เมื่อวานมีโอกาสได้ดูรอบสื่อที่สกาล่ามาครับ ขอรีวิวสั้นๆ ตรงประเด็น เป็นข้อๆเลยละกัน ใครดูแล้วมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้
Note* ความคิดเห็นดังกล่าว เป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน
ข้อเด่น
1. หนังมีปูมหลังค่อนข้างแน่น ต่างจากทุกภาคที่เคยสร้างมา ทำให้คนดูได้รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกที่มีซูเปอร์แมนจริงๆ
2. เรื่องมีความสมจริงและสมเหตุสมผล แม้จะเป็นฮีโร่ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ก็สมจริงตามสิ่งที่ควรจะเป็น แม้แต่ตัวร้ายอย่าง General Zod ก็ยังเป็นตัวร้ายที่ยึดมั่นในหลักการและเหตุผล จนอาจทำให้เราคิดว่า ถ้าเราเป็นชาวคริปตัน เราจะตัดสินใจทำแบบเขาหรือเปล่า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพราะสภาของชาวคริปตันดูแล้วค่อนข้าง Conservative ตัดสินใจไม่เด็ดขาด ยึดมั่นในระเบียบอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การล่มสลายของดาวคริปตันอย่างที่นายพลซ็อดคาดไว้จริงๆ และกับบทพูดสุดท้ายของซ็อดที่ว่า "ถึงแม้การกระทำของข้าจะรุนแรง โหดเหี้ยม แต่ข้าก็ทำไปเพราะพลเมืองของข้า" มันก็เป็นเหตุผลที่น่าเห็นใจ
3. หนังสอดแทรกแง่คิด และปมความขัดแย้งให้เราได้คิดตาม ในแง่ความเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร? ใช้พลังนั้นเพื่อกดขี่ข่มเหงและปกครองคนอื่นด้วยความหวาดกลัว หรือต้องยอมหลบๆซ่อนๆปิดบังตัวเองเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกของคน? ความเก็บกดของคนที่มีพลังความสามารถเหนือคนอื่นๆแต่ก็ไม่สามารถลงมือทำอะไรได้ ต้องอดทนอดกลั้น รอวันที่เหมาะสม นั่นคือแนวทางคำสอนและการทำดี ชอบช่วยเหลือผู้คนของโจนาธาน เคนท์ ที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คล้าก เสมอมา ขณะที่อีกปมความขัดแย้งที่เด่นชัดคือเรื่องวิธีการของชาวคริปตัน และการตัดสินใจของซูเปอร์แมน ในฐานะที่เป็นทั้งชาวคริปตันและชาวโลก จึงอยู่ในฐานะกึ่งกลางที่ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรก็หนีไม่พ้นความเจ็บปวดในใจของตัวเองไปได้
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ชาวคริปตันคือ โจ-เอล บิดาของ คาล-เอล หรือซูเปอร์แมน กับนายพลซ็อด มีเป้าหมายที่เหมือนกัน คือหาถิ่นฐานใหม่เพื่อความอยู่รอดของชาวคริปตันที่ดาวกำลังแตกสลาย ขณะที่โจ-เอลมีเจตนาจะให้ คาล-เอล เป็นลูกครึ่งชาวคริปตัน-มนุษย์บนดาวโลก เพื่อเป็นสะพานเชื่อมเผ่าพันธุ์ทั้ง 2 ไว้ โดยอาจให้ชาวคริปตันไปขอแพร่พันธุ์ ปรับตัว อยู่อาศัยร่วมกับมนุษย์อย่างไม่เบียดเบียนโดยมีซูเปอร์แมนเป็นตัวเชื่อม แต่ฝั่งนายพลซ็อดกลับจะใช้วิธีการที่เด็ดขาดโดยการล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์และนำเผ่าพันธุ์คริปตันไปแพร่ลงบนโลกแทนทั้งหมด มันจึงเกิดคำถามว่า วิธีการใดถูกต้องเหมาะสม? สิ่งที่โจ-เอลคิดจะสามารถทำได้จริงๆหรือ? ที่มนุษย์จะไม่ต่อต้านหรือเป็นเพียงความหวังลมๆแล้งๆ หรือสิ่งที่นายพลซ็อดทำแม้จะโหดเหี้ยม แต่เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำจริงๆหรือไม่? ขณะที่ตัวซูเปอร์แมนเองก็เป็นคนกลาง เขาควรจะเลือกอะไรระหว่างเผ่าพันธุ์ชาติกำเนิดตัวเอง กับเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ให้ที่อยู่ ให้ความรักและความอบอุ่นแก่เขามาโดยตลอด?
