คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 2
ท่าทางคุณยังมีอะไรเข้าใจผิดอยู่มาก เกี่ยวกับการศึกษาในหลักสูตรบัณฑิตศึกษาของคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ
การจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรบัณฑิตศึกษา ของคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ทุกหลักสูตรเป็นโครงการพิเศษหมด (รวมถึงหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายการเงินและภาษีอากร ที่คุณอยากเข้าด้วย) ไม่มีหลักสูตรใดเป็นหลักสูตรภาคปกติเลย ดังนั้น คุณจึงต้องจ่ายค่าเทอมแพงมากให้กับจุฬาฯ และคณะ(หลักสูตรภาคพิเศษของคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ คุณจะต้องจ่ายเงินค่าเทอมสองก้อน ก้อนนึงให้กับจุฬาฯ และอีกก้อนให้กับคณะนิติศาสตร์ และต้องจ่ายสองก้อนแบบเหมาจ่ายแยกกันทุกเทอมจนกว่าจะเรียนจบ ในขณะที่ถ้าเป็นหลักสูตรภาคปรกติของจุฬาฯจริงๆ จะจัดการเรียนการสอนในวันและเวลาราชการ และจ่ายเงินค่าเทอมแค่ก้อนเดียวให้กับจุฬาฯ) แต่ละหลักสูตร ค่าเทอมก็แตกต่างกันด้วย แล้วแต่ว่าหลักสูตรใดจะแพงมากหรือแพงน้อยกว่ากัน
ดังนั้น ค่าเทอมไม่ถูกนะครับ สำหรับ น.ม. จากจุฬาฯ ยิ่ง หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายการเงินและภาษีอากร นี่ค่าเทอม 23,000+35,000 = 58,000 คือ คุณต้องจ่ายเทอมละห้าหมื่นแปด ทุกเทอม จนกว่าจะเรียนจบ ช่วงเขียนวิทยานิพนธ์ ก็ต้องจ่ายเต็มห้าหมื่นแปด ยิ่งเขียนวิทยานิพนธ์เสร็จช้า งบประมาณก็จะยิ่งบานปลายไปเรื่อยๆ ลองตีไปว่าคุณใช้เวลาเรียนสี่ปี แปดเทอม จบ ห้าหมื่นแปดคูณ แปด เท่ากับ 464,000 บาท ก็ลองคิดดูแล้วกันว่าถ้าเทียบกับเอแบค ที่ไหนราคาถูกกว่ากัน
ส่วนเนติ เอาไว้สำหรับใช้สอบผู้ช่วย กับอัยการ ถ้าไม่ได้อยากทำสองอาชีพนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปสอบเนติ
ส่วนตัวถ้าคุณเน้น การเรียนเป็นภาษาไทย กับค่าเทอมถูก ผมอยากแนะนำให้ไปต่อ น.ม.(กฎหมายภาษี) ของธรรมศาสตร์มากกว่า น.ม.ของธรรมศาสตร์ก็มีลักษณะการจัดเก็บเงินแบบโครงการพิเศษเหมือนกัน แต่ค่าเทอมถูกกว่าจุฬาฯมาก แต่ น.ม.(กฎหมายภาษี) ของธรรมศาสตร์นี่ก็ไม่ได้เรียนง่ายเลยนะครับ คือ ส่วนตัวผมคิดว่าเรียนจบง่ายจบยากเนี่ยไม่ใช่เรื่องของภาษาเลยนะครับ ถ้าหัวไม่ถึง ต่อให้เรียนเป็นภาษาไทยก็จบยากอยู่ดีครับ
การจัดการเรียนการสอนในหลักสูตรบัณฑิตศึกษา ของคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ ทุกหลักสูตรเป็นโครงการพิเศษหมด (รวมถึงหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายการเงินและภาษีอากร ที่คุณอยากเข้าด้วย) ไม่มีหลักสูตรใดเป็นหลักสูตรภาคปกติเลย ดังนั้น คุณจึงต้องจ่ายค่าเทอมแพงมากให้กับจุฬาฯ และคณะ(หลักสูตรภาคพิเศษของคณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ คุณจะต้องจ่ายเงินค่าเทอมสองก้อน ก้อนนึงให้กับจุฬาฯ และอีกก้อนให้กับคณะนิติศาสตร์ และต้องจ่ายสองก้อนแบบเหมาจ่ายแยกกันทุกเทอมจนกว่าจะเรียนจบ ในขณะที่ถ้าเป็นหลักสูตรภาคปรกติของจุฬาฯจริงๆ จะจัดการเรียนการสอนในวันและเวลาราชการ และจ่ายเงินค่าเทอมแค่ก้อนเดียวให้กับจุฬาฯ) แต่ละหลักสูตร ค่าเทอมก็แตกต่างกันด้วย แล้วแต่ว่าหลักสูตรใดจะแพงมากหรือแพงน้อยกว่ากัน
