ความเดิมบทที่แล้ว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้http://ppantip.com/topic/30381628บทนำ
http://ppantip.com/topic/30445012บทที่๑ เมืองใต้ดินกับกลิ่นการเวก
http://ppantip.com/topic/30456186บทที่๒ หลอกหลอน
บทที่ ๓
ภูตผีปีศาจ
เสียงขับไล่ของขจรไม่ได้ช่วยให้วิญญาณร้ายตนนั้นหนีถอยไปเลย มือกร้านสากทั้งสองข้างยังคงกำผมของแก้วไว้แน่น มันลากกระชากหัวเธอลงมาห้อยกับขอบเตียง ทั้งดึง..ทั้งทึ้ง..กระตุกกระจุกผมซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนต้องการจะให้ผมขาดออกมาพร้อมกับหนังหัว
หญิงสาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทว่ายิ่งร้องอย่างทรมานเท่าไหร่ วิญญาณร้ายตนนั้นก็กลับหัวเราะชอบใจมากเท่านั้น “ หยุด! ข้าบอกให้เอ็งหยุด! ” เสียงขจรตะคอกไล่อย่างดุดันเพื่อหยุดวิญญาณตนนั้นที่กำลังทำร้ายแก้วอย่างทรมาน
“ กูจะเอาหนังหัวมัน! อย่ามายุ่งกับกู! ” วิญญาณร้ายตะเบ็งกลับใส่ด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า มือทั้งสองยังคงกระตุกหัวให้กระแทกกับขอบเตียง
วิญญาณขจรพยายามจะเข้าไปช่วยหญิงสาว ทว่าอำนาจของแรงพยาบาทและมนต์ดำบางอย่างขวางกั้นไม่ให้เขาสามารถทำอะไรได้เลยนอกจากยืนดูและร้องขอความปรานีจากวิญญาณร้าย“ ปล่อยแม่แก้วไปเถิด ข้าขออโหสิกรรมแทน ”
“ กรรมใครก็กรรมมัน หามีใครมาแทนได้ไม่ ออกไปซะไอ้ขุนขจร! ”
“ คุณขจรรรร..โอ้ยย..อย่าไป..ช่วยฉันด้วย” แก้วพยายามตะโกนสุดเสียงเพื่อเรียกให้ขจรอยู่ช่วย ทว่าเสียงนั้นมันเหมือนอยู่แค่ในลำคอ เพียงเธอเปล่งวาจา วิญญาณหญิงชราก็ดึงหัวเธอมาฟาดกระแทกกับขอบเตียงให้ถี่ขึ้นด้วยความโกรธ
“ ฉันไม่ไปไหนดอก ฉันจะอยู่กับหล่อน” เสียงวิญญาณขจรตะโกนบอกหญิงสาวให้รู้สึกอุ่นใจ
“ อยากอยู่ด้วยกันงั้นรึ แล้วเล่าอีแก้ว อยากอยู่เป็นผีด้วยขุนขจรหรือไม่ ฮ่าๆๆ ” วิญญาณร้ายเริ่มใช้เล็บมือจิกกดไปที่โคนรากผมของแก้ว และใช้ปลายเล็บงัดแงะเปลือกหนังหัวให้หลุดออกมาเรื่อยๆด้วยความชอบใจ
“ โอ้ยยยยยยยย...” แก้วกรีดร้องอย่างทรมานแทบขาดใจ
“ แม่แก้ว...หล่อนจงฟังฉันและตั้งสติ หล่อนจงสวดมนต์ของท่านขรัวโตตามฉัน บัญชรแห่งพระชินสีห์จะเป็นเกราะให้หล่อนปลอดภัย ”
“ ฮ่าฮ่า น่าขันนัก ผีจะสวดมนต์ไล่ผีงั้นรึ ต่อให้ตัวคนตนผีช่วยกันสวดมนต์ของขรัวไหนครูบาไหน กูก็หากลัวไม่ ฮ่าๆๆๆ ”
“ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ... ” วิญญาณขจรเริ่มกล่าวบทสวดบูชาพระพุทธเจ้า และพยายามเพ่งพินิจจิตให้ไปถึงแก้ว
