เราเอาบทสัมภาษณ์ของคุณบอยจากนิตยสารแพรวในปี 2552 มาลงค่ะ นี่เป็น 10 ละครเวทีที่คุณบอยประทับใจมากที่สุด...เผื่อเราอาจจะได้ลุ้นอยากให้คุณบอยช่วยนำเรื่องไหนมาแสดงที่เมืองไทยที หลังจากสำเร็จกับ The Phantom of the Opera แล้ว
คอลัมน์ New Columu The Influencer นิตยสารแพรว (จากคำแนะนำของ บอย-ถลกเกียรติ วีรวรรณ เจ้าพ่อบรอดเวย์ไทย...10 อันดับนี่เราไม่แน่ใจว่าเรียงตามความชอบของคุณบอยหรือเปล่านะค่ะ...และบางเรื่องมีซ้ำบ้างที่ทำเป็นเวอร์ชั่นคนไทยแสดงมาแล้ว)
1. Les Miserables เรื่องราวฉากก่อนยุคการปฏิวัติฝรั่งเศส เรื่องของโจรผู้หนึ่งที่กลับตัวปวารณาตัวเป็นคนดีตลอดชีวิต หลังจากละอายต่อบาปที่บาทหลวงให้อภัยในการลักทรัพย์ของโบสถ์ แสดงให้เห็นถึงส่วนเสี้ยวในจิตใจมนุษย์นั้น ขอเพียงมีศรัทธาและได้รับการให้อภัยจากเพื่อนมนุษย์ ก็สามารถเปลี่ยนทรชนให้กลายเป็นคนดีได้
2. The Phantom of the Opera เรื่องราวความรักที่จบลงด้วยความประทับใจอย่างน่าเศร้า ความรักระหว่างนักร้องสาวผู้มีพรสวรรค์กับปิศาจแห่งโรงละครโอเปร่า แห่งกรุงปารีสในศตวรรษที่ 18
3. Miss Saigon เป็นเลิฟสตอรี่จากโครงเรื่องแบบสาวเครือฟ้า ในยุคของสงครามเวียดนาม ความรักต้องห้ามระหว่างหญิงสาวชาวเวียดนาม กับ นายทหารหนุ่มอเมริกัน บททดสอบที่กำหนดให้เธอต้องเลือกความรัก ระหว่างคนรักที่เป็นศัตรูของชาติ หรือบ้านเกิดมาตุภูมิของตน (ทำเป็นเวอร์ชั่นคนไทยแสดงมาแล้ว)
4. A Chorus Line เรื่องราวละครซ้อนละคร นำเสนอเรื่องราวของการออดิชั่นของเหล่านักร้องนักแสดงวัยรุ่น ที่ต่างต้องแข่งขันขับเคี่ยวกันเพื่อฝ่าฟันเข้าไปเป็นหนึ่งในการคว้าดาว แม้เนื้อเรื่องจะบอกถึงการแข่งขัน แต่ก็ยังมีเสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน และมิตรภาพ
5. The King and I เรื่องราวจากบันทึก(รักและลับ)ของ แอนนา เลียวโนเวนส์ แม่ม่ายลูกติดชาวอังกฤษ ที่มีโอกาสได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลสู่ดินแดนสยาม เข้าสู่ราชสำนักไทยในฐานะพระอาจารย์ของพระโอรสธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ก่อเกิดเป็นความรักต่างเชื้อชาติและฐานันดร (เรื่องนี่คงไม่น่าจะได้ทำแหง ต้องไปหาดูในต่างประเทศอย่างเดียว)
6. West Side Story โรมิโอแอนด์จูเลียต ภาคอเมริกันยังสเตอร์ยุค 50S เรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่างหนุ่มชาวยิว กับ สาวไอริสคาทอลิกจากสองแก้งส์ยังสเตอร์อเมริกันที่เป็นคู่อริกัน อีกทั้งยังสอดแทรกตีแผ่ด้านมืดความรุนแรงของสังคมวัยรุ่นอเมริกันความเหยียดหยามเชื้อชาติเพื่อนร่วมชาติ ในประเทศที่รวมคนหลายเชื้อชาติเอาไว้ด้วย
7. Sunday in the Park with George ละครเวทีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพเขียนของศิลปินชื่อก้องโลก "A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte" โดย Georges Seurat.
