สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 4
ยากมั้ย - ไม่ยากหรอก ออกจะง่ายมากสำหรับคนที่มีต้นทุนเยอะ ต้นทุนในที่นี้ไม่ใช่เงิน แต่เป็นทักษะพูด ฟัง อ่าน เขียนภาษาอังกฤษ ถ้ามีพื้นฐานหนักแน่นดีมาแต่ดั้งเดิมก็เป็นเรื่องง่ายดายอย่างยิ่ง
ต้องอ่านหนังสือเยอะไหม - ไม่อยากอ่านเยอะก็ไม่มีใครว่าอะไร อันนี้แน่นอนอยู่แล้้วเพราะไม่มีใครมาบังคับได้ ก็อย่างที่ตอบไปในข้อแรกว่ามีต้นทุนเยอะก็ไม่ต้องออกแรงมากนัก อาศัยทุนเก่าแต่ปางบรรพ์คงพอตะเกียกตะกายเอาตัวรอดได้อยู่
จบแล้วหน่วยงานต่างๆ จะยอมรับไหม - อืมมม... อันนี้ตอบแทนหน่วยงานขององค์กรอื่นไม่ได้ เพราะบัณฑิตรุ่นแรกยังไม่ออกสู่ตลาดแรงงาน เสียงเล่าลือเกี่ยวกับคุณภาพบัณฑิตจึงยังไม่มาถึงหู
คำถามก็ตอบไปแล้ว ต่อจากนี้ไปเป็นส่วนของคำแนะนำจากหนูทดลองรุ่นแรกของสาขาวิชานี้
ก่อนอื่นคุณคงต้องถามตัวเองก่อนว่ามาเรียนภาษาอังกฤษที่มสธ.ด้วยวัตถุประสงค์อันใดกันแน่ ถ้าคิดว่าปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (ภาษาอังกฤษ) เป็นสิ่งที่ได้มาง่าย ไม่ต้องอ่านตำรามากนัก ได้มาแล้วหางานทำง่าย ตลาดแรงงานจ้องตะครุบตัว อันนี้คงต้องคิดทบทวนใหม่อย่างเร่งด่วน
การเรียนการสอนของสาขาวิชาภาษาอังกฤษเป็นแบบออนไลน์ นักศึกษาต้องมีคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตไว้ใช้ และต้องมี "เวลา" ขอย้ำว่าต้องมีเวลา เพราะหลักสูตรถูกออกแบบมาบังคับให้นักศึกษาต้องฝึกฝนทักษะทางภาษาด้วยการทำกิจกรรมที่เป็นงานเดี่ยวและงานกลุ่มส่งเข้าระบบ D4LP แทบทุกอาทิตย์ (จำนวนของงานที่ต้องส่งขึ้นกับแต่ละชุดวิชา) ชุดวิชาของสาขาอื่นๆ ของมสธ. คุณอาจจะไม่ต้องทำกิจกรรมส่งทางไปรษณีย์เพื่อแลกคะแนนเก็บ 20 คะแนนแล้วไปตะลุยสอบเอาตอนปลายภาคอย่างเดียวก็ไม่มีปัญหา แต่สำหรับเอกอังกฤษทุกชุดวิชาจะมีคะแนนเก็บ 40 - 60 คะแนน บางชุดวิชาจะมีข้อบังคับว่าคุณต้องได้คะแนนเก็บจากการส่งงานกิจกรรมส่วนนี้เกิน 60% ขึ้นไปด้วย ถ้าคะแนนกิจกรรมได้ไม่ถึงก็สอบไม่ผ่าน นั่นหมายความว่าคุณต้องทำแบบฝึกหัด ร่วมทำงานกลุ่มกับเพื่อนที่เรียนวิชาเดียวกันเพื่อให้ได้คะแนนตรงนี้มาตามเงื่อนไข และการส่งงานก็มีระยะเวลากำหนดไว้ตายตัว ไม่มีการอนุญาตให้ส่งงานย้อนหลัง เพื่อนในกลุ่มจะมีอำนาจในการประเมินคะแนนของคุณด้วย ถ้าคุณไม่มีเวลาสำหรับการทำกิจกรรม หรือไม่สามารถบริหารจัดการเวลาในชีวิตได้ก็ควรคิดทบทวนให้ดี เพราะข้ออ้างว่างานประจำยุ่งขิง ต้องดูแลครอบครัว ต้องเร่ร่อนไปโน่นมานี่ไม่มีเวลามาทำงานส่งจะไม่ช่วยให้คุณสอบผ่านได้
