ตอนนี้จะเห็นนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ให้สัมภาษณ์แบบติดอ่างตลอดเวลา เพราะเรื่องหลายๆได้ดำเนินมาถึงจุดที่เกินจะออกมาแก้ตัวแล้ว เอาเข้าจริงๆคือหาทางออกไม่ได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าครองชีพ ปัญหาการจัดการชายแดนใต้ จำนำข้าว ไม่ใช่แค่เรื่องของนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่นายกฯเล่นเก้าอี้ดนตรีเอาคนสนิทขึ้นมาทำหน้าที่แทน แต่พอตอนนี้ศาลปกครองมีคำสั่งให้คืนตำแหน่งให้นายถวิลเช่นเดิม นายกฯกลับยังไร้ภาวะผู้นำที่จะกล้าในการตัดสินใจคืนตำแหน่งหรือทำอะไรสักอย่าง แต่ให้สัมภาษณ์กลางอากาศโยนให้เป็นหน้าที่ที่ปรึกษาและเลขาฯตนเองอย่างไร้ศักดิ์ศรีนายกรัฐมนตรี
เป็นเพราะการแก้ปัญหาก่อนหน้านี้ในรอบสองปีที่ผ่านมาใช้แต่อำนาจในมือ ลืมคุณธรรมหรือธรรมาภิบาล สุดท้ายเรื่องก็กลับคืนสนองมาเป็นปัญหาไม่จบสิ้น ตัวอย่างก่อนหน้า “พนิตา กำภู ณ อยุธยา” ญาติพี่น้องส.ส.พรรคเพื่อไทยด้วยกันเองกโดนเด้งจากปลัดปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ไปนั่งตบยุงในสำนักนายกฯ พอแก้ปัญหาการเมืองในพรรคไม่ได้ล่าสุดโยกไปนั่งคร่อมเป็นปลัดกระทรววงศึกษาฯทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์
นี่ไม่ใช่รายแรกก่อนหน้า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี จากผบ.ตร.ก็โดนย้ายข้ามห้วยเช่นกัน และล่าสุด อภินันท์ จันทรังษี จากผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ไปเป็น อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ทั้งหมดล้วนมาจากบัญชาสำนักนายกฯทั้งสิ้น ใช่อยู่ท่านมีอำนาจแต่สิ่งที่ทำไปหากถูกต้องหรือแก้ปัญหาได้จริง คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ทบทวนให้ดีทั้งหมดล้วนมาจากการไม่รู้ประสา และขาดทักษะการบริหารรัฐ ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่าลืมว่าการก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยเป็นนักการเมืองหรือเกี่ยวข้องมาก่อนด้วยซ้ำไม่ต้องไต่ลำดับประสบการณ์งานสภา งานบริหารราชการ งานแก้ปัญหาปากท้อง งานมวลชน
ไม่เคยเลยสักด้าน
คำตอบที่เคยหลุดออกมาจากปากนายกฯ เพื่อสร้างเครดิตให้ตัวเองก่อนขึ้นอำนาจ กลับกลายเป็นการยอมรับว่าเป็นนอมีนี ของผู้เคยมีอำนาจพร้อมแพ็คเกจทีมที่ปรึกษา พอขึ้นบริหารประเทศเจ้าของเก้าอี้นายกฯตัวจริงก็ออกมาโฟนอินสั่งการได้อย่างเต็มที่ด้วยเพราะนายกฯยอมรับไปก่อนหน้านั้นแล้วว่าตนมาจากใครฝ่ายปฏิบัติหรือข้าราชการจึงต้องปฏิบัติ มิเช่นนั้นก็จะโดนเด้งโดนย้ายอย่างไร้สาเหตุแบบที่เกิดขึ้น เช่นนั้นแล้วเท่ากับว่าคนสั่งการไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ
วิกฤติการณ์เหล่านี้ส่วนหนึ่งยังเกิดจากพฤติกรรมลอยตัวเหนือปัญหาของนายกยิ่งลักษณ์ ที่มีอะไรมักโยนไปให้รองนายกฯหรือรัฐมนตรีเป็นผู้จัดการทั้งๆที่หลายอย่างย่อมเกิดจากการต้องบูรณาการปัญหาร่วมกัน อย่างเรื่องจำนำข้าวที่ต้องอาศัยทั้งกระทรวงเกษตร กระทรวงคลังและกระทรวงพาณิชย์ เรื่องโยกย้ายข้าราชการระดับสูงข้ามกระทรวง หรือแม้แต่เรื่องบริหารจัดการน้ำท่วม ที่ผ่านมาล้มเหลวทั้งหมดเพราะนายกลอยตัวเหนือปัญหา ขณะที่ข้าราชการและรัฐมนตรนีแต่ละกระทรวงต้องปกป้องรักษาผลประโยชน์หน่วยงานตนเองและมีอำนาจจำกัดเฉพาะในกรอบตน ทำให้ขาดเจ้าภาพจริงจัง แต่นายกฯคือผู้รับผิดชอบสูงสุดในฐานะหัวหน้ารัฐบาลกลับปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างไม่สนคำใครด้วยเพราะยึดว่าตนคือชินวัตร
นอกจากนี้การไปต่างประเทศบ่อย เรียกว่าอาจมากกว่า1ใน3ของเวลาบริหารราชการแผ่นดินเลยก็ว่าได้ ยอมรับว่าไม่แปลกที่จะมีคนเชิญไปต่างประเทศแต่คนที่เป็นระดับนายกรัฐมนตรีต้องมีดุลยพินิจที่ถูกที่ควร ต่อการเลือกงานที่จะไป เพราะการไปแบบบ่อยๆจะทำให้การแก้ปัญหาขาดๆเกินๆต่อไม่ติด จนหลายคนอาจบอกว่าเป็นเหมือนการเอาศรีษะซุกทราย ไม่ยอมรับว่าเศรษฐกิจประเทศมีปัญหา เพราะนายกเชื่อในแบบที่ตนเองรู้จากสิ่งที่คนรอบข้างเขียนสคริปบอก ไม่มีเวลาจะมานั่งนิ่งๆมีสตินั่งวิเคราะห์ปัญหาด้วยตนเองแบบที่คนที่เป็นผู้นำเบอร์1เขาต้องทำกัน
และการที่เชื่อแต่คนรอบข้างที่ล้วนหวงในอำนาจตนเอง จึงกลายเป็นการไม่ยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว สภาพจริงที่นายกทำจึงกลายเป็นทอดเวลาปล่อยปัญหาบานปลายจนกลายเป็นวิกฤติ จนล่าสุดมู้ดี้จ้องปรับลดระดับเครดิตประเทศจึงเพิ่งสะดุ้งรู้ตัวเมื่อมีเสียงเคาะประตูบอกจากต่างประเทศซึ่งวันนี้ย่อมสายไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งก้าว เพราะมู้ดี้ไม่ได้เตือนแค่นายกยิ่งลักษณ์แต่เตือนนักลงทุนทั่วโลกให้ระวังเศรษฐกิจอันมีปัญหาของไทย
ปัญหาใหญ่อันเป็นต้นตอของวงจรเศรษฐกิจพื้นฐานไทยที่ต่างประเทศยกขึ้นมาดิสเครดิตรประเทศคือนโยบายจำนำข้าวที่ล้มเหลวทั้งภายประเทศและการส่งออก หากแต่ล่าสุดนายกยันยืนกรานเสียงแข็งออกสื่อว่ายังดำเนินนโยบายนี้ต่อไป ยังคงดื้อดึงดันทุรังการจำนำข้าวทั้งที่ทุกฝ่ายชี้ว่าจะนำไปสู่หายนะความเสียหายอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาทแล้วตอนนี้