8. Billy Elliot ฉากหลังในยุคความเฟื่องฟู่ทางอุตสาหกรรมที่สวนทางกับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ เรื่องราวการพยายามไล่ตามความฝันให้เป็นจริงของเด็กชาย บิลลี่ อิเลียต เด็กชายผู้เกิดในชนชั้นกรรมมาชีพ แต่มีพรสวรรค์ในการเต้นบัลเล่ต์อย่างที่ผู้หญิงเทียบไม่ติด เด็กชายต้องต่อสู้กับอคติของพ่อและพี่ชาย ที่ต้องการให้เขาเป็นกรรมกรเหมืองแร่เหมือนครอบครัว หรือเป็นทหารกับนักมวยสมชายชาตรี แทนที่จะทำอาชีพเต้นกินรำกินเหมือนผู้หญิง โดยมีครูสาวผู้สอนบัลเล่ต์เป็นแบ็กช่วยผลักดันความฝันของเขา นอกจากจะแสดงความพยายามทำความฝันให้สมหวังของมนุษย์แล้ว ยังให้ข้อคิดในการทำลายเส้นอคติความคิดแบ่งเขตความคิดด้านเพศและอาชีพว่า ชายหญิงก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในการที่จะเลือกเป็นในอาชีพที่ตนชอบได้ (ละครเวทีเรื่องนี้ ถึงกับต้องใช้นักแสดงเด็กชายอายุระหว่าง 13-15 ปี ผู้รับบทบิลลี่ถึง 3 คน! แสดงสลับวันกัน เพราะเป็นบทเต้นรำที่ต้องใช้พลังงานสูงมาก ทำให้เด็กคนเดียวไม่สามารถแสดงหลายรอบได้ไหว)
9. Death of a Salesman เรื่องราวชีวิตสุดรันทดสะท้อนค่านิยมของชาวอเมริกันในยุคที่งานคือเงิน เงินคือพระเจ้า ทำให้มนุษย์เริ่มสูญเสียความเป็นมนุษย์ กลายเป็นเครื่องจักรที่ต้องทำงานหนักเพื่อเงินอย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย คำพูดสุดประทับใจของตัวละครคือ "ผมไม่อยากจะทำในสิ่งที่ไม่ชอบ 50 สัปดาห์ต่อปี เพื่อรอว่าเมื่อไหร่จะถึง 2 สัปดาห์ที่จะได้ลาพักร้อน"
10. M.Butterfly ชื่อเต็มคือ มาดามบัตเตอร์ฟลาย หรือในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 'โจโจ้ซัง' (แปลว่าผีเสื้อ) เรื่องราวความรักสุดรันทดของเกอิชางามเมืองแห่งเกียวโต กับ นายทหารหนุ่มชาวอเมริกัน ในช่วงยุคเอโดะเปิดประเทศ แม้ในท้ายที่สุดโจโจ้ซังก็จบชีวิตตัวเองอย่างหน้าเศร้า ก็ยังตราตรึงใจคนดูให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของผู้หญิงสายเลือดบูชิโด ที่ฆ่าได้หยามไม่ได้ (ทำเป็นเวอร์ชั่นคนไทยแสดงมาหลายรอบ)
10 ละครเวทีที่คุณบอยชอบดูมากที่สุด (สัมภาษณ์จากนิตยสารแพรวเมื่อหลายปี)
คอลัมน์ New Columu The Influencer นิตยสารแพรว (จากคำแนะนำของ บอย-ถลกเกียรติ วีรวรรณ เจ้าพ่อบรอดเวย์ไทย...10 อันดับนี่เราไม่แน่ใจว่าเรียงตามความชอบของคุณบอยหรือเปล่านะค่ะ...และบางเรื่องมีซ้ำบ้างที่ทำเป็นเวอร์ชั่นคนไทยแสดงมาแล้ว)
1. Les Miserables เรื่องราวฉากก่อนยุคการปฏิวัติฝรั่งเศส เรื่องของโจรผู้หนึ่งที่กลับตัวปวารณาตัวเป็นคนดีตลอดชีวิต หลังจากละอายต่อบาปที่บาทหลวงให้อภัยในการลักทรัพย์ของโบสถ์ แสดงให้เห็นถึงส่วนเสี้ยวในจิตใจมนุษย์นั้น ขอเพียงมีศรัทธาและได้รับการให้อภัยจากเพื่อนมนุษย์ ก็สามารถเปลี่ยนทรชนให้กลายเป็นคนดีได้
2. The Phantom of the Opera เรื่องราวความรักที่จบลงด้วยความประทับใจอย่างน่าเศร้า ความรักระหว่างนักร้องสาวผู้มีพรสวรรค์กับปิศาจแห่งโรงละครโอเปร่า แห่งกรุงปารีสในศตวรรษที่ 18
3. Miss Saigon เป็นเลิฟสตอรี่จากโครงเรื่องแบบสาวเครือฟ้า ในยุคของสงครามเวียดนาม ความรักต้องห้ามระหว่างหญิงสาวชาวเวียดนาม กับ นายทหารหนุ่มอเมริกัน บททดสอบที่กำหนดให้เธอต้องเลือกความรัก ระหว่างคนรักที่เป็นศัตรูของชาติ หรือบ้านเกิดมาตุภูมิของตน (ทำเป็นเวอร์ชั่นคนไทยแสดงมาแล้ว)
