คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 36
บอลโลกที่อาร์เจนติน่าเป็นเจ้าภาพ ก็มีปัญหาเรื่องการกำหนดผลการแข่งขัน การเลื่อนนัดสุดท้ายของรอบสองโดยอาร์เจนติน่าเลื่อนไปแข่งคู่หลังสุดหลังรู้ผลอีกคู่หนึ่งแทนที่จะเเข่งพร้อมกันตามโปรแกรมที่กำหนดไว้เเล้ว รวมทั้งปัญหาการเมืองที่รัฐบาลทหารเก็บกวาดผู้ประท้วงเพื่อสร้างภาพระหว่างแข่งขัน แล้วให้ตำรวจลับคอยสอดส่งนักข่าวไม่ให้ทำข่าวผู้ประท้วง พบญาติคนที่ทหารฆ่า จับเข้าคุกการเมืองเด็ดขาด
รวมทั้งเรื่องการรับถ้วยชนะเลิศที่มีการสอบถามทีมฮอลแลนด์ว่าถ้าชนะเลิศจะยินดีรับถ้วยจากประธานาธิบดีทหารเผด็จการที่สั่งฆ่าประชาชนก่อนหน้านั้น 2 ปีหรือไม่? (หลังจากนั้นมีข่าวว่าประธานฟีฟ่าจะเป็นผู้มอบถ้วยชนะเลิศ) ซึ่งผลสุดท้ายฮอลแลนด์ก็แพ้ และไม่ขี้นโพเดียมไปจับมือประธานาธิบดีอย่างที่ทีมรองชนะเลิศก่อนหน้านั้นเคยทำ โดยหลังจากแลกเสื้อ นักเตะฮอลแลนด์ก็เข้าห้องพัก แล้วกลับฮอลแลนด์ในเช้าวันต่อมาทันที
ความอื้อฉาวของทัวร์นาเมนท์ปี 1978 ไม่ได้อยู่ที่เกมการแข่งขัน (แม้ชัยชนะ X-0 เหนือทีม Xxxx จะน่าสงสัยยิ่งกว่าน่าสงสัยก็ตาม) ซึ่งสร้างความตื่นเต้นได้เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา หากแต่อยู่ที่การมีผู้ชนะเป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวจากการปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการทหารที่โหดร้ายต่างหาก กว่าจะมาเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ชาวอาร์เจนตินาต้องแลกมาด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัส คนนับล้านที่เป็นปรปักษ์ต่อคณะรัฐบาลทหารถูกเข่นฆ่าและทรมานตลอดช่วงเวลาสองปีก่อนที่ทัวร์นาเมนท์จะเริ่มขึ้น และเมื่อผู้สื่อข่าวจากทั่วโลกเดินทางมาถึงต่างก็ถูกปิดหูปิดตาให้อยู่ห่างจากความจริงอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันคนแรกถูกระเบิดจนสิ้นชีพ ศูนย์ข่าวสำหรับนักข่าวก็ยังไม่วายถูกระเบิดทำลายเสียมาตรการรักษาความปลอดภัยนับพันถูกขนมาใช้เพื่อให้มั่นใจว่าการแข่งขันจะผ่านไปอย่างราบรื่นในสภาวการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-3/no28-36/worldcup/part11p04.html