ด้วยความเจ็บปวดปางตาย หญิงสาวจึงไม่มีสมาธิสนใจฟังหรือทำตามที่วิญญาณหนุ่มบอก เพราะตอนนี้เธอก็ยังคงไม่สามารถขยับอวัยวะส่วนไหนได้เลย ร่างกายก็กลับแข็งทื่อสภาพไม่ต่างจากศพที่ไร้วิญญาณ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเคลื่อนไหวได้ก็คือ ดวงจิตและลมหายใจ
หญิงสาวพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด พอเริ่มจะขึ้นคำว่า’นะโมตัสสะ’ วิญญาณหญิงชราก็ดึงหัวเธอเผยอขึ้นมา และกล่าวบทสวดกรอกใส่ที่หูของเธอด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าน่ากลัว “ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฮ่าๆๆ ”
“ อย่าครั่นคร้ามใดๆ จิตหล่อนหามีใครบังคับได้ไม่ แค่หล่อนเริ่มนะโม หล่อนก็จะภาวนาคำต่อไปได้แล้ว.....หายใจเข้าออก....แล้วท่องอยู่ในใจ ” แก้วเริ่มพยายามหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อเรียกหาสติ แต่สัมปชัญญะของเธอตอนนี้มันกำลังเจ็บปวดเพราะการถูกดึงหน่วงหนังหัวอย่างไม่ใยดี
ในระหว่างที่จิตใจวอกแวกวุ่นวาย เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ใบหน้าของย่าเธอก็แวบเข้ามาในใจ จากจุดนั้น..ก็บังเกิดความสงบในหนึ่งขณะจิต จนทำให้เริ่มขึ้นต้นคำสวดมนต์ได้ “ นะ...โม..ตัสสะ...ภะ..คะ...วะโต....อะระหะ...โต...สัมมา..สัมพุท...ธัสสะ ”
ในที่สุดก็รู้สึกขยับได้ที่ปลายนิ้ว เธอจึงใช้เล็บจิกไปที่เตียงเพื่อช่วยถ่ายเทความเจ็บปวด ทว่าวิญญาณร้ายกลับพยายามดึงหัวและตัวเธอให้ลอยเหนือเตียง หญิงสาวจึงใช้เล็บจิกยึดกับเตียงไว้เพื่อไม่ให้ถูกยกลอยตัวไปได้ “ ยิ่งฝืนเสียเท่าไหร่ กูก็ยิ่งถลกหนังหัวง่ายขึ้น ฮ่าๆๆ เอาเลยอีแก้ว เอาเลย ”
“ แม่แก้ว หล่อนสวดตามฉันต่อนะ อย่าได้สนใจใดๆที่เกิดขึ้น จงตั้งมั่นอยู่กับคำสวดในทุกขณะจิต ” หญิงสาวคลายนิ้วที่จิกเตียง ทำตัวให้เป็นอิสระและปล่อยให้วิญญาณร้ายดึงลอยขึ้นมาเหนือเตียง ถึงแม้จะเจ็บจวนตายแค่ไหน หูก็ยังเฝ้าฟังเสียงของขจร และภาวนาบทสวดตามในใจ
พอสวดบทบูชาพระพุทธเจ้าครบสามจบ ในที่สุดก็สามารถลืมตาได้ ภาพที่เห็นคือ วิญญาณขจรกำลังพนมมือสวดมนต์อยู่ที่มุมห้องใกล้ประตูทางเข้า ส่วนวิญญาณหญิงชราลอยตัวห้อยหัวอยู่ด้านบน เมื่อเห็นหน้า มันก็คือวิญญาณตนเดียวกันกับที่เห็นที่ตลาดไพ้ค์เพลซมาเก็ต
สายตาของแก้วและวิญญาณหญิงชราปะทะกัน เธอพยายามส่งสายตาอาทรณ์วิงวอนขอความกรุณาจากวิญญาณตนนั้น ทว่ามันกลับเบิกตาโพลงและแสยะยิ้มอย่างสยดสยอง ภายในปากแทบจะไม่มีฟันเลยสักซี่ มีเพียงคราบน้ำหมากสีแดงและน้ำลายไหลมาเครอะที่ริมปาก
