
มนุษย์ทำลายโลกจนปนปี้ แล้วหนีไปอยู่ดาวอื่น
แต่ก็เหมือน "เคราะห์ซ้ำ" เพราะมี 2 พ่อลูก ขี่ยานมาตกบน "โลก" อีกครั้ง
"กรรมยังมาซัด" ต่อด้วยการที่ โลกดันมีแต่สัตว์ประหลาด และมนุษย์ "อยู่ยาก" เสียแล้ว ..
แหม ... ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผมของกรรมที่ทำมาอ่ะเนอะ ...
ฟังดูคุ้นๆ นะ ..
วิล สมิธ ได้ดูทีวีซีรี่ย์เชิงสารคดีที่มากแง่คิดเรื่อง I Shouldn't Be Alive หรือชื่อไทย "เอาล่ะ กรูต้องรอด" ประมาณนั้น โดยเนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับไซไฟสักกะติ๊ด แต่เป็นเรื่องของพ่อลูก ที่ขับรถไปด้วยกันบนภูเขา แล้วรถชนพ่อบาดเจ็บ ลูกชายต้องทำทุกวิธีทางเพื่อช่วยเหลือ ด้วยการออกมาหาคนมาช่วยพ่อออกไปให้ได้ .. พี่วิลแกก็ปิ๊งไอเดียเลย ว่า งั้นเอางี้แล้วกัน ลองคิดถึงเ่รื่องราวทำนองนี้ แต่เป็นในอีก 1,000 ปีข้างหน้าดีกว่า ...
พอได้ไอเดียแบบนั้น พี่วิลแกก็เริ่มร่างบท และโครงเรื่องทั้งหมด แอ๊ะ แอ๊ะ ... ไม่ต้องกระฟัดกระเฟียดว่าพี่แกจะลอกไอ้ทีวีซีรีย์เรื่องนั้นมาเลยเหรอ เพราะนั่นเป็นหนังของน้องเขยแกเอง คนกันเองไม่เป็นไร ไม่ได้ลอก แค่ปิ๊งไอเดียน่ะ ... ขนาด ยานน์ มาเทล ยังปิ๊งไอเดีย Life Of Pi จาก นิยายอีกเรื่อง ที่พลอตเหมือนกันเกือบจะเด๊ะๆได้เลย ... กรณีแบบนี้ ถ้าปิ๊งพลอตกันจริงๆ มาพูดคุยกันดีๆแล้วขอไอเดียไปต่อยอด คุยกันแมนๆ มันก็โอเค ...
ตอนนั้น The Last Airbinder พึ่งเข้าโรงได้ไม่นาน เฮียวิลแกเห็นหนังแล้ว คงจะปิ๊งน่าดู "นี่แหละ มันต้องเด็กๆ เว่อร์ๆ ล้ำๆ แต่โบราณแบบนี้แหละ!" เลยรีบติดต่อเฮียมาโนชให้มาพูดคุยเรื่องโปรเจคหนังทันที ตอนนั้นเฮียมาโนชแกก็ไม่ไ่ด้มัวแต่นั่งให้คนด่าอย่างเดียวนะ แกก็มีโปรเจคอื่นๆรออยู่เหมือนกัน แต่แกก็สนไอเดียของวิลสมิธอยู่ เลยพัฒนาบทกันมาแบบ กระดึ้บๆ ตอนนั้นเฮียวิลแก ก็คิดพลอตเรื่อง โดยวางบทตัวลูกให้ลูกชายแกเล่นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น บทหนังเรื่องนี้ มันเลย แทบจะเขียนมาจากคาแรคเตอร์ของลูกชายแกเป๊ะๆ เลยล่ะ ..
เอาล่ะสิ เมื่อ คุณพ่อตัวอย่าง 2 คน อยากทำหนังแนวไซไฟเว่อร์ๆแต่แฝงคติธรรมประจำใจขึ้นมา มันจะออกมาอีรูปไหนกัน ...
เฮียมาโนช แกเป็นคุณพ่อตัวอย่างของวงการมาแต่ไหนแต่ไร คิดดูแล้วกัน แกอยากทำหนังให้ลูกแกดู แกเลยไปโน้มน้าวนายทุน หาคนเขียนบท คัดเลือกตัวนักแสดง หาสตูดิโอมาอุ้มหนัง เพื่อทำหนังให้ลูกแกดู และ คนดูแบบพวกเราช่างโชคดี ที่ดันได้ดูหนังเพื่อลูกของแกด้วย ... มันน่าประทับใจซะจริงๆ ...
