วันนี้เห็นหลายคนติดดอยสูง ไม่กล้าคัตเพราะเจ็บหนัก แต่มันมีวิธีคิดมุมกลับกันอีกอย่างหนึ่งก็คือ "คุณไม่ขาดทุนถ้าหากจำนวนหุ้นยังเท่าเดิมหรือมากขึ้น" เรียกสั้นๆว่า SAP นั่นเอง... สมมติตอนที่เราซื้อหุ้นครั้งแรกราคามันอยู่ที่ 10 บาท จำนวน 10000 หุ้น(รวมมูลค่าประมาณ 100000 บาท) แต่ตอนนี้มันลงมาเหลือ 7 บาท แน่นอนว่าคุณขาดทุนแล้วกว่า 30% เหลือเงินต้นเพียง 70000 บาท จากต้นทุน 100000 บาท ฟังดูใจหายนะครับ
แต่ทว่าเวลาต่อมาหุ้นล่วงลงมาเหลือ 5 บาท!! ชิบผายแล้ว "รู้งี้" กุน่าจะขายไปตั้งนานละ ทำให้ ณ เวลาปัจจุบันคุณมีทุนเหลือแค่ 50000 บาท หายไปถึง 20000 บาทจากวันที่ขาดทุน 30% ประเด็นคือถ้าคุณขายวันนั้น(ที่ติดลบ 30%)คุณจะมีเงินต้นอยู่ 70000 บาท และถ้าคุณนำเงินทั้งหมดมาซื้อในวันที่หุ้นเหลือแค่ 5 บาท คุณจะได้หุ้นคืนถึง 14000 หุ้น!! มากขึ้นกว่าตอนที่เราซื้อ 10 บาทอยู่ถึง 4000 หุ้นด้วยกัน(กำไรเห็นๆ) ลองนึกดูว่าถ้าราคาหุ้นมันขึ้นไปจบที่ 10 บาทเหมือนเดิม อย่างน้อยๆเราก็ได้กำไรไปแล้วกว่า 4000 x 5 = 20000 บาทเหนาะๆครับ
ความสำคัญอยู่แค่ "ต้องมั่นใจว่าคัตแล้วมันจะลงต่อ และเราจะได้หุ้นเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม" ผมถือคติว่า เงินสด = โอกาส เสมอครับ
สำหรับคนติดดอยสูงไม่กล้าคัต อย่าลืมวิธี "SAP" ยอมคัตวันนี้อาจได้หุ้นมากกว่าเดิม
แต่ทว่าเวลาต่อมาหุ้นล่วงลงมาเหลือ 5 บาท!! ชิบผายแล้ว "รู้งี้" กุน่าจะขายไปตั้งนานละ ทำให้ ณ เวลาปัจจุบันคุณมีทุนเหลือแค่ 50000 บาท หายไปถึง 20000 บาทจากวันที่ขาดทุน 30% ประเด็นคือถ้าคุณขายวันนั้น(ที่ติดลบ 30%)คุณจะมีเงินต้นอยู่ 70000 บาท และถ้าคุณนำเงินทั้งหมดมาซื้อในวันที่หุ้นเหลือแค่ 5 บาท คุณจะได้หุ้นคืนถึง 14000 หุ้น!! มากขึ้นกว่าตอนที่เราซื้อ 10 บาทอยู่ถึง 4000 หุ้นด้วยกัน(กำไรเห็นๆ) ลองนึกดูว่าถ้าราคาหุ้นมันขึ้นไปจบที่ 10 บาทเหมือนเดิม อย่างน้อยๆเราก็ได้กำไรไปแล้วกว่า 4000 x 5 = 20000 บาทเหนาะๆครับ
ความสำคัญอยู่แค่ "ต้องมั่นใจว่าคัตแล้วมันจะลงต่อ และเราจะได้หุ้นเท่าเดิมหรือมากกว่าเดิม" ผมถือคติว่า เงินสด = โอกาส เสมอครับ