4. แอ็คชั่นจัดเต็มสุดอลังการ เต็มไปด้วยความเข้มข้น หนักแน่น รวดเร็วปานสายฟ้า เป็นความรู้สึกที่รับรู้ได้ว่าเป็นการต่อสู้ในระดับเหนือมนุษย์จริงๆ (อารมณ์ประมาณดราก้อนบอล + The Matrix Revolution)
5. Theme และ Soundtrack ดนตรีประกอบของ Hans Zimmer ยิ่งใหญ่ทรงพลัง สร้างอารมณ์ร่วมและความตื่นเต้นได้ตลอดทั้งเรื่อง
6. นักแสดงเต็มไปด้วยคุณภาพ รัสเซล โครว์ ในบท โจ-เอลก็เล่นได้อย่างสุขุม ทรงพลัง ดูน่ายำเกรง, ไมเคิล แชนน่อน ในบทนายพล ซ็อด ก็ดูเย็นชา เด็ดเดี่ยว แน่วแน่, เควิน คอสเนอร์ก็เหมาะสมกับโจนาธาน เคนท์ที่ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดูเป็นคนดี อบอุ่น และเฮนรี่ คาวิล ในบทซูเปอร์แมนก็ดูเข้มแข็งและเท่ห์ในแบบที่ซูเปอร์แมนสมควรจะเป็น แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยอารมณ์อ่อนไหว (ผมชอบสีหน้าเขาเวลาตะโกนว่า Nooooooo!! จริงๆ)
ข้อด้อย
1. ด้วยความที่แอ็คชั่นจัดเต็มมันอลังการ หนังเลยเหมือนจะเน้นน้ำหนักเรื่องเวลาตรงส่วนนี้มากไป ทำให้เวลาที่เหลือต้องเร่งดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วเหมือนโดนบังคับ แทบไม่ให้คนดูได้หายใจหายคอ มันเลยกลายเป็นข้อเสียที่ว่าทำให้อารมณ์ร่วมของคนดูขาดความต่อเนื่อง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เพราะเวลาเนื้อเรื่องดราม่าน้อย เลยต้องตัดการดำเนินเรื่องชีวิตในวัยเด็กไป เปลี่ยนเป็นการตัดสลับระหว่างปัจจุบันกับย้อนความคิดในวัยเด็กแทน ทำให้คนดูรู้สึกว่าพอจะอินกับปูมหลังในวัยเด็กของคล้าก ให้เราเชื่อว่าเขาเกิดมาและถูกเลี้ยงดูให้เป็นคนยังไง หนังก็โดดกลับไปปัจจุบัน แล้วก็โดดกลับไปในอดีตอีก ทำให้อารมณ์ที่กำลังจะสร้างความรู้สึกที่เป็นตัวตนของคล้ากต้องหยุดชะงักเป็นพักๆ
2. อีกผลพวงจากการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว ทำให้ไม่มีเวลาใส่บางฉากที่น่าจะจำเป็นเพื่อสร้างเหตุผลความน่าเชื่อถือของการกระทำ พอขาดตรงจุดนี้ไป ทำให้บางการกระทำหรือบางฉากดูไร้เหตุผล หลายฉากเหมือนกับจงใจให้เกิด หรืออยู่ดีๆก็โป๊ะเชะขึ้นมาลอยๆ ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้เช่นหนังไม่ได้แสดงบทที่ทำให้คล้ากต้องออกเดินทางออกจากบ้าน อยู่ดีๆก็เร่รอนไปมา อยู่ดีๆก็ไปขั้วโลกเหนือพบยานชาวคริปตันได้ซะอย่างนั้นโดยไม่มีใครบอกกล่าว อยู่ดีๆนางเอกก็ถ่ายภาพบังเอิญไปติดคล้ากซะยังงั้นทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจ(อะไรจะโคตรฟลุ้กขนาดนั้น) นายพลซ็อดพานางเอกขึ้นไปบนยานด้วยทำไมก็ไม่ได้บอก (จนทำให้นางเองพบวิธีทำลายยานได้เฉย)