เอ้า นี่พูดจริงนะ ไม่ได้ประชด ...

เอ็ม ไนท์ชัยมาลัน เป็นผู้กำกับประเภท ทำหนังสนองนี้ดตัวเอง เขาเขียนบทเอง กำกับเอง บางครั้งก็ลงไปแสดงเองด้วย นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ดิฉัน ชอบแกเหลือเกิน แม้หลังๆใครจะด่าจะว่าหนังแกห่วยแตก หมาไม่มองขนาดไหน เราก็ยังคงชอบอยู่ดี นี่มองแบบเป็นกลางเลยนะ หนังแก แม้จะไม่เม็กเซนส์ แต่ลองมองในมุมที่แกอยากเสนอแล้ว มันก็สนุกนะเฟร้ย!!
Lady In The Water ที่คนดูค่อนข้างหงายเงิบกับตรรกะของหนังที่ดูช่าง เอิ่ม ... "มันใช่เหรอ" แต่อย่าลืมว่า แกพัฒนาบทมาจากนิทานก่อนนอน อยากทำหนังให้ลูกดู โอเค เอาวะ หนังนิทาน! คิดแบบนั้นมันก็สนุกดีเหมือนกัน!
The Last Airbinder เป็นการ์ตูนซีรี่ย์ที่ขอบอกว่า "ม่างงงง โคตรฮิต" เด็กติดกันงอมแงม ลูกของเฮียมาโนชแกก็ติดไอ้การ์ตูนเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เฮียแกเคยนั่งดูการ์ตูนกับลูก แล้วแกก็พบว่า ... "เห้ยแมร่ง สนุกว่ะ" ไม่ได้การละ ลูกจ๋า อยากดูแบบเป็นคนแสดงมั้ย พอลูกพยักหน้า พี่แกเลยจัดหนังมาให้ทันที ...
แล้วก็
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมม หนังการ์ตูนเด็ก Live Action เจอผู้ใหญ่ด่ายับ
"หนังที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่เคยดูมาในชีวิต" บางคนว่า่ไว้เช่นนั้นเลยทีเดียวเชียว
เหล่าเด็กๆมาได้ยินคงชี้หน้าบอกว่า "อะไรของพวกน้า! ดูหนังเป็นป่ะเนี่ย!!!"
แม้ใครจะบอกว่าหนังโคตรห่วยแค่ไหน แต่ดิฉันดูแล้ว ซึ่งน้ำตาคลอ แถมยังชอบมากด้วยนะคะ สงสารน้องเณรมากเลย
Happening ไอเดียและการถ่ายทอดช่าง "อำมหิต" ต่อมนุษย์ตาดำอย่างเราๆเหลือเกิน ... ซึ่งขอบอกว่า "ชอบมาก" ในความลักลั่นของไอเดียและบท จนถึงขั้นต้องไปซื้อหนังสือ "เมื่อผึ้งหายไปจากโลก" มาอ่านเลยทีเดียว
เอ่อ ... อันที่จริงก็ไม่ไ่ด้ซื้อหรอก ยืนอ่านเอาน่ะ ...
คือหนังพี่มาโนช มันก็จะแนวนี้ แกไปพบไปเห็นอะไรมา แกชอบ ก็ทำหนังแม่มมันสะเลยดีกว่า ดิฉันเองชอบหนังแก เพราะมองเรื่องของ "ความสดในไอเดีย" นะ สมเหตุสมผล หรือ สนุกหรือเปล่า นั่นเป็นเรื่องของรสนิยมด้วยส่วนหนึ่งเหมือนกัน ว่าคุณรับกับการนำเสนอของผู้กำกับได้แค่ไหน ...