___ ก่อนที่เทศกาลฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จะระเบิดศึกขึ้นมา วันนี้ พวกเราเหล่าคอลูกหนัง มาร่วมกันย้อนรอยดูจุดกำเนิดของศึก เวิล์ด คัพ ตั้งแต่ ครั้งแรก ? ปัจจุบัน เป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนเลย
ทีมชาติ “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนติน่า ได้ทำการเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มาตั้งแต่บอลโลก ปี 1930 แต่ทว่า ทัพอาร์เจนไตน์ ต้องรอมานานกว่าที่จะได้รู้ว่ากลิ่นอายของถ้วยเวิล์ด คัพ มันเป็นแบบไหน ? และจนกระทั่ง ประเทศอาร์เจนติน่า ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นเจ้าภาพในปี 1978 ในครั้งนั้น เสียงเชียร์ของเหล่าแฟนบอลภายในสนามจัดว่า มีส่วนช่วยได้มากทีเดียว ซึ่งคราวนั้น ก็ยังมีทีม “ฮัศวินสีส้ม” ฮอลแลนด์ ที่ฟอร์มแรงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับกลายเป็นชาติที่มาลุ้นแย่งแชมป์ด้วย หลังจากที่คว้าได้แค่รองแชมป์ที่ เยอรมันตะวันตก 1974 แต่ทว่า “ฟรายอิ้ง ดัตช์แมน” ในชุดนี้ไร้เงาของ โยฮัน ครัฟฟ์ ที่ไม่ยอมไปทำการแข่งขัน เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง
อาร์เจนติน่า นั้นอาจจะปราชัยให้กับ “อัซซูรี่” อิตาลี ในกาแข่งขันนัดสุดท้ายของรอบแรก แต่ทว่า ในรอบสองนั้น ก็สามารถผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้ด้วยการเล่นในระบบที่แบ่งกลุ่มเหมือนกับศึกบอลโลก 1974 แต่ก็ยังมีข้อกังขาเกิดขึ้น ในเกมนัดสุดท้ายของรอบสองนั้น ทัพ “ฟ้า-ขาว” ไล่ถลุง เปรู ไป 6-0 ซึ่งเป็นสกอร์ที่ส่งผลให้แซง บราซิล เข้าชิงชนะเลิศด้วยการนับลูกได้-เสีย และ เกมนัดนี้ก็ยังเป็นที่น่าสงสัยว่า เปรู นั้น ลงสู้อย่างเต็มที่หรือไม่ ?
อย่างไรก็ตามทีมเจ้าภาพชุดนั้นก็จัดว่ามีนักเตะเด่นๆ ของการแข่งขันอยู่ด้วยกันหลายคนเช่น ดาเนียล พาสซาเรลล่า, ออสวัลโด้ อาร์ดิเลส และ มาริโอ เคมเปส กองหน้าที่ยิงคนเดียว 6 ประตู พร้อมซิวตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง รวมทั้งตำแหน่งแชมป์โลกที่ต้องเล่นถึงช่วงต่อเวลา ก่อนที่จะต้อนชนะ ฮอลแลนด์ 3-1 ในนัดชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ก็ยังมีดาวเด่นของทีมชาติอื่นๆ เกิดขึ้นมาอย่างมาก อาทิ มิเชล พลาตินี่, เปาโล รอสซี่ และ คาร์ล ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 ครั้งนี้ กว่าจะทำการแข่งขันกันได้ก็ค่อนข้างมีปัญหาเหมือนกัน เนื่องจากหลายฝ่ายไม่พอใจการปกครองของรัฐบาลทหารในอาร์เจนติน่า ที่ผิดในเรื่องของมนุษยชน แต่สุดท้ายแล้วในโลกของฟุตบอลก็สามารถตกลงกันได้ด้วยดี ทีมต่างๆ ที่ผ่านรอบคัดเลือกต่างไปทำการแข่งขันกันครบครัน เพียงแต่ว่าไม่มี “สิงโตคำราม” อังกฤษ ที่ไม่ผ่านรอบคัดเลือกเช่นเดียวกับ ยูโกสลาเวีย และ สหภาพโซเวียต แต่ก็ได้ ฝรั่งเศส กลับมาอีกครั้งหลังจากที่หายไป 12 ปี ส่วนน้องใหม่ก็คือ อิหร่าน และ ตูนิเซีย