วิญญาณขจรยังคงนำสวดมนต์ให้แก้วว่าตาม ส่วนวิญญาณร้ายก็ไม่ได้มีท่าทีกลัวเกรงใดๆเลย มันกลับยิ่งสนุกมากขึ้น “ เอาเลย! ท่องกันร้อยจบหมื่นจบ กูก็หากลัวไม่ สาธุสาธุ ฮ่าๆๆๆ ”
“ แม่แก้ว อย่าหยุดนะ สวดตามฉันต่อ....ชะยา...สะนา..คะตา..พุทธา...” ขจรเริ่มสวดในบทที่หนึ่ง ส่วนแก้วก็พยายามท่องตามในใจให้ได้มากที่สุด “ ชะยา...ส ะนา..คะตาา..พุทธาาา........” พอมาในถึงบทสวดวรรคที่หนึ่ง วิญญาณร้ายก็ไม่ได้ท่องตามอีก คราวนี้มันจับผมแก้วไปมัดและถ่วงไว้กับใบพัดของพัดลมที่ติดเพดาน ซึ่งพัดลมเพดานตัวนี้มันใช้การไม่ได้แล้ว มีไว้เพียงแค่ประดับห้องตามสไตล์แอนทิคเท่านั้น
วิญญาณร้ายใช้มือหมุนใบพัดเล่นเพื่อให้หัวและตัวหญิงสาวหมุนไปมาเหมือนโมบายที่กำลังลิ่วลม มันทำอย่างสนุกสนานและเอื้อนเสียงทำนองไทยเดิมที่อันคุ้นหู “ น่อย หน้อย น้อย หน่อย น่อย นอย ...”
หญิงสาวสุดจะกลั้นความเจ็บปวด เธอจึงร้องไห้ออกมาอย่างไม่ฝืนทนอีก” ฮือๆๆ ฮือๆๆ โอ้ยยย..”
“ ความเจ็บมันขึ้นอยู่กับจิต หล่อนจงตั้งสติขณะภาวนา สวดตามฉันต่อนะแม่แก้ว ” เสียงขจรแว่วดังเข้ามาเพื่อช่วยควบคุมจิตหญิงสาวให้กลับสู่สมาธิ
การลืมตามันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น หญิงสาวจึงหลับตาและตั้งสติสวดมนต์ต่อ ในชั่วเพียงแวบหนึ่ง เธอก็นึกถึงคำอวยพรของย่าที่พูดก่อนเดินทางมาที่นี้ “ แก้วเอ้ย สวมสร้อยเส้นนี้ไว้ แล้วหลานจะแคล้วคลาด มันไม่ใช่พระเครื่อง แต่มันคือตัวแทนของความรักที่ระลึกจากย่า บุญใดก็แล้วแต่ที่ย่าทำมาแต่ชาติปางนี้หรือปางไหน ย่าขอให้บุญนั้นคุ้มครองหลานของย่านะ ”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ พลังงานบวกก็ทำให้สติมันบังเกิดความตั้งมั่นเข้ามาในห้วงของจิต คำพูดของย่า เหมือนแสงไสวให้เทียนในใจสว่างขึ้น แม้ว่าเปลวเทียนในจิตแก้วจะยังคงพลิ้วไหวไปมา แต่การสวดมนต์ก็ทำให้เปลวไฟที่ปลายเทียนเริ่มนิ่งสงบลงด้วยสมาธิแห่งการเพียรภาวนา
หูรับฟังแค่เสียงของขจร และจิตก็จดจ่ออยู่กับคำสวดมนต์ คำต่อคำในทุกวินาที
ทันใดนั้นปากเธอก็เปล่งเสียงสวดมนต์ออกมาได้ดังและชัดขึ้น“ ชินาณา..วะระสังยุตตา...สัตตะปากา...ระลังกะตา....” คำสวดมนต์สวดด้วยน้ำเสียงที่เรียบสงบขึ้น ใบหน้ากับคิ้วที่ขมวดก็หย่อนลง เมื่อดวงจิตเธอผ่อนคลาย กายเธอก็เริ่มคลายจากอำนาจร้ายของวิญญาณหญิงชรา