มาพูดกันถึงเฮียวิล คุณพ่อตัวอย่างคนที่ 2 ของวงการ
แกเป็นคนรักลูกมากกกกก พอแกเจนวงการนานพอ ที่จะทำหน้าที่อื่นนอกจากดาราได้แล้ว แกเลยไปเป็นโปรดิวเซอร์บ้างอะไรบ้าง และก็นี่ไงล่าสุด แกเลยเขียนบทหนังเรื่อง After Earth
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าแกรับบทหนังเรื่องอะไร แกก็พยายามจะมองหาบทที่สามารถยัดลูกแกลงไปด้วยได้ เช่นตอนแกรับบทหนังเรื่อง I am legend แกก็พยายามให้ลูกสาวคนเล็กของแก ที่ตอนนั้นเด๊กเด็ก มาเล่นเป็นลูกแกในเรื่อง ที่ออกแค่ ไม่กี่ฉาก พอไอ้หนูเจเดนโตหน่อย แกก็ลากลูกแกมาเล่นเป็นลูกชายตัวเองใน The Persuit of Happiness หนังสร้างจากเรื่องจริงที่เฮียวิลแกเล่นโคตรดี แมร่งโคตรซึ้ง เจเดนแสดงดีมาก ... เอิ่ม ... ถือว่าบทลูกชายที่เดินตามพ่อต้อยๆ แทบไมไ่ด้พูดอะไร เป็นการเริ่มต้นที่ดีของเจเดนแล้วกันนะ ..
หลังจากนั้น เฮียวิล แกก็ดันลูกชายแกเต็มตัวใน The Karate Kid รีเมกรอบที่แสนของเด็กฝรั่งแข่งคาราเต้ เฮียวิลนั่งเก้าอี้เอ็กเซกคิวซีฟโปรดิวเซอร์ มีเฮียเฉิน ... เฉินกวนซี ไม่ใช่ละ ... ต้องเฉินหลงสิ มาเป็นแม่เหล็กอันบะเริ่มให้หนัง ที่บอกตรงๆนะ ... ชอบหนังมาก ไปดูมาตั้ง 4 รอบ จำได้ว่าตอนนั้นเขียนอวยหนังสุดลิ่มทิ่มประตู แถมยังหวังให้เจเดนได้รางวัลนักแสดงนำอะไรสักอย่างด้วย ตอนนั้นโคตรปลื้มเลย!!!
เริ่มสงสัยตัวเอง ... สงสัยจะเป็นนางงามรักเด็ก รึป่าวฉัน ...

แต่พฤติกรรมแบบนี้ของเฮียวิลก็ใช่ว่าจะน่าปลื้มเท่าไร แฟนหนังเริ่มบ่นๆกันว่า แกอวยลูกเกินไป เดี๋ยวจะเป็น พ่อแม่รังแกฉันเอานะเนี่ย แบบว่า ถ้าแกไมไ่ด้ทำหนังเอง ลูกแกก็คงไม่ได้เล่นหนังหรอก ... นี่มันอาหลองเมืองไทยชัดๆ... !!!
และไอ้ความเป็นอาหลองของแกนี่เอง ที่ดูเหมือนผลกรรมจะตกมาสู่ เจเดนเต็มๆกับ After Earth หลังจากถูกนักวิจารณ์และคนดูหนังส่วนใหญ่ ชำแหละหนังจนแทบไม่เหลือซาก เป้าหมายต่อมา ก็พุ่งมาหานักแสดงนำประดุจ เออซ่า ผู้หิวโหย (เออซ่าคือประหลาดใน After Earth) ทันที
นั่นก็คือ พระเอกของพ่ออออออ เจเดน สมิธ ...
ตอนที่ดิฉันดูไปได้ครึ่งเรื่อง ... ดิฉันก็บังเกิดคำพูดภาษาอังกฤษเท่ๆขึ้นมาในหัวทันที ...
Kid, Still kid.
น้องเจเดน ไม่ไ่ด้โตขึ้นเลยค่ะ ... ยังไงดีล่ะ มันเป็นเรื่องของสเน่ห์ทางการแสดงน่ะ เจเดนแสดงบทนี้ได้ดูเด็กมาก และ ตะแบงสุดๆ มันเป็นอย่างนั้น แต่เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันคาแรคเตอร์ที่พ่อเขาต้องการหรือเปล่า เขาอยากให้ คิไต ดื้อ ตะแบง ล้น ดูน่ารำคาณ แบบนี้หรือเปล่า ... เอ๊ะนี่ชั้นเข้าข้างเด็กอีกแล้วหรือเปล่านะ
แต่บทคิไต มัน Touching กับเรามาก เพราะน้องชายเราเองเป็นประมาณ คิไตเลย ดื้อเงียบ ตะแบง อยากเอาชนะ รั้น ไม่เชื่อฟัง .. แต่จริงๆแล้วอ่อนไหวมาก ... เอ่อ ... นี่มันนิสัยเด็กผู้ชายธรรมดา ทั่วไปชัดๆเลยนี่ ...