ปมของปัญหานี้นอกจากเรื่ององค์ความรู้นายกรัฐมนตรีแล้วยังอยู่ที่การเลือกใช้คน ที่ถูกวิจารณ์มาตลอดว่าเห็นแก่พวกพ้องที่ล้วนไร้ฝีมือ มาดูและเศรษฐกิจ แม้อาจมีคนเก่งในมืออยู่บ้างแต่ไม่นำคนเก่งมาทำงานทั้งที่นายกฯไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจเลย คนดีๆรอบตัวนายกจึงค่อยๆถอยหนีกันไปทีละคน
และเมื่อปัญหาบานปลายมาถึงจุดที่ต้องจัดการ กลับพบแต่คำแก้ตัวไม่พบการแก้ปัญหาอย่างจริงจังโดยเฉพาะปัญหาการทุจริตเหตุใดจึงปล่อยให้มีการทุจริตทั้งที่หลักฐานโจ่งแจ้ง
แม้กระทั่งคนในรัฐบาลเองอย่าง อดีตประธานคณะกรรมการผันน้ำลงทะเลทางฝั่งตะวันออก ศูนย์ ศปภ.ยังอดรนทนไม่ได้ ได้เข้ายื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนทีโออาร์โครงการ บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ในแผนงาน (โมดูล) เอ 5 ที่นายกมอบนายปลอดประสพดูแลงบทั้งก้อน นอกจากนายกจะเมินคำท้วงติงแล้วยังปล่อยให้รองนายกฯปลอดประสพ สุรัสวดี ไปขึ้นเวทีบอกว่า ภาคประชาชนเป็น “ขยะ” ในการประชุมเรื่องน้ำโลกที่จังหวัดเชียงใหม่ จนกลุ่มเอ็นจีโอต่างๆเตรียมออกมาเดินขบวนประท้วงคำพูดส่อพฤติกรรมและการตัดสินใจนโยบายของรองนายกฯที่กำลังย้อนศรไปถึงนายกในเวลาอันใกล้นี้
เมื่อผู้นำมีประสบการณ์ความรู้จำกัด ไร้ศักดิ์ศรียอมรับเป็นนอมีนี ไม่มีความกล้าทำในสิ่งถูกต้อง ละเลยธรรมาภิบาลบริหารงานคน รอบๆตัวจึงเต็มไปด้วยคนหิวอำนาจ หิวเงิน หิวโครงการ จัดที่หาส่วนต่างง่าย ประชาชนย่อมได้รับประโยชน์น้อยและไม่ยั่งยืน
"คนผู้หนึ่งหากยอมรับว่าเป็นสุนัขตัวหนึ่ง ผู้อื่นไฉนยังยึดถือมันเป็นผู้คน"
(โกวเล้ง จากหลั่งเลือดสะท้านภพ)
ที่มา:
http://www.naewna.com/politic/columnist/7032
ปล.นี่แหล่ะครับ ผลของประชานิยม...ประชาชนรับกรรม...เอิ๊ก ๆ ๆ
วิกฤติที่นายกฯปูสร้างเองกับมือ!
เป็นเพราะการแก้ปัญหาก่อนหน้านี้ในรอบสองปีที่ผ่านมาใช้แต่อำนาจในมือ ลืมคุณธรรมหรือธรรมาภิบาล สุดท้ายเรื่องก็กลับคืนสนองมาเป็นปัญหาไม่จบสิ้น ตัวอย่างก่อนหน้า “พนิตา กำภู ณ อยุธยา” ญาติพี่น้องส.ส.พรรคเพื่อไทยด้วยกันเองกโดนเด้งจากปลัดปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)ไปนั่งตบยุงในสำนักนายกฯ พอแก้ปัญหาการเมืองในพรรคไม่ได้ล่าสุดโยกไปนั่งคร่อมเป็นปลัดกระทรววงศึกษาฯทั้งที่ไม่เคยมีประสบการณ์
นี่ไม่ใช่รายแรกก่อนหน้า พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี จากผบ.ตร.ก็โดนย้ายข้ามห้วยเช่นกัน และล่าสุด อภินันท์ จันทรังษี จากผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ไปเป็น อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ทั้งหมดล้วนมาจากบัญชาสำนักนายกฯทั้งสิ้น ใช่อยู่ท่านมีอำนาจแต่สิ่งที่ทำไปหากถูกต้องหรือแก้ปัญหาได้จริง คงไม่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้