3. และอีกผลพวงคือ ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่ดูไม่สมจริง เช่น การมาถึงของนายพลซ็อด แบบเอเลี่ยนบุกโลก แต่แทบทุกคนดูเหมือนจะเตรียมใจไว้แล้ว ดูไม่ตื่นตระหนกอะไรเลย ทำให้นายพลซ็อดดูเหมือนเป็นแค่ผู้ก่อการร้ายของซักประเทศ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วเขาคือมนุษย์ต่างดาว ที่น่าจะสร้างความตื่นตระหนกแก่มนุษย์ได้มากกว่านี้ หรือจะเป็นการที่ซูเปอร์แมนพบรักกับลูอิส เลน ที่พบกันได้ไม่นานรู้ตัวอีกทีก็รักกันซะแล้ว มันทำให้คนดูไม่ค่อยเชื่อถือตรงนี้เท่าไหร่ หรือแม้กระทั่งถึงตอนจบ เราก็ยังไม่ค่อยรู้สึกว่า ซูเปอร์แมนได้มอบความหวังและความศรัทธาให้แก่มนุษย์อย่างที่โจ-เอล ต้องการได้มากเท่าที่ควร เหมือนซูเปอร์แมนมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์อยู่แค่ไม่กี่คน แม่, ลูอิส, นายพล เพียงแค่นั้น เราไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ต่อซูเปอร์แมนในมุมกว้างเหมือนอย่างที่ The Avengers ทำให้เรารู้สึกได้ ถ้าพูดในแง่ของฮีโร่ปกป้องมนุษย์จากการรุกรานของเอเลี่ยนเหมือนกัน
4. ถ้าไม่บอกว่าเรื่องนี้ Zack Snyder กำกับ เราอาจจะไม่รู้ว่านี่คือหนังของเขา หนังขาดกลิ่นอายและเอกลักษณ์การกำกับของแซค ไปพอสมควร อาจะเป็นเพราะปกติแซคชอบใช้ สโลว์โม-แอ็คชั่น แต่เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนมาเป็น ซูเปอร์สปีด-แอ็คชั่น นอกเหนือจากโทนสีหม่นๆของหนังที่ยังเป็นเครื่องหมายการค้าของแซคอยู่
และทั้งหมดนั่น ทำให้ผมขอสรุปให้คะแนน Man of Steel 8.5/10 แต่โดยรวมแล้ว หนังก็ยังคงครบรส ทั้งบู๊ทั้งบุ๋น มีปมประเด็นแง่คิด มีปูมความหลังที่สมเหตุผล นั่นทำให้เป็นซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และดูแนวโน้มแล้วก็คงยากที่จะมีเรื่องไหนในรอบปีนี้จะยิ่งใหญ่อลังการเทียบเท่า แม้จะมีหนังไซไฟหรือฮีโร่อื่นๆรอคิวตามมาอีกเป็นระลอก(ด้วยเหตุผลที่ดูเนื้อหาแล้วไม่ลึกซึ้งเท่า) ผมคงต้องยกไว้ให้เป็นหนังแห่งปี แม้ถ้าจะเทียบกับมาตรฐานของ แซค ชไนเดอร์ แล้ว ผมยังชอบ Watchmen ด้วยเนื้อเรื่องและปมประเด็นที่เข้มข้นมากกว่ามากกว่าอยู่ก็ตาม
ไปดูกันเถิดครับ รับรองไม่ผิดหวัง ;)
++Man of Steel Review จุดเด่นจุดด้อย แต่ก็ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง++
Note* ความคิดเห็นดังกล่าว เป็นความรู้สึกส่วนตัวล้วนๆ แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน
ข้อเด่น
1. หนังมีปูมหลังค่อนข้างแน่น ต่างจากทุกภาคที่เคยสร้างมา ทำให้คนดูได้รู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในโลกที่มีซูเปอร์แมนจริงๆ