การกลับมาของ ฝรั่งเศส ในคราวนี้แม้ว่าจะนำทัพโดย “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ อยู่ในทีม แต่ก็ไม่สามารถทะลุเข้ารอบ 2 ได้ เนื่องจากปราชัยต่อ อิตาลี และ อาร์เจนติน่า ด้วยสกอร์ 1-2 เท่ากัน ดังนั้นแม้ว่าทีมของ มิเชล ฮิดัลโก้ จะชนะ ฮังการี ได้ 3-1 ในรอบสุดท้ายก็ไม่เพียงพอที่จะผ่านเข้ารอบได้ ส่วนทางด้าน ฮอลแลนด์ นั้น ในคราวนี้ไม่มี โยฮัน ครัฟฟ์ นำทีมมา ในตอนแรกจึงไม่ถูกจัดว่าเป็นตัวเต็งเท่าไรนัก แต่ทาง ร็อบบี้ เรนเซนบริงค์ ก็ยังพาทีมเข้ารอบ 2 ได้แบบกระท่อนกระแท่น เมื่อมีประตูได้เสียที่ดีกว่า สก็อตแลนด์ แต่เมื่อทะลุเข้ารอบ 2 ไปแล้ว “อัศวินสีส้ม” ก็กลับกลายเป็นชาติที่มีเกมบุกที่แข็งแกร่งขึ้น และ พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า มีดีด้วยการถล่ม ออสเตรีย 5-1, ยันเสมอกับ เยอรมันตะวันตก แชมป์เก่า 2-2 และเชือด อิตาลี 2-1 ซึ่งก็เพียงพอที่ทำให้ ฮอลแลนด์ ลิ่วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
ขณะที่เกมสูสีกันมากในรอบ 2 ก็คือเกมที่ อาร์เจนตินา เล่นกับ บราซิล และเสมอกันไป 0-0 ให้ ขุนพลอาร์เจนไตน์ ต้องเอาชนะ เปรู ให้ได้มากกว่า 4 ประตู เพื่อแซง ทัพ “แซมบ้า” เข้าชิงชนะเลิศ และ ในตอนแรกก็คาดกันว่ายังไง บราซิล ก็ต้องได้ชิง แต่สุดท้าย พาสซาเรลล่า นำทีมชนะไป 6-0 โดยมี มาริโอ เคมเปส ยิง 2 ประตูในนัดนี้ ส่วน ในนัดชิงชนะเลิศทีมของกุนซือ หลุยส์ เมน็อตติ ก็ชาติใดที่มาหยุดความร้อนแรงได้แล้ว แม้ว่าในช่วงเวลาปกติ 90 นาที จะลงเอยที่ 1-1 แต่ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที “ฟ้า-ขาว” ก็บดชนะ 3-1 และ 2 ประตูของ มาริโอ เคมเปส ช่วยให้ เขา ได้รางวัลรองเท้าทองคำไปครองอีกตำแหน่ง รวมทั้งทำให้ เหล่าเชื้อสายอาร์เจนไตน์ ออกมาฉลองบนท้องถนนกันอย่างบ้าคลั่ง กับการคว้า แชมป์โลกสมัยแรกของพวกเขาหลังจากที่รอคอยกันมานาน