ทบทวนให้ดีทั้งหมดล้วนมาจากการไม่รู้ประสา และขาดทักษะการบริหารรัฐ ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่าลืมว่าการก้าวสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีครั้งนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ไม่เคยเป็นนักการเมืองหรือเกี่ยวข้องมาก่อนด้วยซ้ำไม่ต้องไต่ลำดับประสบการณ์งานสภา งานบริหารราชการ งานแก้ปัญหาปากท้อง งานมวลชน
ไม่เคยเลยสักด้าน
คำตอบที่เคยหลุดออกมาจากปากนายกฯ เพื่อสร้างเครดิตให้ตัวเองก่อนขึ้นอำนาจ กลับกลายเป็นการยอมรับว่าเป็นนอมีนี ของผู้เคยมีอำนาจพร้อมแพ็คเกจทีมที่ปรึกษา พอขึ้นบริหารประเทศเจ้าของเก้าอี้นายกฯตัวจริงก็ออกมาโฟนอินสั่งการได้อย่างเต็มที่ด้วยเพราะนายกฯยอมรับไปก่อนหน้านั้นแล้วว่าตนมาจากใครฝ่ายปฏิบัติหรือข้าราชการจึงต้องปฏิบัติ มิเช่นนั้นก็จะโดนเด้งโดนย้ายอย่างไร้สาเหตุแบบที่เกิดขึ้น เช่นนั้นแล้วเท่ากับว่าคนสั่งการไม่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายใดๆ
วิกฤติการณ์เหล่านี้ส่วนหนึ่งยังเกิดจากพฤติกรรมลอยตัวเหนือปัญหาของนายกยิ่งลักษณ์ ที่มีอะไรมักโยนไปให้รองนายกฯหรือรัฐมนตรีเป็นผู้จัดการทั้งๆที่หลายอย่างย่อมเกิดจากการต้องบูรณาการปัญหาร่วมกัน อย่างเรื่องจำนำข้าวที่ต้องอาศัยทั้งกระทรวงเกษตร กระทรวงคลังและกระทรวงพาณิชย์ เรื่องโยกย้ายข้าราชการระดับสูงข้ามกระทรวง หรือแม้แต่เรื่องบริหารจัดการน้ำท่วม ที่ผ่านมาล้มเหลวทั้งหมดเพราะนายกลอยตัวเหนือปัญหา ขณะที่ข้าราชการและรัฐมนตรนีแต่ละกระทรวงต้องปกป้องรักษาผลประโยชน์หน่วยงานตนเองและมีอำนาจจำกัดเฉพาะในกรอบตน ทำให้ขาดเจ้าภาพจริงจัง แต่นายกฯคือผู้รับผิดชอบสูงสุดในฐานะหัวหน้ารัฐบาลกลับปฏิเสธความรับผิดชอบอย่างไม่สนคำใครด้วยเพราะยึดว่าตนคือชินวัตร
นอกจากนี้การไปต่างประเทศบ่อย เรียกว่าอาจมากกว่า1ใน3ของเวลาบริหารราชการแผ่นดินเลยก็ว่าได้ ยอมรับว่าไม่แปลกที่จะมีคนเชิญไปต่างประเทศแต่คนที่เป็นระดับนายกรัฐมนตรีต้องมีดุลยพินิจที่ถูกที่ควร ต่อการเลือกงานที่จะไป เพราะการไปแบบบ่อยๆจะทำให้การแก้ปัญหาขาดๆเกินๆต่อไม่ติด จนหลายคนอาจบอกว่าเป็นเหมือนการเอาศรีษะซุกทราย ไม่ยอมรับว่าเศรษฐกิจประเทศมีปัญหา เพราะนายกเชื่อในแบบที่ตนเองรู้จากสิ่งที่คนรอบข้างเขียนสคริปบอก ไม่มีเวลาจะมานั่งนิ่งๆมีสตินั่งวิเคราะห์ปัญหาด้วยตนเองแบบที่คนที่เป็นผู้นำเบอร์1เขาต้องทำกัน