2. เรื่องมีความสมจริงและสมเหตุสมผล แม้จะเป็นฮีโร่ที่มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่ก็สมจริงตามสิ่งที่ควรจะเป็น แม้แต่ตัวร้ายอย่าง General Zod ก็ยังเป็นตัวร้ายที่ยึดมั่นในหลักการและเหตุผล จนอาจทำให้เราคิดว่า ถ้าเราเป็นชาวคริปตัน เราจะตัดสินใจทำแบบเขาหรือเปล่า [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3. หนังสอดแทรกแง่คิด และปมความขัดแย้งให้เราได้คิดตาม ในแง่ความเป็นคนที่พิเศษกว่าคนอื่นๆ คุณจะใช้ชีวิตอย่างไร? ใช้พลังนั้นเพื่อกดขี่ข่มเหงและปกครองคนอื่นด้วยความหวาดกลัว หรือต้องยอมหลบๆซ่อนๆปิดบังตัวเองเพื่อป้องกันความตื่นตระหนกของคน? ความเก็บกดของคนที่มีพลังความสามารถเหนือคนอื่นๆแต่ก็ไม่สามารถลงมือทำอะไรได้ ต้องอดทนอดกลั้น รอวันที่เหมาะสม นั่นคือแนวทางคำสอนและการทำดี ชอบช่วยเหลือผู้คนของโจนาธาน เคนท์ ที่เป็นแบบอย่างที่ดีให้แก่คล้าก เสมอมา ขณะที่อีกปมความขัดแย้งที่เด่นชัดคือเรื่องวิธีการของชาวคริปตัน และการตัดสินใจของซูเปอร์แมน ในฐานะที่เป็นทั้งชาวคริปตันและชาวโลก จึงอยู่ในฐานะกึ่งกลางที่ไม่ว่าจะตัดสินใจทำอะไรก็หนีไม่พ้นความเจ็บปวดในใจของตัวเองไปได้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
4. แอ็คชั่นจัดเต็มสุดอลังการ เต็มไปด้วยความเข้มข้น หนักแน่น รวดเร็วปานสายฟ้า เป็นความรู้สึกที่รับรู้ได้ว่าเป็นการต่อสู้ในระดับเหนือมนุษย์จริงๆ (อารมณ์ประมาณดราก้อนบอล + The Matrix Revolution)
5. Theme และ Soundtrack ดนตรีประกอบของ Hans Zimmer ยิ่งใหญ่ทรงพลัง สร้างอารมณ์ร่วมและความตื่นเต้นได้ตลอดทั้งเรื่อง
6. นักแสดงเต็มไปด้วยคุณภาพ รัสเซล โครว์ ในบท โจ-เอลก็เล่นได้อย่างสุขุม ทรงพลัง ดูน่ายำเกรง, ไมเคิล แชนน่อน ในบทนายพล ซ็อด ก็ดูเย็นชา เด็ดเดี่ยว แน่วแน่, เควิน คอสเนอร์ก็เหมาะสมกับโจนาธาน เคนท์ที่ต้องเป็นผู้ใหญ่ที่ดูเป็นคนดี อบอุ่น และเฮนรี่ คาวิล ในบทซูเปอร์แมนก็ดูเข้มแข็งและเท่ห์ในแบบที่ซูเปอร์แมนสมควรจะเป็น แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงไว้ด้วยอารมณ์อ่อนไหว (ผมชอบสีหน้าเขาเวลาตะโกนว่า Nooooooo!! จริงๆ)
ข้อด้อย
1. ด้วยความที่แอ็คชั่นจัดเต็มมันอลังการ หนังเลยเหมือนจะเน้นน้ำหนักเรื่องเวลาตรงส่วนนี้มากไป ทำให้เวลาที่เหลือต้องเร่งดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็วเหมือนโดนบังคับ แทบไม่ให้คนดูได้หายใจหายคอ มันเลยกลายเป็นข้อเสียที่ว่าทำให้อารมณ์ร่วมของคนดูขาดความต่อเนื่อง [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
2. อีกผลพวงจากการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว ทำให้ไม่มีเวลาใส่บางฉากที่น่าจะจำเป็นเพื่อสร้างเหตุผลความน่าเชื่อถือของการกระทำ พอขาดตรงจุดนี้ไป ทำให้บางการกระทำหรือบางฉากดูไร้เหตุผล หลายฉากเหมือนกับจงใจให้เกิด หรืออยู่ดีๆก็โป๊ะเชะขึ้นมาลอยๆ ทำให้ขาดความน่าเชื่อถือ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
3. และอีกผลพวงคือ ทำให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครที่ดูไม่สมจริง เช่น การมาถึงของนายพลซ็อด แบบเอเลี่ยนบุกโลก แต่แทบทุกคนดูเหมือนจะเตรียมใจไว้แล้ว ดูไม่ตื่นตระหนกอะไรเลย ทำให้นายพลซ็อดดูเหมือนเป็นแค่ผู้ก่อการร้ายของซักประเทศ ทั้งๆที่ความเป็นจริงแล้วเขาคือมนุษย์ต่างดาว ที่น่าจะสร้างความตื่นตระหนกแก่มนุษย์ได้มากกว่านี้ หรือจะเป็นการที่ซูเปอร์แมนพบรักกับลูอิส เลน ที่พบกันได้ไม่นานรู้ตัวอีกทีก็รักกันซะแล้ว มันทำให้คนดูไม่ค่อยเชื่อถือตรงนี้เท่าไหร่ หรือแม้กระทั่งถึงตอนจบ เราก็ยังไม่ค่อยรู้สึกว่า ซูเปอร์แมนได้มอบความหวังและความศรัทธาให้แก่มนุษย์อย่างที่โจ-เอล ต้องการได้มากเท่าที่ควร เหมือนซูเปอร์แมนมีปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์อยู่แค่ไม่กี่คน แม่, ลูอิส, นายพล เพียงแค่นั้น เราไม่รับรู้ถึงความรู้สึกของมนุษย์ต่อซูเปอร์แมนในมุมกว้างเหมือนอย่างที่ The Avengers ทำให้เรารู้สึกได้ ถ้าพูดในแง่ของฮีโร่ปกป้องมนุษย์จากการรุกรานของเอเลี่ยนเหมือนกัน
4. ถ้าไม่บอกว่าเรื่องนี้ Zack Snyder กำกับ เราอาจจะไม่รู้ว่านี่คือหนังของเขา หนังขาดกลิ่นอายและเอกลักษณ์การกำกับของแซค ไปพอสมควร อาจะเป็นเพราะปกติแซคชอบใช้ สโลว์โม-แอ็คชั่น แต่เรื่องนี้ต้องเปลี่ยนมาเป็น ซูเปอร์สปีด-แอ็คชั่น นอกเหนือจากโทนสีหม่นๆของหนังที่ยังเป็นเครื่องหมายการค้าของแซคอยู่
และทั้งหมดนั่น ทำให้ผมขอสรุปให้คะแนน Man of Steel 8.5/10 แต่โดยรวมแล้ว หนังก็ยังคงครบรส ทั้งบู๊ทั้งบุ๋น มีปมประเด็นแง่คิด มีปูมความหลังที่สมเหตุผล นั่นทำให้เป็นซูเปอร์แมนเวอร์ชั่นที่ยอดเยี่ยมที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย และดูแนวโน้มแล้วก็คงยากที่จะมีเรื่องไหนในรอบปีนี้จะยิ่งใหญ่อลังการเทียบเท่า แม้จะมีหนังไซไฟหรือฮีโร่อื่นๆรอคิวตามมาอีกเป็นระลอก(ด้วยเหตุผลที่ดูเนื้อหาแล้วไม่ลึกซึ้งเท่า) ผมคงต้องยกไว้ให้เป็นหนังแห่งปี แม้ถ้าจะเทียบกับมาตรฐานของ แซค ชไนเดอร์ แล้ว ผมยังชอบ Watchmen ด้วยเนื้อเรื่องและปมประเด็นที่เข้มข้นมากกว่ามากกว่าอยู่ก็ตาม
ไปดูกันเถิดครับ รับรองไม่ผิดหวัง ;)