4. A Chorus Line เรื่องราวละครซ้อนละคร นำเสนอเรื่องราวของการออดิชั่นของเหล่านักร้องนักแสดงวัยรุ่น ที่ต่างต้องแข่งขันขับเคี่ยวกันเพื่อฝ่าฟันเข้าไปเป็นหนึ่งในการคว้าดาว แม้เนื้อเรื่องจะบอกถึงการแข่งขัน แต่ก็ยังมีเสียงหัวเราะ ความสนุกสนาน และมิตรภาพ
5. The King and I เรื่องราวจากบันทึก(รักและลับ)ของ แอนนา เลียวโนเวนส์ แม่ม่ายลูกติดชาวอังกฤษ ที่มีโอกาสได้เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลสู่ดินแดนสยาม เข้าสู่ราชสำนักไทยในฐานะพระอาจารย์ของพระโอรสธิดาในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ก่อเกิดเป็นความรักต่างเชื้อชาติและฐานันดร (เรื่องนี่คงไม่น่าจะได้ทำแหง ต้องไปหาดูในต่างประเทศอย่างเดียว)
6. West Side Story โรมิโอแอนด์จูเลียต ภาคอเมริกันยังสเตอร์ยุค 50S เรื่องราวความรักต้องห้ามระหว่างหนุ่มชาวยิว กับ สาวไอริสคาทอลิกจากสองแก้งส์ยังสเตอร์อเมริกันที่เป็นคู่อริกัน อีกทั้งยังสอดแทรกตีแผ่ด้านมืดความรุนแรงของสังคมวัยรุ่นอเมริกันความเหยียดหยามเชื้อชาติเพื่อนร่วมชาติ ในประเทศที่รวมคนหลายเชื้อชาติเอาไว้ด้วย
7. Sunday in the Park with George ละครเวทีที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพเขียนของศิลปินชื่อก้องโลก "A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte" โดย Georges Seurat.
8. Billy Elliot ฉากหลังในยุคความเฟื่องฟู่ทางอุตสาหกรรมที่สวนทางกับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ เรื่องราวการพยายามไล่ตามความฝันให้เป็นจริงของเด็กชาย บิลลี่ อิเลียต เด็กชายผู้เกิดในชนชั้นกรรมมาชีพ แต่มีพรสวรรค์ในการเต้นบัลเล่ต์อย่างที่ผู้หญิงเทียบไม่ติด เด็กชายต้องต่อสู้กับอคติของพ่อและพี่ชาย ที่ต้องการให้เขาเป็นกรรมกรเหมืองแร่เหมือนครอบครัว หรือเป็นทหารกับนักมวยสมชายชาตรี แทนที่จะทำอาชีพเต้นกินรำกินเหมือนผู้หญิง โดยมีครูสาวผู้สอนบัลเล่ต์เป็นแบ็กช่วยผลักดันความฝันของเขา นอกจากจะแสดงความพยายามทำความฝันให้สมหวังของมนุษย์แล้ว ยังให้ข้อคิดในการทำลายเส้นอคติความคิดแบ่งเขตความคิดด้านเพศและอาชีพว่า ชายหญิงก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในการที่จะเลือกเป็นในอาชีพที่ตนชอบได้ (ละครเวทีเรื่องนี้ ถึงกับต้องใช้นักแสดงเด็กชายอายุระหว่าง 13-15 ปี ผู้รับบทบิลลี่ถึง 3 คน! แสดงสลับวันกัน เพราะเป็นบทเต้นรำที่ต้องใช้พลังงานสูงมาก ทำให้เด็กคนเดียวไม่สามารถแสดงหลายรอบได้ไหว)
9. Death of a Salesman เรื่องราวชีวิตสุดรันทดสะท้อนค่านิยมของชาวอเมริกันในยุคที่งานคือเงิน เงินคือพระเจ้า ทำให้มนุษย์เริ่มสูญเสียความเป็นมนุษย์ กลายเป็นเครื่องจักรที่ต้องทำงานหนักเพื่อเงินอย่างไม่รู้จักคำว่าเหน็ดเหนื่อย คำพูดสุดประทับใจของตัวละครคือ "ผมไม่อยากจะทำในสิ่งที่ไม่ชอบ 50 สัปดาห์ต่อปี เพื่อรอว่าเมื่อไหร่จะถึง 2 สัปดาห์ที่จะได้ลาพักร้อน"
10. M.Butterfly ชื่อเต็มคือ มาดามบัตเตอร์ฟลาย หรือในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า 'โจโจ้ซัง' (แปลว่าผีเสื้อ) เรื่องราวความรักสุดรันทดของเกอิชางามเมืองแห่งเกียวโต กับ นายทหารหนุ่มชาวอเมริกัน ในช่วงยุคเอโดะเปิดประเทศ แม้ในท้ายที่สุดโจโจ้ซังก็จบชีวิตตัวเองอย่างหน้าเศร้า ก็ยังตราตรึงใจคนดูให้เห็นถึงศักดิ์ศรีของผู้หญิงสายเลือดบูชิโด ที่ฆ่าได้หยามไม่ได้ (ทำเป็นเวอร์ชั่นคนไทยแสดงมาหลายรอบ)