ปกติแล้วการเรียนที่มสธ.เป็นการเรียนทางไกล จำเป็นต้องขวนขวายด้วยตนเองอย่างหนักหน่วงกว่าในมหาวิทยาลัยปิด เนื่องจากไม่มีใครมาเช็คชื่อบังคับให้คุณต้องเข้าห้องเรียนเวลานั้นเวลานี้เพื่อนั่งตาลอยฟังอาจารย์บรรยายกรอกหูเป็นชั่วโมงๆ ตำราเรียนก็เขียนขึ้นมาเพื่อให้สามารถศึกษาค้นคว้าต่อยอดด้วยตัวเอง นักศึกษาต้องมีความมุ่งมั่นมานะพยายาม ต้องมีวินัยในตัวเอง และต้องบริหารจัดการเวลาที่แบ่งมาเพื่อใช้ในการเรียนลักษณะนี้ได้จึงจะประสบความสำเร็จในการศึกษา
อนึ่งว่าภาษาอังกฤษนี้ก็เป็นเหมือนเช่นภาษาต่างด้าวอื่นๆ ที่ต้องขยันหมั่นฝึกฝนจึงจะเกิดเป็นความชำนาญในการใช้งาน จงอย่าได้ฝันหวานหรือมโนไปว่าเรียนที่มสธ.แล้วจะเก่งขั้นเทพขึ้นมาได้หลังจากสี่ปีผ่านไป ต่อให้สามารถสอบผ่านหมดทุกชุดวิชามาได้อย่างทุลักทุเล แต่ถ้าเจอฝรั่งมังฆ้องแล้วฟังไม่รู้เรื่องว่าเขากำลังพูดอไร ได้แต่ยืนอ้าปากค้างตอบกลับไม่ได้ ไม่สามารถแม้แต่เขียนจดหมายหรือเรียงความง่ายๆ ซักเื่รื่อง กระทั่งอ่านข่าวหรือบทความอะไรก็ไม่เข้าใจ คงไม่มีหน่วยงานอยากจะจ้างคุณไปทำงาน สุดท้ายใบปริญญาก็จะเป็นแค่เศษกระดาษหาคุณวิเศษอันใดไม่ได้ เมื่อคนที่ถือกระดาษแผ่นนี้ไร้ทักษะไม่สามารถสำแดงวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาให้เป็นที่ประจักษ์ได้
ต้องอ่านหนังสือเยอะไหม - ไม่อยากอ่านเยอะก็ไม่มีใครว่าอะไร อันนี้แน่นอนอยู่แล้้วเพราะไม่มีใครมาบังคับได้ ก็อย่างที่ตอบไปในข้อแรกว่ามีต้นทุนเยอะก็ไม่ต้องออกแรงมากนัก อาศัยทุนเก่าแต่ปางบรรพ์คงพอตะเกียกตะกายเอาตัวรอดได้อยู่
จบแล้วหน่วยงานต่างๆ จะยอมรับไหม - อืมมม... อันนี้ตอบแทนหน่วยงานขององค์กรอื่นไม่ได้ เพราะบัณฑิตรุ่นแรกยังไม่ออกสู่ตลาดแรงงาน เสียงเล่าลือเกี่ยวกับคุณภาพบัณฑิตจึงยังไม่มาถึงหู
คำถามก็ตอบไปแล้ว ต่อจากนี้ไปเป็นส่วนของคำแนะนำจากหนูทดลองรุ่นแรกของสาขาวิชานี้
ก่อนอื่นคุณคงต้องถามตัวเองก่อนว่ามาเรียนภาษาอังกฤษที่มสธ.ด้วยวัตถุประสงค์อันใดกันแน่ ถ้าคิดว่าปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิต (ภาษาอังกฤษ) เป็นสิ่งที่ได้มาง่าย ไม่ต้องอ่านตำรามากนัก ได้มาแล้วหางานทำง่าย ตลาดแรงงานจ้องตะครุบตัว อันนี้คงต้องคิดทบทวนใหม่อย่างเร่งด่วน