สำหรับเราแล้ว เจเดน ผ่านอีกครั้งกับบทนี้นะ แม้ ตัวหนังจะ "ไม่ผ่าน" ในแง่ของการ "ดำเนินเรื่องอันน่าเชื่อถือและชวนคล้อยตาม" ก็ตามที
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการรับบท คิไต ของเจเดนใน After Earth คือ "ไร้สเน่ห์ทางการแสดง" ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาอีกไกลเลยทีเดียว และในระดับนี้ ตัวเจเดนเองก็ควรยอมรับว่า เขาอาจไม่มีทางได้บทนี้ ถ้านี่ไม่ใช่หนังของพ่อตัวเอง ... หากเจเดนคิดจะยึดอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพหลัก ต้องยอมรับว่า ตัวเองยังไร้สเน่ห์จริงๆ
ใน After Earth เหมือนเขาแสดงเป็น "เจเดน สมิธ" มากกว่าแสดงเป็น "คิไต" ผู้ืืืหวาดกลัวและอยากลบล้างอดีตเลวร้าย และมีแรงผลักดันมหาศาล เจเดน ไม่มีพลังมากพอที่จะ "มีแรงผลักดันมหาศาล" ทางการแสดงแบบนั้น ..

เอาล่ะค่ะ ใกล้จบแล้ว After Earth เป็นหนังที่พยามยามสื่อสารเรื่องพ่อลูก แต่ดันไปอยู่บนพื้นหลังของความไซไฟ มันเลยเป็นจุดบอดสำคัญของหนัง เพราะเงื่อนไขความเป็น ไซไฟ นี่เองที่ย้อนกลับมามัดหนังซะจนกระดิกลำบาก คนที่มีหน้าที่ "ผสาน" แบบ เอ็มไนท์ ก็ดัน "เติม" นิสัย และความชอบส่วนตัวของตัวเองลงไปด้วย ทำให้หนัง ดูผิดที่ผิดทาง "หนังล้ำ แต่ทำไมโบราณ" ไม่รู้สมความตั้งใจของ วิล สมิธ หรือเปล่ากับการเลือกเอ็มไนท์มากำกับ
แต่ เรารู้สึกว่า After Earth มาผิดยุค ตอนนี้เรามีหนังไซไฟเชิงปรัชญา หรือ แฝงคติ หล่อเท่มากมายหลายเรื่องแล้ว ไม่ใช่แค่ฮีโร่ กันไปวันๆแบบเมื่อก่อน และด้วยความที่หนังโฟกัสไปที่เรื่องความสัมพันธ์พ่อลูก มันยิ่งดูเฉพาะเจาะจงเกินไป และยังอยู่บนปูมหลังที่ไม่แข็งแรง แรงจูงใจน้อยนิด หนังเลยไม่สามารถทำให้เราคล้อยตามได้เท่าไร
ตอนดูเราแว้บไปนึกถึงบท Porter Black ที่แอนตัน เยลซิน รับบทเป็นลูกผู้สิ้นศรัทธาในตัวพ่อตัวเองใน The Beaver ขึ้นมาทันที มันไม่เหมือนกันเลย มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ในแง่การแสดง เจเดน ต้องไปให้ถึงจุดที่แอนตัน ทำได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ "ก็แค่ผิดหวังในตัวพ่อ" ง่ายๆแบบนั้นแหละ ..
แม้หนังจะมีจุดบกพร่องมากมายในการเล่าเรื่อง แต่เรายังชอบส่วนที่มันเป็นหนังที่ "ปลอบประโลม" จิตใจของทั้ง 2 พ่อลูก
เร้จ รู้จักลูกชายของตัวเองใน ภารกิจ
วิล สมิธ รู้จักลูกชายของตัวเองใน หนัง
ทั้งสองคน พยายามเลี้ยงลูกในแบบของตัวเอง
ในที่สุดพวกเขาก็จะได้รู้ว่า "ลูกชาย" ของพวกเขา "พร้อม" รับมือกับ "โลก" นี้ได้หรือไม่ ...
นั่นคือบทสรุปของ After Earth ...

ฝากแฟนเพจ รีวิว/บทความ หนัง-หนังสือ-กีฬา-เพลง ด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/poprockonfilm
ปล.เผื่อมีคนจำกันได้ ล็อคอินเก่าเราคือ City of the damn ค่ะ
After Earth : ที่นี่คือ โลก ... ของ M. Night Shyamalan และ Will Smith
มนุษย์ทำลายโลกจนปนปี้ แล้วหนีไปอยู่ดาวอื่น
แต่ก็เหมือน "เคราะห์ซ้ำ" เพราะมี 2 พ่อลูก ขี่ยานมาตกบน "โลก" อีกครั้ง
"กรรมยังมาซัด" ต่อด้วยการที่ โลกดันมีแต่สัตว์ประหลาด และมนุษย์ "อยู่ยาก" เสียแล้ว ..