“ อีแก้ว ลองดีกับกูรึ ” วิญญาณร้ายเริ่มตะโกนเสียงขู่ และแสดงอาการกราดเกรี้ยวมากกว่าเก่า มันหมุนใบพัดให้แรงขึ้น จนหัวแก้วหมุนราวกับพัดลม แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกแล้ว เมื่อไม่สาสมใจ วิญญาณร้ายจึงดึงแก้วลงมาที่เตียง แล้วนั่งค่อมพร้อมกรีดร้องเสียงดังเหมือนเปรตจากนรก
“ อย่าไปสนใจ หล่อนจะสวดจบบทอยู่แล้ว....ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว ”
“ ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว ” เสียงแก้วเปล่งคำสวดว่าตามขจรอย่างชัดถ้อยคำมากขึ้น วิญญาณร้ายก็ไม่ลดละราวี มันรบกวนด้วยการสวดบทอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่องในลำคอ ทว่าหญิงสาวก็ยังคงเพียรพินิจกับการสวดมนต์ต่อไป
“ ...สัทธัมมานุภาวะ..ปาลิโต จะรามิ..ปัญชะเรติ...เฮ้อ ” แก้วถอนหายใจออกมาหลังจากท่องเสร็จ แล้วเธอก็ยกมือพนมขึ้นหัวพร้อมกล่าวคำอนุโมทนากับสิ่งที่ได้สวด “ สาธุ.... เอ๊ะ! นี่ฉันขยับมือได้แล้วนิ ”
หญิงสาวเริ่มขยับร่างกายทีละนิดเพื่อความแน่ใจ เธอยังไม่กล้าที่จะลืมตา เพราะกลัวว่าจะลืมตามาปะทะหน้ากับวิญญาณร้าย เมื่อเงียบฟังเสียงในห้อง ไม่มีเสียงของวิญญาณร้ายตนนั้นอีกแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดมาจากระเบียงห้องเท่านั้น
เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างปลอดภัย เธอจึงค่อยๆลืมตาขึ้น พัดลมบนเพดานไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหวใดๆ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม บรรยากาศในรอบห้องซ้ายขวาที่สำรวจจากหางตาดูเหมือนปกติ หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างสบายใจและรีบลุกขึ้นมาด้วยความดีใจ “ ว้าย! ”
>>>>มีต่อด้านล่างค่ะ>>>>>>>
เหย้าบาหยัน : บทที่๓ : ภูตผีปีศาจ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
บทที่ ๓
ภูตผีปีศาจ
เสียงขับไล่ของขจรไม่ได้ช่วยให้วิญญาณร้ายตนนั้นหนีถอยไปเลย มือกร้านสากทั้งสองข้างยังคงกำผมของแก้วไว้แน่น มันลากกระชากหัวเธอลงมาห้อยกับขอบเตียง ทั้งดึง..ทั้งทึ้ง..กระตุกกระจุกผมซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนต้องการจะให้ผมขาดออกมาพร้อมกับหนังหัว
หญิงสาวกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด ทว่ายิ่งร้องอย่างทรมานเท่าไหร่ วิญญาณร้ายตนนั้นก็กลับหัวเราะชอบใจมากเท่านั้น “ หยุด! ข้าบอกให้เอ็งหยุด! ” เสียงขจรตะคอกไล่อย่างดุดันเพื่อหยุดวิญญาณตนนั้นที่กำลังทำร้ายแก้วอย่างทรมาน
