน  ย่าขอให้บุญนั้นคุ้มครองหลานของย่านะ  ”  

              เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ พลังงานบวกก็ทำให้สติมันบังเกิดความตั้งมั่นเข้ามาในห้วงของจิต  คำพูดของย่า เหมือนแสงไสวให้เทียนในใจสว่างขึ้น  แม้ว่าเปลวเทียนในจิตแก้วจะยังคงพลิ้วไหวไปมา แต่การสวดมนต์ก็ทำให้เปลวไฟที่ปลายเทียนเริ่มนิ่งสงบลงด้วยสมาธิแห่งการเพียรภาวนา
หูรับฟังแค่เสียงของขจร  และจิตก็จดจ่ออยู่กับคำสวดมนต์ คำต่อคำในทุกวินาที  

              ทันใดนั้นปากเธอก็เปล่งเสียงสวดมนต์ออกมาได้ดังและชัดขึ้น“ ชินาณา..วะระสังยุตตา...สัตตะปากา...ระลังกะตา....”  คำสวดมนต์สวดด้วยน้ำเสียงที่เรียบสงบขึ้น ใบหน้ากับคิ้วที่ขมวดก็หย่อนลง  เมื่อดวงจิตเธอผ่อนคลาย กายเธอก็เริ่มคลายจากอำนาจร้ายของวิญญาณหญิงชรา

              “ อีแก้ว ลองดีกับกูรึ  ” วิญญาณร้ายเริ่มตะโกนเสียงขู่ และแสดงอาการกราดเกรี้ยวมากกว่าเก่า  มันหมุนใบพัดให้แรงขึ้น จนหัวแก้วหมุนราวกับพัดลม  แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกแล้ว  เมื่อไม่สาสมใจ วิญญาณร้ายจึงดึงแก้วลงมาที่เตียง แล้วนั่งค่อมพร้อมกรีดร้องเสียงดังเหมือนเปรตจากนรก

              “ อย่าไปสนใจ  หล่อนจะสวดจบบทอยู่แล้ว....ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว ”

             “ ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว ”  เสียงแก้วเปล่งคำสวดว่าตามขจรอย่างชัดถ้อยคำมากขึ้น วิญญาณร้ายก็ไม่ลดละราวี มันรบกวนด้วยการสวดบทอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่องในลำคอ ทว่าหญิงสาวก็ยังคงเพียรพินิจกับการสวดมนต์ต่อไป

             “ ...สัทธัมมานุภาวะ..ปาลิโต จะรามิ..ปัญชะเรติ...เฮ้อ ” แก้วถอนหายใจออกมาหลังจากท่องเสร็จ แล้วเธอก็ยกมือพนมขึ้นหัวพร้อมกล่าวคำอนุโมทนากับสิ่งที่ได้สวด  “ สาธุ.... เอ๊ะ!  นี่ฉันขยับมือได้แล้วนิ ”

              หญิงสาวเริ่มขยับร่างกายทีละนิดเพื่อความแน่ใจ   เธอยังไม่กล้าที่จะลืมตา เพราะกลัวว่าจะลืมตามาปะทะหน้ากับวิญญาณร้าย  เมื่อเงียบฟังเสียงในห้อง  ไม่มีเสียงของวิญญาณร้ายตนนั้นอีกแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดมาจากระเบียงห้องเท่านั้น

             เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างปลอดภัย เธอจึงค่อยๆลืมตาขึ้น พัดลมบนเพดานไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหวใดๆ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม  บรรยากาศในรอบห้องซ้ายขวาที่สำรวจจากหางตาดูเหมือนปกติ  หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างสบายใจและรีบลุกขึ้นมาด้วยความดีใจ   “ ว้าย!  ”  

>>>>มีต่อด้านล่างค่ะ>>>>>>>
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่