แหม ... ใครทำอะไรไว้ก็ต้องรับผมของกรรมที่ทำมาอ่ะเนอะ ...
ฟังดูคุ้นๆ นะ ..
วิล สมิธ ได้ดูทีวีซีรี่ย์เชิงสารคดีที่มากแง่คิดเรื่อง I Shouldn't Be Alive หรือชื่อไทย "เอาล่ะ กรูต้องรอด" ประมาณนั้น โดยเนื้อเรื่องไม่ได้เกี่ยวกับไซไฟสักกะติ๊ด แต่เป็นเรื่องของพ่อลูก ที่ขับรถไปด้วยกันบนภูเขา แล้วรถชนพ่อบาดเจ็บ ลูกชายต้องทำทุกวิธีทางเพื่อช่วยเหลือ ด้วยการออกมาหาคนมาช่วยพ่อออกไปให้ได้ .. พี่วิลแกก็ปิ๊งไอเดียเลย ว่า งั้นเอางี้แล้วกัน ลองคิดถึงเ่รื่องราวทำนองนี้ แต่เป็นในอีก 1,000 ปีข้างหน้าดีกว่า ...
พอได้ไอเดียแบบนั้น พี่วิลแกก็เริ่มร่างบท และโครงเรื่องทั้งหมด แอ๊ะ แอ๊ะ ... ไม่ต้องกระฟัดกระเฟียดว่าพี่แกจะลอกไอ้ทีวีซีรีย์เรื่องนั้นมาเลยเหรอ เพราะนั่นเป็นหนังของน้องเขยแกเอง คนกันเองไม่เป็นไร ไม่ได้ลอก แค่ปิ๊งไอเดียน่ะ ... ขนาด ยานน์ มาเทล ยังปิ๊งไอเดีย Life Of Pi จาก นิยายอีกเรื่อง ที่พลอตเหมือนกันเกือบจะเด๊ะๆได้เลย ... กรณีแบบนี้ ถ้าปิ๊งพลอตกันจริงๆ มาพูดคุยกันดีๆแล้วขอไอเดียไปต่อยอด คุยกันแมนๆ มันก็โอเค ...
ตอนนั้น The Last Airbinder พึ่งเข้าโรงได้ไม่นาน เฮียวิลแกเห็นหนังแล้ว คงจะปิ๊งน่าดู "นี่แหละ มันต้องเด็กๆ เว่อร์ๆ ล้ำๆ แต่โบราณแบบนี้แหละ!" เลยรีบติดต่อเฮียมาโนชให้มาพูดคุยเรื่องโปรเจคหนังทันที ตอนนั้นเฮียมาโนชแกก็ไม่ไ่ด้มัวแต่นั่งให้คนด่าอย่างเดียวนะ แกก็มีโปรเจคอื่นๆรออยู่เหมือนกัน แต่แกก็สนไอเดียของวิลสมิธอยู่ เลยพัฒนาบทกันมาแบบ กระดึ้บๆ ตอนนั้นเฮียวิลแก ก็คิดพลอตเรื่อง โดยวางบทตัวลูกให้ลูกชายแกเล่นอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น บทหนังเรื่องนี้ มันเลย แทบจะเขียนมาจากคาแรคเตอร์ของลูกชายแกเป๊ะๆ เลยล่ะ ..
เอาล่ะสิ เมื่อ คุณพ่อตัวอย่าง 2 คน อยากทำหนังแนวไซไฟเว่อร์ๆแต่แฝงคติธรรมประจำใจขึ้นมา มันจะออกมาอีรูปไหนกัน ...
เฮียมาโนช แกเป็นคุณพ่อตัวอย่างของวงการมาแต่ไหนแต่ไร คิดดูแล้วกัน แกอยากทำหนังให้ลูกแกดู แกเลยไปโน้มน้าวนายทุน หาคนเขียนบท คัดเลือกตัวนักแสดง หาสตูดิโอมาอุ้มหนัง เพื่อทำหนังให้ลูกแกดู และ คนดูแบบพวกเราช่างโชคดี ที่ดันได้ดูหนังเพื่อลูกของแกด้วย ... มันน่าประทับใจซะจริงๆ ...