เกร็ดน่ารู้กับ อาร์เจนติน่า 1978 : สก็อตแลนด์ สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายที่ อาร์เจนติน่า มาได้พร้อมกับความหวังในการเข้ารอบ 2 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อมี เคนนี่ ดัลกลิช กับ แกรม ซูเนสส์ อยู่ในทีม แต่กลับกลายเป็นว่าเริ่มต้นได้ไม่ดี จากการแพ้ เปรู 1-3 และไปเสมอกับ อิหร่าน 1-1 ทำให้นัดสุดท้ายต้องเอาชนะ ฮอลแลนด์ให้ได้ 3 ประตูขึ้นไป หลังจากที่ ร็อบ เรนเซนบริงค์ ยิงให้ฮอลแลนด์ออกนำก่อน ดัลกลิช ก็มาตีเสมอให้ทีมได้ ก่อนที่ อาร์ชี เกมมิลล์ จะยิงคนเดียว 2 ประตูให้นำ 3-1 ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย จึงได้ลุ้นเข้ารอบหากว่าทำได้อีกประตู แต่สุดท้ายเป็น จอห์นนี่ เรป ที่มายิงให้เกมจบที่สกอร์ 3-2? แม้ว่า จะได้ชัยชนะอย่างที่ตั้งใจไว้ ทว่า ทีมสก็อต์แลนด์ ก็ต้องตกรอบพร้อมกับเก็บข้าวของกลับบ้านไป__
http://sport.mthai.com/sport-article/5336.html
รวมทั้งเรื่องการรับถ้วยชนะเลิศที่มีการสอบถามทีมฮอลแลนด์ว่าถ้าชนะเลิศจะยินดีรับถ้วยจากประธานาธิบดีทหารเผด็จการที่สั่งฆ่าประชาชนก่อนหน้านั้น 2 ปีหรือไม่? (หลังจากนั้นมีข่าวว่าประธานฟีฟ่าจะเป็นผู้มอบถ้วยชนะเลิศ) ซึ่งผลสุดท้ายฮอลแลนด์ก็แพ้ และไม่ขี้นโพเดียมไปจับมือประธานาธิบดีอย่างที่ทีมรองชนะเลิศก่อนหน้านั้นเคยทำ โดยหลังจากแลกเสื้อ นักเตะฮอลแลนด์ก็เข้าห้องพัก แล้วกลับฮอลแลนด์ในเช้าวันต่อมาทันที
ความอื้อฉาวของทัวร์นาเมนท์ปี 1978 ไม่ได้อยู่ที่เกมการแข่งขัน (แม้ชัยชนะ X-0 เหนือทีม Xxxx จะน่าสงสัยยิ่งกว่าน่าสงสัยก็ตาม) ซึ่งสร้างความตื่นเต้นได้เหมือนกับครั้งที่ผ่านๆ มา หากแต่อยู่ที่การมีผู้ชนะเป็นประเทศที่ตกอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวจากการปกครองด้วยรัฐบาลเผด็จการทหารที่โหดร้ายต่างหาก กว่าจะมาเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ชาวอาร์เจนตินาต้องแลกมาด้วยความทุกข์ยากแสนสาหัส คนนับล้านที่เป็นปรปักษ์ต่อคณะรัฐบาลทหารถูกเข่นฆ่าและทรมานตลอดช่วงเวลาสองปีก่อนที่ทัวร์นาเมนท์จะเริ่มขึ้น และเมื่อผู้สื่อข่าวจากทั่วโลกเดินทางมาถึงต่างก็ถูกปิดหูปิดตาให้อยู่ห่างจากความจริงอันน่าสะพรึงกลัวนี้ ประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันคนแรกถูกระเบิดจนสิ้นชีพ ศูนย์ข่าวสำหรับนักข่าวก็ยังไม่วายถูกระเบิดทำลายเสียมาตรการรักษาความปลอดภัยนับพันถูกขนมาใช้เพื่อให้มั่นใจว่าการแข่งขันจะผ่านไปอย่างราบรื่นในสภาวการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-3/no28-36/worldcup/part11p04.html