ดังนั้น ค่าเทอมไม่ถูกนะครับ สำหรับ น.ม. จากจุฬาฯ ยิ่ง หลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชากฎหมายการเงินและภาษีอากร นี่ค่าเทอม 23,000+35,000 = 58,000 คือ คุณต้องจ่ายเทอมละห้าหมื่นแปด ทุกเทอม จนกว่าจะเรียนจบ ช่วงเขียนวิทยานิพนธ์ ก็ต้องจ่ายเต็มห้าหมื่นแปด ยิ่งเขียนวิทยานิพนธ์เสร็จช้า งบประมาณก็จะยิ่งบานปลายไปเรื่อยๆ ลองตีไปว่าคุณใช้เวลาเรียนสี่ปี แปดเทอม จบ ห้าหมื่นแปดคูณ แปด เท่ากับ 464,000 บาท ก็ลองคิดดูแล้วกันว่าถ้าเทียบกับเอแบค ที่ไหนราคาถูกกว่ากัน
ส่วนเนติ เอาไว้สำหรับใช้สอบผู้ช่วย กับอัยการ ถ้าไม่ได้อยากทำสองอาชีพนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปสอบเนติ
ส่วนตัวถ้าคุณเน้น การเรียนเป็นภาษาไทย กับค่าเทอมถูก ผมอยากแนะนำให้ไปต่อ น.ม.(กฎหมายภาษี) ของธรรมศาสตร์มากกว่า น.ม.ของธรรมศาสตร์ก็มีลักษณะการจัดเก็บเงินแบบโครงการพิเศษเหมือนกัน แต่ค่าเทอมถูกกว่าจุฬาฯมาก แต่ น.ม.(กฎหมายภาษี) ของธรรมศาสตร์นี่ก็ไม่ได้เรียนง่ายเลยนะครับ คือ ส่วนตัวผมคิดว่าเรียนจบง่ายจบยากเนี่ยไม่ใช่เรื่องของภาษาเลยนะครับ ถ้าหัวไม่ถึง ต่อให้เรียนเป็นภาษาไทยก็จบยากอยู่ดีครับ
แสดงความคิดเห็น
ต่อโทนิติ ภาษีที่ไหนดีครับ ระหว่าง...
โดยความเห็นส่วนตัวผมนะครับ
1. จุฬาย่อมได้เครดิตดีกว่าแน่นอนได้ด้านการทำงาน ในสำนักงานบางแห่ง และเป็นภาคภาษาไทยซึ่งน่าจะเรียนได้ง่ายกว่าภาคอังกฤษ
ซึ่งบางแห่งก็ดูถูกมหาวิทยาลัยเอกชน ซึ่งผมสนใจเรียนจุฬาเพราะชื่อเสียงและด้านเครดิตและค่าเทอมถูกเป็นหลัก
(เนื่องจากจบมาต้องทำงาน ด้านผมจึงคำนึงถึงเรื่องเครดิตในการสมัครงาน การทำงานด้วย)
2. ABAC ผมจบABACมา ผมคิดว่าผมได้อะไรมาจากที่นี่ค่อนข้างเยอะ การเรียนโทภาษีABAC เป็นการเรียนภาคอินเตอร์ ซึ่งค่าเทอมก็ค่อนข้างแพง และปัญหาอีกอย่างคือเรื่องภาษาที่สอนเป็นภาษาอังกฤษล้วน การทำIS หรือ Thesis ต้องทำเป็นภาษาอังกฤษ ผมอยากเรียนที่นี่เพราะเป็นในเรื่องของความรู้ซึ่งได้ทั้งด้านภาษา(ถ้าตัวเองเรียนไหว) เป็นข้อได้เปรียบหลัก และเห็นทางคณะบอกว่าอาจารย์ที่มาสอน ส่วนใหญ่มาจาก Lawfirm
คือถ้าจะเข้าจุฬาก็ต้องสอบเข้า ถ้าเข้าไม่ได้ก็เข้าABACอยู่ดี เพราะผมไม่อยากเสียเวลามาคอยสอบใหม่ ถ้าถามว่าทำไมไม่เรียนเน ผมคงตอบว่าเส้นทางผมอยากไปทางนี้มากกว่า เนเอาไว้ทีหลังดีกว่า
ใจอยากจะเข้าจุฬาเพราะ หลักสูตรไทยและค่าเทอมที่ถูกกว่า แต่อีกใจก็อยากจะเข้าABAC เพราะหลักสูตรInter ตัดสินใจไม่ถูกครับ
(ผมได้ข้อมูลจากABAC มาเพียงด้านเดียวด้วย ข้อมูลทางโทภาษีจุฬาแทบจะไม่มี)
ไม่ได้มาขอคำตอบครับ แต่อยากได้คำแนะนำให้เก็บไปคิด หรือเป็นส่วนในการประกอบการตัดสินใจครับ
ยังไงรบกวนแนะนำด้วยครับ
ขอบคุณครับ