เอ้า นี่พูดจริงนะ ไม่ได้ประชด ...

เอ็ม ไนท์ชัยมาลัน เป็นผู้กำกับประเภท ทำหนังสนองนี้ดตัวเอง เขาเขียนบทเอง กำกับเอง บางครั้งก็ลงไปแสดงเองด้วย นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ดิฉัน ชอบแกเหลือเกิน แม้หลังๆใครจะด่าจะว่าหนังแกห่วยแตก หมาไม่มองขนาดไหน เราก็ยังคงชอบอยู่ดี นี่มองแบบเป็นกลางเลยนะ หนังแก แม้จะไม่เม็กเซนส์ แต่ลองมองในมุมที่แกอยากเสนอแล้ว มันก็สนุกนะเฟร้ย!!
Lady In The Water ที่คนดูค่อนข้างหงายเงิบกับตรรกะของหนังที่ดูช่าง เอิ่ม ... "มันใช่เหรอ" แต่อย่าลืมว่า แกพัฒนาบทมาจากนิทานก่อนนอน อยากทำหนังให้ลูกดู โอเค เอาวะ หนังนิทาน! คิดแบบนั้นมันก็สนุกดีเหมือนกัน!
The Last Airbinder เป็นการ์ตูนซีรี่ย์ที่ขอบอกว่า "ม่างงงง โคตรฮิต" เด็กติดกันงอมแงม ลูกของเฮียมาโนชแกก็ติดไอ้การ์ตูนเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน เฮียแกเคยนั่งดูการ์ตูนกับลูก แล้วแกก็พบว่า ... "เห้ยแมร่ง สนุกว่ะ" ไม่ได้การละ ลูกจ๋า อยากดูแบบเป็นคนแสดงมั้ย พอลูกพยักหน้า พี่แกเลยจัดหนังมาให้ทันที ...
แล้วก็
ตู้มมมมมมมมมมมมมมมมมม หนังการ์ตูนเด็ก Live Action เจอผู้ใหญ่ด่ายับ
"หนังที่ห่วยแตกที่สุดเท่าที่เคยดูมาในชีวิต" บางคนว่า่ไว้เช่นนั้นเลยทีเดียวเชียว
เหล่าเด็กๆมาได้ยินคงชี้หน้าบอกว่า "อะไรของพวกน้า! ดูหนังเป็นป่ะเนี่ย!!!"
แม้ใครจะบอกว่าหนังโคตรห่วยแค่ไหน แต่ดิฉันดูแล้ว ซึ่งน้ำตาคลอ แถมยังชอบมากด้วยนะคะ สงสารน้องเณรมากเลย
Happening ไอเดียและการถ่ายทอดช่าง "อำมหิต" ต่อมนุษย์ตาดำอย่างเราๆเหลือเกิน ... ซึ่งขอบอกว่า "ชอบมาก" ในความลักลั่นของไอเดียและบท จนถึงขั้นต้องไปซื้อหนังสือ "เมื่อผึ้งหายไปจากโลก" มาอ่านเลยทีเดียว
เอ่อ ... อันที่จริงก็ไม่ไ่ด้ซื้อหรอก ยืนอ่านเอาน่ะ ...
คือหนังพี่มาโนช มันก็จะแนวนี้ แกไปพบไปเห็นอะไรมา แกชอบ ก็ทำหนังแม่มมันสะเลยดีกว่า ดิฉันเองชอบหนังแก เพราะมองเรื่องของ "ความสดในไอเดีย" นะ สมเหตุสมผล หรือ สนุกหรือเปล่า นั่นเป็นเรื่องของรสนิยมด้วยส่วนหนึ่งเหมือนกัน ว่าคุณรับกับการนำเสนอของผู้กำกับได้แค่ไหน ...