“ กูจะเอาหนังหัวมัน! อย่ามายุ่งกับกู! ” วิญญาณร้ายตะเบ็งกลับใส่ด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่า มือทั้งสองยังคงกระตุกหัวให้กระแทกกับขอบเตียง
วิญญาณขจรพยายามจะเข้าไปช่วยหญิงสาว ทว่าอำนาจของแรงพยาบาทและมนต์ดำบางอย่างขวางกั้นไม่ให้เขาสามารถทำอะไรได้เลยนอกจากยืนดูและร้องขอความปรานีจากวิญญาณร้าย“ ปล่อยแม่แก้วไปเถิด ข้าขออโหสิกรรมแทน ”
“ กรรมใครก็กรรมมัน หามีใครมาแทนได้ไม่ ออกไปซะไอ้ขุนขจร! ”
“ คุณขจรรรร..โอ้ยย..อย่าไป..ช่วยฉันด้วย” แก้วพยายามตะโกนสุดเสียงเพื่อเรียกให้ขจรอยู่ช่วย ทว่าเสียงนั้นมันเหมือนอยู่แค่ในลำคอ เพียงเธอเปล่งวาจา วิญญาณหญิงชราก็ดึงหัวเธอมาฟาดกระแทกกับขอบเตียงให้ถี่ขึ้นด้วยความโกรธ
“ ฉันไม่ไปไหนดอก ฉันจะอยู่กับหล่อน” เสียงวิญญาณขจรตะโกนบอกหญิงสาวให้รู้สึกอุ่นใจ
“ อยากอยู่ด้วยกันงั้นรึ แล้วเล่าอีแก้ว อยากอยู่เป็นผีด้วยขุนขจรหรือไม่ ฮ่าๆๆ ” วิญญาณร้ายเริ่มใช้เล็บมือจิกกดไปที่โคนรากผมของแก้ว และใช้ปลายเล็บงัดแงะเปลือกหนังหัวให้หลุดออกมาเรื่อยๆด้วยความชอบใจ
“ โอ้ยยยยยยยย...” แก้วกรีดร้องอย่างทรมานแทบขาดใจ
“ แม่แก้ว...หล่อนจงฟังฉันและตั้งสติ หล่อนจงสวดมนต์ของท่านขรัวโตตามฉัน บัญชรแห่งพระชินสีห์จะเป็นเกราะให้หล่อนปลอดภัย ”
“ ฮ่าฮ่า น่าขันนัก ผีจะสวดมนต์ไล่ผีงั้นรึ ต่อให้ตัวคนตนผีช่วยกันสวดมนต์ของขรัวไหนครูบาไหน กูก็หากลัวไม่ ฮ่าๆๆๆ ”
“ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ... ” วิญญาณขจรเริ่มกล่าวบทสวดบูชาพระพุทธเจ้า และพยายามเพ่งพินิจจิตให้ไปถึงแก้ว
ด้วยความเจ็บปวดปางตาย หญิงสาวจึงไม่มีสมาธิสนใจฟังหรือทำตามที่วิญญาณหนุ่มบอก เพราะตอนนี้เธอก็ยังคงไม่สามารถขยับอวัยวะส่วนไหนได้เลย ร่างกายก็กลับแข็งทื่อสภาพไม่ต่างจากศพที่ไร้วิญญาณ มีเพียงสิ่งเดียวที่ยังเคลื่อนไหวได้ก็คือ ดวงจิตและลมหายใจ
หญิงสาวพยายามรวบรวมสติให้ได้มากที่สุด พอเริ่มจะขึ้นคำว่า’นะโมตัสสะ’ วิญญาณหญิงชราก็ดึงหัวเธอเผยอขึ้นมา และกล่าวบทสวดกรอกใส่ที่หูของเธอด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าน่ากลัว “ นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ ฮ่าๆๆ ”
“ อย่าครั่นคร้ามใดๆ จิตหล่อนหามีใครบังคับได้ไม่ แค่หล่อนเริ่มนะโม หล่อนก็จะภาวนาคำต่อไปได้แล้ว.....หายใจเข้าออก....แล้วท่องอยู่ในใจ ” แก้วเริ่มพยายามหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อเรียกหาสติ แต่สัมปชัญญะของเธอตอนนี้มันกำลังเจ็บปวดเพราะการถูกดึงหน่วงหนังหัวอย่างไม่ใยดี