และการที่เชื่อแต่คนรอบข้างที่ล้วนหวงในอำนาจตนเอง จึงกลายเป็นการไม่ยอมรับว่ามีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว สภาพจริงที่นายกทำจึงกลายเป็นทอดเวลาปล่อยปัญหาบานปลายจนกลายเป็นวิกฤติ จนล่าสุดมู้ดี้จ้องปรับลดระดับเครดิตประเทศจึงเพิ่งสะดุ้งรู้ตัวเมื่อมีเสียงเคาะประตูบอกจากต่างประเทศซึ่งวันนี้ย่อมสายไปแล้วอย่างน้อยหนึ่งก้าว เพราะมู้ดี้ไม่ได้เตือนแค่นายกยิ่งลักษณ์แต่เตือนนักลงทุนทั่วโลกให้ระวังเศรษฐกิจอันมีปัญหาของไทย
ปัญหาใหญ่อันเป็นต้นตอของวงจรเศรษฐกิจพื้นฐานไทยที่ต่างประเทศยกขึ้นมาดิสเครดิตรประเทศคือนโยบายจำนำข้าวที่ล้มเหลวทั้งภายประเทศและการส่งออก หากแต่ล่าสุดนายกยันยืนกรานเสียงแข็งออกสื่อว่ายังดำเนินนโยบายนี้ต่อไป ยังคงดื้อดึงดันทุรังการจำนำข้าวทั้งที่ทุกฝ่ายชี้ว่าจะนำไปสู่หายนะความเสียหายอยู่ที่ 2.6 แสนล้านบาทแล้วตอนนี้
ปมของปัญหานี้นอกจากเรื่ององค์ความรู้นายกรัฐมนตรีแล้วยังอยู่ที่การเลือกใช้คน ที่ถูกวิจารณ์มาตลอดว่าเห็นแก่พวกพ้องที่ล้วนไร้ฝีมือ มาดูและเศรษฐกิจ แม้อาจมีคนเก่งในมืออยู่บ้างแต่ไม่นำคนเก่งมาทำงานทั้งที่นายกฯไม่รู้เรื่องเศรษฐกิจเลย คนดีๆรอบตัวนายกจึงค่อยๆถอยหนีกันไปทีละคน
และเมื่อปัญหาบานปลายมาถึงจุดที่ต้องจัดการ กลับพบแต่คำแก้ตัวไม่พบการแก้ปัญหาอย่างจริงจังโดยเฉพาะปัญหาการทุจริตเหตุใดจึงปล่อยให้มีการทุจริตทั้งที่หลักฐานโจ่งแจ้ง
แม้กระทั่งคนในรัฐบาลเองอย่าง อดีตประธานคณะกรรมการผันน้ำลงทะเลทางฝั่งตะวันออก ศูนย์ ศปภ.ยังอดรนทนไม่ได้ ได้เข้ายื่นหนังสือถึง นายกรัฐมนตรี ให้ทบทวนทีโออาร์โครงการ บริหารจัดการน้ำ 3.5 แสนล้านบาท ในแผนงาน (โมดูล) เอ 5 ที่นายกมอบนายปลอดประสพดูแลงบทั้งก้อน นอกจากนายกจะเมินคำท้วงติงแล้วยังปล่อยให้รองนายกฯปลอดประสพ สุรัสวดี ไปขึ้นเวทีบอกว่า ภาคประชาชนเป็น “ขยะ” ในการประชุมเรื่องน้ำโลกที่จังหวัดเชียงใหม่ จนกลุ่มเอ็นจีโอต่างๆเตรียมออกมาเดินขบวนประท้วงคำพูดส่อพฤติกรรมและการตัดสินใจนโยบายของรองนายกฯที่กำลังย้อนศรไปถึงนายกในเวลาอันใกล้นี้
เมื่อผู้นำมีประสบการณ์ความรู้จำกัด ไร้ศักดิ์ศรียอมรับเป็นนอมีนี ไม่มีความกล้าทำในสิ่งถูกต้อง ละเลยธรรมาภิบาลบริหารงานคน รอบๆตัวจึงเต็มไปด้วยคนหิวอำนาจ หิวเงิน หิวโครงการ จัดที่หาส่วนต่างง่าย ประชาชนย่อมได้รับประโยชน์น้อยและไม่ยั่งยืน
"คนผู้หนึ่งหากยอมรับว่าเป็นสุนัขตัวหนึ่ง ผู้อื่นไฉนยังยึดถือมันเป็นผู้คน"
(โกวเล้ง จากหลั่งเลือดสะท้านภพ)
ที่มา:http://www.naewna.com/politic/columnist/7032
ปล.นี่แหล่ะครับ ผลของประชานิยม...ประชาชนรับกรรม...เอิ๊ก ๆ ๆ