___ ก่อนที่เทศกาลฟุตบอลโลก 2010 ที่ประเทศแอฟริกาใต้ จะระเบิดศึกขึ้นมา วันนี้ พวกเราเหล่าคอลูกหนัง มาร่วมกันย้อนรอยดูจุดกำเนิดของศึก เวิล์ด คัพ ตั้งแต่ ครั้งแรก ? ปัจจุบัน เป็นการอุ่นเครื่องกันก่อนเลย
ทีมชาติ “ฟ้า-ขาว” อาร์เจนติน่า ได้ทำการเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มาตั้งแต่บอลโลก ปี 1930 แต่ทว่า ทัพอาร์เจนไตน์ ต้องรอมานานกว่าที่จะได้รู้ว่ากลิ่นอายของถ้วยเวิล์ด คัพ มันเป็นแบบไหน ? และจนกระทั่ง ประเทศอาร์เจนติน่า ได้รับมอบหมายหน้าที่ให้เป็นเจ้าภาพในปี 1978 ในครั้งนั้น เสียงเชียร์ของเหล่าแฟนบอลภายในสนามจัดว่า มีส่วนช่วยได้มากทีเดียว ซึ่งคราวนั้น ก็ยังมีทีม “ฮัศวินสีส้ม” ฮอลแลนด์ ที่ฟอร์มแรงอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับกลายเป็นชาติที่มาลุ้นแย่งแชมป์ด้วย หลังจากที่คว้าได้แค่รองแชมป์ที่ เยอรมันตะวันตก 1974 แต่ทว่า “ฟรายอิ้ง ดัตช์แมน” ในชุดนี้ไร้เงาของ โยฮัน ครัฟฟ์ ที่ไม่ยอมไปทำการแข่งขัน เนื่องจากเหตุผลทางการเมือง
อาร์เจนติน่า นั้นอาจจะปราชัยให้กับ “อัซซูรี่” อิตาลี ในกาแข่งขันนัดสุดท้ายของรอบแรก แต่ทว่า ในรอบสองนั้น ก็สามารถผ่านเข้าชิงชนะเลิศได้ด้วยการเล่นในระบบที่แบ่งกลุ่มเหมือนกับศึกบอลโลก 1974 แต่ก็ยังมีข้อกังขาเกิดขึ้น ในเกมนัดสุดท้ายของรอบสองนั้น ทัพ “ฟ้า-ขาว” ไล่ถลุง เปรู ไป 6-0 ซึ่งเป็นสกอร์ที่ส่งผลให้แซง บราซิล เข้าชิงชนะเลิศด้วยการนับลูกได้-เสีย และ เกมนัดนี้ก็ยังเป็นที่น่าสงสัยว่า เปรู นั้น ลงสู้อย่างเต็มที่หรือไม่ ?
อย่างไรก็ตามทีมเจ้าภาพชุดนั้นก็จัดว่ามีนักเตะเด่นๆ ของการแข่งขันอยู่ด้วยกันหลายคนเช่น ดาเนียล พาสซาเรลล่า, ออสวัลโด้ อาร์ดิเลส และ มาริโอ เคมเปส กองหน้าที่ยิงคนเดียว 6 ประตู พร้อมซิวตำแหน่งดาวซัลโวไปครอง รวมทั้งตำแหน่งแชมป์โลกที่ต้องเล่นถึงช่วงต่อเวลา ก่อนที่จะต้อนชนะ ฮอลแลนด์ 3-1 ในนัดชิงชนะเลิศ นอกจากนี้ก็ยังมีดาวเด่นของทีมชาติอื่นๆ เกิดขึ้นมาอย่างมาก อาทิ มิเชล พลาตินี่, เปาโล รอสซี่ และ คาร์ล ไฮนซ์ รุมเมนิกเก้
การแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งที่ 11 ครั้งนี้ กว่าจะทำการแข่งขันกันได้ก็ค่อนข้างมีปัญหาเหมือนกัน เนื่องจากหลายฝ่ายไม่พอใจการปกครองของรัฐบาลทหารในอาร์เจนติน่า ที่ผิดในเรื่องของมนุษยชน แต่สุดท้ายแล้วในโลกของฟุตบอลก็สามารถตกลงกันได้ด้วยดี ทีมต่างๆ ที่ผ่านรอบคัดเลือกต่างไปทำการแข่งขันกันครบครัน เพียงแต่ว่าไม่มี “สิงโตคำราม” อังกฤษ ที่ไม่ผ่านรอบคัดเลือกเช่นเดียวกับ ยูโกสลาเวีย และ สหภาพโซเวียต แต่ก็ได้ ฝรั่งเศส กลับมาอีกครั้งหลังจากที่หายไป 12 ปี ส่วนน้องใหม่ก็คือ อิหร่าน และ ตูนิเซีย