มาพูดกันถึงเฮียวิล คุณพ่อตัวอย่างคนที่ 2 ของวงการ
แกเป็นคนรักลูกมากกกกก พอแกเจนวงการนานพอ ที่จะทำหน้าที่อื่นนอกจากดาราได้แล้ว แกเลยไปเป็นโปรดิวเซอร์บ้างอะไรบ้าง และก็นี่ไงล่าสุด แกเลยเขียนบทหนังเรื่อง After Earth
ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าแกรับบทหนังเรื่องอะไร แกก็พยายามจะมองหาบทที่สามารถยัดลูกแกลงไปด้วยได้ เช่นตอนแกรับบทหนังเรื่อง I am legend แกก็พยายามให้ลูกสาวคนเล็กของแก ที่ตอนนั้นเด๊กเด็ก มาเล่นเป็นลูกแกในเรื่อง ที่ออกแค่ ไม่กี่ฉาก พอไอ้หนูเจเดนโตหน่อย แกก็ลากลูกแกมาเล่นเป็นลูกชายตัวเองใน The Persuit of Happiness หนังสร้างจากเรื่องจริงที่เฮียวิลแกเล่นโคตรดี แมร่งโคตรซึ้ง เจเดนแสดงดีมาก ... เอิ่ม ... ถือว่าบทลูกชายที่เดินตามพ่อต้อยๆ แทบไมไ่ด้พูดอะไร เป็นการเริ่มต้นที่ดีของเจเดนแล้วกันนะ ..
หลังจากนั้น เฮียวิล แกก็ดันลูกชายแกเต็มตัวใน The Karate Kid รีเมกรอบที่แสนของเด็กฝรั่งแข่งคาราเต้ เฮียวิลนั่งเก้าอี้เอ็กเซกคิวซีฟโปรดิวเซอร์ มีเฮียเฉิน ... เฉินกวนซี ไม่ใช่ละ ... ต้องเฉินหลงสิ มาเป็นแม่เหล็กอันบะเริ่มให้หนัง ที่บอกตรงๆนะ ... ชอบหนังมาก ไปดูมาตั้ง 4 รอบ จำได้ว่าตอนนั้นเขียนอวยหนังสุดลิ่มทิ่มประตู แถมยังหวังให้เจเดนได้รางวัลนักแสดงนำอะไรสักอย่างด้วย ตอนนั้นโคตรปลื้มเลย!!!
เริ่มสงสัยตัวเอง ... สงสัยจะเป็นนางงามรักเด็ก รึป่าวฉัน ...
แต่พฤติกรรมแบบนี้ของเฮียวิลก็ใช่ว่าจะน่าปลื้มเท่าไร แฟนหนังเริ่มบ่นๆกันว่า แกอวยลูกเกินไป เดี๋ยวจะเป็น พ่อแม่รังแกฉันเอานะเนี่ย แบบว่า ถ้าแกไมไ่ด้ทำหนังเอง ลูกแกก็คงไม่ได้เล่นหนังหรอก ... นี่มันอาหลองเมืองไทยชัดๆ... !!!
และไอ้ความเป็นอาหลองของแกนี่เอง ที่ดูเหมือนผลกรรมจะตกมาสู่ เจเดนเต็มๆกับ After Earth หลังจากถูกนักวิจารณ์และคนดูหนังส่วนใหญ่ ชำแหละหนังจนแทบไม่เหลือซาก เป้าหมายต่อมา ก็พุ่งมาหานักแสดงนำประดุจ เออซ่า ผู้หิวโหย (เออซ่าคือประหลาดใน After Earth) ทันที
นั่นก็คือ พระเอกของพ่ออออออ เจเดน สมิธ ...
ตอนที่ดิฉันดูไปได้ครึ่งเรื่อง ... ดิฉันก็บังเกิดคำพูดภาษาอังกฤษเท่ๆขึ้นมาในหัวทันที ...
Kid, Still kid.
น้องเจเดน ไม่ไ่ด้โตขึ้นเลยค่ะ ... ยังไงดีล่ะ มันเป็นเรื่องของสเน่ห์ทางการแสดงน่ะ เจเดนแสดงบทนี้ได้ดูเด็กมาก และ ตะแบงสุดๆ มันเป็นอย่างนั้น แต่เดี๋ยวก่อนนะ นี่มันคาแรคเตอร์ที่พ่อเขาต้องการหรือเปล่า เขาอยากให้ คิไต ดื้อ ตะแบง ล้น ดูน่ารำคาณ แบบนี้หรือเปล่า ... เอ๊ะนี่ชั้นเข้าข้างเด็กอีกแล้วหรือเปล่านะ
แต่บทคิไต มัน Touching กับเรามาก เพราะน้องชายเราเองเป็นประมาณ คิไตเลย ดื้อเงียบ ตะแบง อยากเอาชนะ รั้น ไม่เชื่อฟัง .. แต่จริงๆแล้วอ่อนไหวมาก ... เอ่อ ... นี่มันนิสัยเด็กผู้ชายธรรมดา ทั่วไปชัดๆเลยนี่ ...