ในระหว่างที่จิตใจวอกแวกวุ่นวาย เพียงเสี้ยววินาทีหนึ่ง ใบหน้าของย่าเธอก็แวบเข้ามาในใจ จากจุดนั้น..ก็บังเกิดความสงบในหนึ่งขณะจิต จนทำให้เริ่มขึ้นต้นคำสวดมนต์ได้ “ นะ...โม..ตัสสะ...ภะ..คะ...วะโต....อะระหะ...โต...สัมมา..สัมพุท...ธัสสะ ”
ในที่สุดก็รู้สึกขยับได้ที่ปลายนิ้ว เธอจึงใช้เล็บจิกไปที่เตียงเพื่อช่วยถ่ายเทความเจ็บปวด ทว่าวิญญาณร้ายกลับพยายามดึงหัวและตัวเธอให้ลอยเหนือเตียง หญิงสาวจึงใช้เล็บจิกยึดกับเตียงไว้เพื่อไม่ให้ถูกยกลอยตัวไปได้ “ ยิ่งฝืนเสียเท่าไหร่ กูก็ยิ่งถลกหนังหัวง่ายขึ้น ฮ่าๆๆ เอาเลยอีแก้ว เอาเลย ”
“ แม่แก้ว หล่อนสวดตามฉันต่อนะ อย่าได้สนใจใดๆที่เกิดขึ้น จงตั้งมั่นอยู่กับคำสวดในทุกขณะจิต ” หญิงสาวคลายนิ้วที่จิกเตียง ทำตัวให้เป็นอิสระและปล่อยให้วิญญาณร้ายดึงลอยขึ้นมาเหนือเตียง ถึงแม้จะเจ็บจวนตายแค่ไหน หูก็ยังเฝ้าฟังเสียงของขจร และภาวนาบทสวดตามในใจ
พอสวดบทบูชาพระพุทธเจ้าครบสามจบ ในที่สุดก็สามารถลืมตาได้ ภาพที่เห็นคือ วิญญาณขจรกำลังพนมมือสวดมนต์อยู่ที่มุมห้องใกล้ประตูทางเข้า ส่วนวิญญาณหญิงชราลอยตัวห้อยหัวอยู่ด้านบน เมื่อเห็นหน้า มันก็คือวิญญาณตนเดียวกันกับที่เห็นที่ตลาดไพ้ค์เพลซมาเก็ต
สายตาของแก้วและวิญญาณหญิงชราปะทะกัน เธอพยายามส่งสายตาอาทรณ์วิงวอนขอความกรุณาจากวิญญาณตนนั้น ทว่ามันกลับเบิกตาโพลงและแสยะยิ้มอย่างสยดสยอง ภายในปากแทบจะไม่มีฟันเลยสักซี่ มีเพียงคราบน้ำหมากสีแดงและน้ำลายไหลมาเครอะที่ริมปาก
วิญญาณขจรยังคงนำสวดมนต์ให้แก้วว่าตาม ส่วนวิญญาณร้ายก็ไม่ได้มีท่าทีกลัวเกรงใดๆเลย มันกลับยิ่งสนุกมากขึ้น “ เอาเลย! ท่องกันร้อยจบหมื่นจบ กูก็หากลัวไม่ สาธุสาธุ ฮ่าๆๆๆ ”
“ แม่แก้ว อย่าหยุดนะ สวดตามฉันต่อ....ชะยา...สะนา..คะตา..พุทธา...” ขจรเริ่มสวดในบทที่หนึ่ง ส่วนแก้วก็พยายามท่องตามในใจให้ได้มากที่สุด “ ชะยา...ส ะนา..คะตาา..พุทธาาา........” พอมาในถึงบทสวดวรรคที่หนึ่ง วิญญาณร้ายก็ไม่ได้ท่องตามอีก คราวนี้มันจับผมแก้วไปมัดและถ่วงไว้กับใบพัดของพัดลมที่ติดเพดาน ซึ่งพัดลมเพดานตัวนี้มันใช้การไม่ได้แล้ว มีไว้เพียงแค่ประดับห้องตามสไตล์แอนทิคเท่านั้น
วิญญาณร้ายใช้มือหมุนใบพัดเล่นเพื่อให้หัวและตัวหญิงสาวหมุนไปมาเหมือนโมบายที่กำลังลิ่วลม มันทำอย่างสนุกสนานและเอื้อนเสียงทำนองไทยเดิมที่อันคุ้นหู “ น่อย หน้อย น้อย หน่อย น่อย นอย ...”
หญิงสาวสุดจะกลั้นความเจ็บปวด เธอจึงร้องไห้ออกมาอย่างไม่ฝืนทนอีก” ฮือๆๆ ฮือๆๆ โอ้ยยย..”