การเรียนการสอนของสาขาวิชาภาษาอังกฤษเป็นแบบออนไลน์ นักศึกษาต้องมีคอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ตไว้ใช้ และต้องมี "เวลา" ขอย้ำว่าต้องมีเวลา เพราะหลักสูตรถูกออกแบบมาบังคับให้นักศึกษาต้องฝึกฝนทักษะทางภาษาด้วยการทำกิจกรรมที่เป็นงานเดี่ยวและงานกลุ่มส่งเข้าระบบ D4LP แทบทุกอาทิตย์ (จำนวนของงานที่ต้องส่งขึ้นกับแต่ละชุดวิชา) ชุดวิชาของสาขาอื่นๆ ของมสธ. คุณอาจจะไม่ต้องทำกิจกรรมส่งทางไปรษณีย์เพื่อแลกคะแนนเก็บ 20 คะแนนแล้วไปตะลุยสอบเอาตอนปลายภาคอย่างเดียวก็ไม่มีปัญหา แต่สำหรับเอกอังกฤษทุกชุดวิชาจะมีคะแนนเก็บ 40 - 60 คะแนน บางชุดวิชาจะมีข้อบังคับว่าคุณต้องได้คะแนนเก็บจากการส่งงานกิจกรรมส่วนนี้เกิน 60% ขึ้นไปด้วย ถ้าคะแนนกิจกรรมได้ไม่ถึงก็สอบไม่ผ่าน นั่นหมายความว่าคุณต้องทำแบบฝึกหัด ร่วมทำงานกลุ่มกับเพื่อนที่เรียนวิชาเดียวกันเพื่อให้ได้คะแนนตรงนี้มาตามเงื่อนไข และการส่งงานก็มีระยะเวลากำหนดไว้ตายตัว ไม่มีการอนุญาตให้ส่งงานย้อนหลัง เพื่อนในกลุ่มจะมีอำนาจในการประเมินคะแนนของคุณด้วย ถ้าคุณไม่มีเวลาสำหรับการทำกิจกรรม หรือไม่สามารถบริหารจัดการเวลาในชีวิตได้ก็ควรคิดทบทวนให้ดี เพราะข้ออ้างว่างานประจำยุ่งขิง ต้องดูแลครอบครัว ต้องเร่ร่อนไปโน่นมานี่ไม่มีเวลามาทำงานส่งจะไม่ช่วยให้คุณสอบผ่านได้
ปกติแล้วการเรียนที่มสธ.เป็นการเรียนทางไกล จำเป็นต้องขวนขวายด้วยตนเองอย่างหนักหน่วงกว่าในมหาวิทยาลัยปิด เนื่องจากไม่มีใครมาเช็คชื่อบังคับให้คุณต้องเข้าห้องเรียนเวลานั้นเวลานี้เพื่อนั่งตาลอยฟังอาจารย์บรรยายกรอกหูเป็นชั่วโมงๆ ตำราเรียนก็เขียนขึ้นมาเพื่อให้สามารถศึกษาค้นคว้าต่อยอดด้วยตัวเอง นักศึกษาต้องมีความมุ่งมั่นมานะพยายาม ต้องมีวินัยในตัวเอง และต้องบริหารจัดการเวลาที่แบ่งมาเพื่อใช้ในการเรียนลักษณะนี้ได้จึงจะประสบความสำเร็จในการศึกษา
อนึ่งว่าภาษาอังกฤษนี้ก็เป็นเหมือนเช่นภาษาต่างด้าวอื่นๆ ที่ต้องขยันหมั่นฝึกฝนจึงจะเกิดเป็นความชำนาญในการใช้งาน จงอย่าได้ฝันหวานหรือมโนไปว่าเรียนที่มสธ.แล้วจะเก่งขั้นเทพขึ้นมาได้หลังจากสี่ปีผ่านไป ต่อให้สามารถสอบผ่านหมดทุกชุดวิชามาได้อย่างทุลักทุเล แต่ถ้าเจอฝรั่งมังฆ้องแล้วฟังไม่รู้เรื่องว่าเขากำลังพูดอไร ได้แต่ยืนอ้าปากค้างตอบกลับไม่ได้ ไม่สามารถแม้แต่เขียนจดหมายหรือเรียงความง่ายๆ ซักเื่รื่อง กระทั่งอ่านข่าวหรือบทความอะไรก็ไม่เข้าใจ คงไม่มีหน่วยงานอยากจะจ้างคุณไปทำงาน สุดท้ายใบปริญญาก็จะเป็นแค่เศษกระดาษหาคุณวิเศษอันใดไม่ได้ เมื่อคนที่ถือกระดาษแผ่นนี้ไร้ทักษะไม่สามารถสำแดงวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาให้เป็นที่ประจักษ์ได้
แสดงความคิดเห็น
ถามคนที่เรียนคณะศิลปศาสตร์ สาขาภาษาอังกฤษ มสธ. ว่ายากมั้ยครับ