สำหรับเราแล้ว เจเดน ผ่านอีกครั้งกับบทนี้นะ แม้ ตัวหนังจะ "ไม่ผ่าน" ในแง่ของการ "ดำเนินเรื่องอันน่าเชื่อถือและชวนคล้อยตาม" ก็ตามที
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ต่อการรับบท คิไต ของเจเดนใน After Earth คือ "ไร้สเน่ห์ทางการแสดง" ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่ต้องพัฒนาอีกไกลเลยทีเดียว และในระดับนี้ ตัวเจเดนเองก็ควรยอมรับว่า เขาอาจไม่มีทางได้บทนี้ ถ้านี่ไม่ใช่หนังของพ่อตัวเอง ... หากเจเดนคิดจะยึดอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพหลัก ต้องยอมรับว่า ตัวเองยังไร้สเน่ห์จริงๆ
ใน After Earth เหมือนเขาแสดงเป็น "เจเดน สมิธ" มากกว่าแสดงเป็น "คิไต" ผู้ืืืหวาดกลัวและอยากลบล้างอดีตเลวร้าย และมีแรงผลักดันมหาศาล เจเดน ไม่มีพลังมากพอที่จะ "มีแรงผลักดันมหาศาล" ทางการแสดงแบบนั้น ..
เอาล่ะค่ะ ใกล้จบแล้ว After Earth เป็นหนังที่พยามยามสื่อสารเรื่องพ่อลูก แต่ดันไปอยู่บนพื้นหลังของความไซไฟ มันเลยเป็นจุดบอดสำคัญของหนัง เพราะเงื่อนไขความเป็น ไซไฟ นี่เองที่ย้อนกลับมามัดหนังซะจนกระดิกลำบาก คนที่มีหน้าที่ "ผสาน" แบบ เอ็มไนท์ ก็ดัน "เติม" นิสัย และความชอบส่วนตัวของตัวเองลงไปด้วย ทำให้หนัง ดูผิดที่ผิดทาง "หนังล้ำ แต่ทำไมโบราณ" ไม่รู้สมความตั้งใจของ วิล สมิธ หรือเปล่ากับการเลือกเอ็มไนท์มากำกับ
แต่ เรารู้สึกว่า After Earth มาผิดยุค ตอนนี้เรามีหนังไซไฟเชิงปรัชญา หรือ แฝงคติ หล่อเท่มากมายหลายเรื่องแล้ว ไม่ใช่แค่ฮีโร่ กันไปวันๆแบบเมื่อก่อน และด้วยความที่หนังโฟกัสไปที่เรื่องความสัมพันธ์พ่อลูก มันยิ่งดูเฉพาะเจาะจงเกินไป และยังอยู่บนปูมหลังที่ไม่แข็งแรง แรงจูงใจน้อยนิด หนังเลยไม่สามารถทำให้เราคล้อยตามได้เท่าไร
ตอนดูเราแว้บไปนึกถึงบท Porter Black ที่แอนตัน เยลซิน รับบทเป็นลูกผู้สิ้นศรัทธาในตัวพ่อตัวเองใน The Beaver ขึ้นมาทันที มันไม่เหมือนกันเลย มันต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ในแง่การแสดง เจเดน ต้องไปให้ถึงจุดที่แอนตัน ทำได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ "ก็แค่ผิดหวังในตัวพ่อ" ง่ายๆแบบนั้นแหละ ..
แม้หนังจะมีจุดบกพร่องมากมายในการเล่าเรื่อง แต่เรายังชอบส่วนที่มันเป็นหนังที่ "ปลอบประโลม" จิตใจของทั้ง 2 พ่อลูก
เร้จ รู้จักลูกชายของตัวเองใน ภารกิจ
วิล สมิธ รู้จักลูกชายของตัวเองใน หนัง
ทั้งสองคน พยายามเลี้ยงลูกในแบบของตัวเอง
ในที่สุดพวกเขาก็จะได้รู้ว่า "ลูกชาย" ของพวกเขา "พร้อม" รับมือกับ "โลก" นี้ได้หรือไม่ ...
นั่นคือบทสรุปของ After Earth ...
ฝากแฟนเพจ รีวิว/บทความ หนัง-หนังสือ-กีฬา-เพลง ด้วยค่ะ
https://www.facebook.com/poprockonfilm
ปล.เผื่อมีคนจำกันได้ ล็อคอินเก่าเราคือ City of the damn ค่ะ