การกลับมาของ ฝรั่งเศส ในคราวนี้แม้ว่าจะนำทัพโดย “นโปเลียนลูกหนัง” มิเชล พลาตินี่ อยู่ในทีม แต่ก็ไม่สามารถทะลุเข้ารอบ 2 ได้ เนื่องจากปราชัยต่อ อิตาลี และ อาร์เจนติน่า ด้วยสกอร์ 1-2 เท่ากัน ดังนั้นแม้ว่าทีมของ มิเชล ฮิดัลโก้ จะชนะ ฮังการี ได้ 3-1 ในรอบสุดท้ายก็ไม่เพียงพอที่จะผ่านเข้ารอบได้ ส่วนทางด้าน ฮอลแลนด์ นั้น ในคราวนี้ไม่มี โยฮัน ครัฟฟ์ นำทีมมา ในตอนแรกจึงไม่ถูกจัดว่าเป็นตัวเต็งเท่าไรนัก แต่ทาง ร็อบบี้ เรนเซนบริงค์ ก็ยังพาทีมเข้ารอบ 2 ได้แบบกระท่อนกระแท่น เมื่อมีประตูได้เสียที่ดีกว่า สก็อตแลนด์ แต่เมื่อทะลุเข้ารอบ 2 ไปแล้ว “อัศวินสีส้ม” ก็กลับกลายเป็นชาติที่มีเกมบุกที่แข็งแกร่งขึ้น และ พิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่า มีดีด้วยการถล่ม ออสเตรีย 5-1, ยันเสมอกับ เยอรมันตะวันตก แชมป์เก่า 2-2 และเชือด อิตาลี 2-1 ซึ่งก็เพียงพอที่ทำให้ ฮอลแลนด์ ลิ่วเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
ขณะที่เกมสูสีกันมากในรอบ 2 ก็คือเกมที่ อาร์เจนตินา เล่นกับ บราซิล และเสมอกันไป 0-0 ให้ ขุนพลอาร์เจนไตน์ ต้องเอาชนะ เปรู ให้ได้มากกว่า 4 ประตู เพื่อแซง ทัพ “แซมบ้า” เข้าชิงชนะเลิศ และ ในตอนแรกก็คาดกันว่ายังไง บราซิล ก็ต้องได้ชิง แต่สุดท้าย พาสซาเรลล่า นำทีมชนะไป 6-0 โดยมี มาริโอ เคมเปส ยิง 2 ประตูในนัดนี้ ส่วน ในนัดชิงชนะเลิศทีมของกุนซือ หลุยส์ เมน็อตติ ก็ชาติใดที่มาหยุดความร้อนแรงได้แล้ว แม้ว่าในช่วงเวลาปกติ 90 นาที จะลงเอยที่ 1-1 แต่ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 120 นาที “ฟ้า-ขาว” ก็บดชนะ 3-1 และ 2 ประตูของ มาริโอ เคมเปส ช่วยให้ เขา ได้รางวัลรองเท้าทองคำไปครองอีกตำแหน่ง รวมทั้งทำให้ เหล่าเชื้อสายอาร์เจนไตน์ ออกมาฉลองบนท้องถนนกันอย่างบ้าคลั่ง กับการคว้า แชมป์โลกสมัยแรกของพวกเขาหลังจากที่รอคอยกันมานาน