“ ความเจ็บมันขึ้นอยู่กับจิต หล่อนจงตั้งสติขณะภาวนา สวดตามฉันต่อนะแม่แก้ว ” เสียงขจรแว่วดังเข้ามาเพื่อช่วยควบคุมจิตหญิงสาวให้กลับสู่สมาธิ
การลืมตามันไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น หญิงสาวจึงหลับตาและตั้งสติสวดมนต์ต่อ ในชั่วเพียงแวบหนึ่ง เธอก็นึกถึงคำอวยพรของย่าที่พูดก่อนเดินทางมาที่นี้ “ แก้วเอ้ย สวมสร้อยเส้นนี้ไว้ แล้วหลานจะแคล้วคลาด มันไม่ใช่พระเครื่อง แต่มันคือตัวแทนของความรักที่ระลึกจากย่า บุญใดก็แล้วแต่ที่ย่าทำมาแต่ชาติปางนี้หรือปางไหน ย่าขอให้บุญนั้นคุ้มครองหลานของย่านะ ”
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ พลังงานบวกก็ทำให้สติมันบังเกิดความตั้งมั่นเข้ามาในห้วงของจิต คำพูดของย่า เหมือนแสงไสวให้เทียนในใจสว่างขึ้น แม้ว่าเปลวเทียนในจิตแก้วจะยังคงพลิ้วไหวไปมา แต่การสวดมนต์ก็ทำให้เปลวไฟที่ปลายเทียนเริ่มนิ่งสงบลงด้วยสมาธิแห่งการเพียรภาวนา
หูรับฟังแค่เสียงของขจร และจิตก็จดจ่ออยู่กับคำสวดมนต์ คำต่อคำในทุกวินาที
ทันใดนั้นปากเธอก็เปล่งเสียงสวดมนต์ออกมาได้ดังและชัดขึ้น“ ชินาณา..วะระสังยุตตา...สัตตะปากา...ระลังกะตา....” คำสวดมนต์สวดด้วยน้ำเสียงที่เรียบสงบขึ้น ใบหน้ากับคิ้วที่ขมวดก็หย่อนลง เมื่อดวงจิตเธอผ่อนคลาย กายเธอก็เริ่มคลายจากอำนาจร้ายของวิญญาณหญิงชรา
“ อีแก้ว ลองดีกับกูรึ ” วิญญาณร้ายเริ่มตะโกนเสียงขู่ และแสดงอาการกราดเกรี้ยวมากกว่าเก่า มันหมุนใบพัดให้แรงขึ้น จนหัวแก้วหมุนราวกับพัดลม แต่ดูเหมือนหญิงสาวจะไม่รู้สึกหวาดกลัวอีกแล้ว เมื่อไม่สาสมใจ วิญญาณร้ายจึงดึงแก้วลงมาที่เตียง แล้วนั่งค่อมพร้อมกรีดร้องเสียงดังเหมือนเปรตจากนรก
“ อย่าไปสนใจ หล่อนจะสวดจบบทอยู่แล้ว....ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว ”
“ ชินานุภาเวนะ ชิตูปัททะโว ” เสียงแก้วเปล่งคำสวดว่าตามขจรอย่างชัดถ้อยคำมากขึ้น วิญญาณร้ายก็ไม่ลดละราวี มันรบกวนด้วยการสวดบทอะไรที่ฟังไม่รู้เรื่องในลำคอ ทว่าหญิงสาวก็ยังคงเพียรพินิจกับการสวดมนต์ต่อไป
“ ...สัทธัมมานุภาวะ..ปาลิโต จะรามิ..ปัญชะเรติ...เฮ้อ ” แก้วถอนหายใจออกมาหลังจากท่องเสร็จ แล้วเธอก็ยกมือพนมขึ้นหัวพร้อมกล่าวคำอนุโมทนากับสิ่งที่ได้สวด “ สาธุ.... เอ๊ะ! นี่ฉันขยับมือได้แล้วนิ ”
หญิงสาวเริ่มขยับร่างกายทีละนิดเพื่อความแน่ใจ เธอยังไม่กล้าที่จะลืมตา เพราะกลัวว่าจะลืมตามาปะทะหน้ากับวิญญาณร้าย เมื่อเงียบฟังเสียงในห้อง ไม่มีเสียงของวิญญาณร้ายตนนั้นอีกแล้ว มีเพียงเสียงลมที่พัดมาจากระเบียงห้องเท่านั้น
เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างปลอดภัย เธอจึงค่อยๆลืมตาขึ้น พัดลมบนเพดานไม่มีแม้แต่การเคลื่อนไหวใดๆ ทุกอย่างยังเหมือนเดิม บรรยากาศในรอบห้องซ้ายขวาที่สำรวจจากหางตาดูเหมือนปกติ หญิงสาวยิ้มออกมาอย่างสบายใจและรีบลุกขึ้นมาด้วยความดีใจ “ ว้าย! ”
>>>>มีต่อด้านล่างค่ะ>>>>>>>