เกร็ดน่ารู้กับ อาร์เจนติน่า 1978 : สก็อตแลนด์ สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายที่ อาร์เจนติน่า มาได้พร้อมกับความหวังในการเข้ารอบ 2 เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อมี เคนนี่ ดัลกลิช กับ แกรม ซูเนสส์ อยู่ในทีม แต่กลับกลายเป็นว่าเริ่มต้นได้ไม่ดี จากการแพ้ เปรู 1-3 และไปเสมอกับ อิหร่าน 1-1 ทำให้นัดสุดท้ายต้องเอาชนะ ฮอลแลนด์ให้ได้ 3 ประตูขึ้นไป หลังจากที่ ร็อบ เรนเซนบริงค์ ยิงให้ฮอลแลนด์ออกนำก่อน ดัลกลิช ก็มาตีเสมอให้ทีมได้ ก่อนที่ อาร์ชี เกมมิลล์ จะยิงคนเดียว 2 ประตูให้นำ 3-1 ในช่วง 20 นาทีสุดท้าย จึงได้ลุ้นเข้ารอบหากว่าทำได้อีกประตู แต่สุดท้ายเป็น จอห์นนี่ เรป ที่มายิงให้เกมจบที่สกอร์ 3-2? แม้ว่า จะได้ชัยชนะอย่างที่ตั้งใจไว้ ทว่า ทีมสก็อต์แลนด์ ก็ต้องตกรอบพร้อมกับเก็บข้าวของกลับบ้านไป__
http://sport.mthai.com/sport-article/5336.html
แสดงความคิดเห็น
ทำไมหลายคนถึงแอนตี้ฟุตบอลทีมชาติเกาหลีใต้ที่โกงในปี 2002 ปีเดียวในขณะที่นักเตะหลายชาติโดยเฉพาะพวกลาตินเล่นสกปรกแต่ก็เชีย
ขอโทษที่สงสัยเรื่องนี้จริงๆ ผมว่าถ้าเราไม่สนับสนุนคนโกงอย่างเกาหลีใต้ เราก็ควรไม่เชียร์ทีมที่มีนักเตะขี้โกง ขี้พุ่ง ตบตากรรมการในทีมมากๆ อย่างพวกทีมชาติในอเมริกาใต้ด้วย
เหตุการณ์โกงที่เด่นๆของพวกอเมริกาใต้
ริวัลโด้แกล้งเจ็บหน้า ทั้งๆที่บอลโดนเข่า ในปี 2002
หัตถ์พระเจ้ามาราโดน่าในปี 1986
แถมเหตุการณ์นี้ แต่ไม่ได้อยู่ในบอลโลก เป็นการแข่งขันระหว่างทีมเอกวาดอร์ กับชิลี นักเตะชิลีจับแขนนักเตะเอกวาดอร์มาฟาดหน้าตัวเอง แล้วแกล้งล้ม ก่ะเรียกใบแดงจากคู่แข่ง กล้ามากเมิง
และยังมีอีกหลายๆเหตุการณ์ และทุกครั้งที่มีบอลโลกที่ทีมชาติจากอเมริกาใต้ จะมีการเล่นสกปรก ตบตากรรมการอยู่เสมอ แต่อาจจะเป็นเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆ ที่ไม่ได้มีใครจดจำ หรือสังเกตุ แต่ส่งผลเสียต่อทีมคู่แข่งมาก ทวีปอื่นๆอย่างยุโรป แอฟริกา ก็มีแต่ไม่โดดเด่นเท่าอเมริกาใต้ แต่นักเตะเอเชียมองโกลอยด์ที่ไม่ใช่พวกอาหรับ หายากมากกกกกกกกกกกที่จะตบตากรรมการเพื่อเอาเปรียบคู่ต่อสู้แบบนี้ เพราะอะไรคนไทยหลายๆคนยังเชียร์ทีมชาติจากอเมริกาใต้กันอยู่ครับ ทั้งๆที่เห็นพฤติโกงของนักเตะอเมริกาใต้หลายๆคนแบบนี้อยู่เป็นประจำ และทุกครั้งในฟุตบอลโลก
ปอลอ ผมก็ไม่ได้สนับสนุนเกาหลีใต้ให้ทำอย่างนั้นเช่นกัน แต่ก็ไม่สนับสนุนการเล่นตุกติกของทีมชาติอเมริกาใต้และทวีปอื่นๆเหมือนกันครับ แย่ทั้งคู่
มีคนสงสัยเรื่องที่ว่าทำไมนักเตะอเมริกาใต้ถึงชอบขี้โกงกันจนมาตั้งกระทู้ถามใน Yahoo เป็นภาษาอังกฤษเลยทีเดียว http://answers.yahoo.com/question/index?qid=20120323101924AA18BKa