<<=== [ ความรู้ ] ระบบของเหลวในรถมือสอง ===>>

กระทู้สนทนา
รถมือสอง ก่อนเริ่มต้นใช้งาน

           ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจซื้อรถมือสอง ท่านจะต้องเตรียมงบส่วนหนึ่งไว้ซ่อมบำรุงรักษารถมือสอง  ก่อนและระหว่างใช้งาน เช่น เปลี่ยนยางรถยนต์ เปลี่ยนแบตเตอรี่ เปลี่ยนคอมเพรสเซอร์แอร์ เปลี่ยนไดชาร์จ ไดสตาร์ด เปลี่ยนสายไฟฟ้าห้องเครื่อง เปลี่ยนระบบสายพานและที่จะขาดไม่ได้กับการเริ่มต้นใหม่ ระบบของเหลวในรถมือสอง

          ทำไม? ต้องเริ่มต้นใหม่กับระบบของเหลวในรถมือสอง เพราะของเหลวทุกอย่างในรถมือสองมีกำหนดอายุการใช้งาน แต่...ถ้าเราสามารถพิสูจน์อายุการใช้งานที่ผ่านมาแล้วได้ ก็ไม่จำเป็นต้องเริ่มต้นใหม่ครับ ก่อนอื่น ต้องทราบพื้นฐานกันก่อน ของเหลวในรถมือสอง มีอะไรบ้าง? และแต่ละอย่างมีหน้าที่อย่างไร? กำหนดอายุการใช้งานเท่าไร? เพื่อที่เราสามารถใช้และเปลี่ยนของเหลวในรถมือสองได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม

          · น้ำมันเครื่อง
          ควรตรวจสอบอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง การวัดระดับน้ำมันเครื่อง ต้องทำหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วทิ้งไว้มากกว่า 5 นาที การตรวจสอบควรทำบนพื้นราบ จากนั้นจึงดึงก้านวัดระดับออกมา เช็ดคราบที่ติดออกมาด้วยผ้าหรือกระดาษที่ไม่เป็นขุย ก่อนเสียบเข้าไปจนสุดแล้วดึงออกมาดูอีกครั้งก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องของรถยนต์ส่วนใหญ่ แบ่งเป็น 2 ระดับ คือ MIN – ต่ำสุด และ MAX – สูงสุด ระดับของน้ำมันเครื่องบนก้านวัด ควรอยู่ระหว่าง 2 จุดนี้ไม่สูงหรือต่ำกว่า หากว่าต่ำจนเกิน MIN เครื่องยนต์อาจมีการสึกหรอเพิ่มขึ้น เพราะน้ำมันเครื่องในอ่างเก็บมีน้อยมาก แต่ถ้าสูงเกิน MAX ก็หน่วงกำลังเครื่องยนต์ เพราะถ้ามีน้ำมันเครื่องในอ่างเก็บมากเกินไป ข้อเหวี่ยงอาจตีไปโดนและกระเด็นเข้าสู่ห้องเผาไหม้ จนทำให้เกิดควันขาวการเติมน้ำมันเครื่องควรค่อย ๆ เติม
          เมื่อเติมเสร็จแล้วให้ปิดฝาเติมน้ำมันเครื่อง จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อให้น้ำมันเครื่องมีการ ไหลเวียน และดับเครื่องยนต์ แล้วรอให้น้ำมันเครื่องไหลลงไปที่อ่างน้ำมันเครื่องก่อน อาจเสียเวลาเล็กน้อย แต่ได้ระดับน้ำมันเครื่องที่ถูกต้องหากขับผ่านบริเวณที่มีน้ำท่วมสูง ควรตรวจสอบว่ามีน้ำเข้ามาปะปนกับน้ำมันเครื่องหรือไม่ ถ้ามีน้ำมันเครื่องจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลเหมือนกาแฟใส่นม ให้รีบเปลี่ยนทันที

          · น้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์
          หมั่นตรวจสอบและเติมให้เต็มเสมอทุก 1 สัปดาห์ ปกติแล้วน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์จะลดระดับลงช้ามาก 1 เดือนแทบไม่ยุบลงเลย ถ้าลดลงเร็วมากเมื่อไร ให้สันนิษฐานว่ามีการรั่วซึม ต้องตรวจสอบและซ่อมแซม แม้ไม่มีกำหนดการเปลี่ยน แต่ถ้าเปลี่ยนทุก 1-2 ปี ก็จะทำให้ระบบพวงมาลัยเพาเวอร์ทนทานขึ้น มีวิธีเปลี่ยน 2 แบบ คือ เปลี่ยนเองง่ายๆ โดยดูดน้ำมันเก่าออกให้หมดแล้วเติมน้ำมันใหม่ลงไปให้ เต็ม ติดเครื่องยนต์สักพัก แล้วดูดออกทิ้ง แล้วเติมใหม่ ทำซ้ำสัก 5 ครั้ง เปลืองน้ำมันเพาเวอร์หน่อยแต่ทำเองได้แม้ไม่ค่อยหมดจดนักก็ตาม อีกวิธีคือใช้เครื่องมือพิเศษดูดออก ในเมืองไทยพอมีให้บริการตามร้านใหญ่ๆ บ้างแล้ว ราคาแพงหน่อยแต่หมดจด ถ้าผ่านการลุยน้ำแล้วมีน้ำแทรกซึมเข้าไปในน้ำมันพวงมาลัยเพาเวอร์ ให้รีบเปลี่ยนออก เพราะอาจเกิดความเสียหายได้ไม่ควรเติมน้ำมันพวงมาลัย เพาเวอร์ต่างรุ่นหรือต่างยี่ห้อผสมกันโดยไม่จำเป็น

          · น้ำมันเบรก
          น้ำมันเบรกก็มีอายุการใช้งานแม้มีการพร่องลงน้อยมาก แต่ก็จำเป็นต้องเปลี่ยนตามกำหนดเวลา เพื่อควบคุมจุดเดือดและไล่ความชื้น ที่อาจทำให้เกิดสนิมในระบบเบรกควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกทุก 1-1 ปีครึ่ง แม้ทั้งระบบยังเป็นปกติและไม่มีการรั่วซึม เพราะน้ำมันเบรกต้องทำงานภายใต้สภาวะความร้อนตลอดเวลาน้ำมันเบรกมีจุดเดือดและจุดเดือดชื้นในตัวเอง ตามการแบ่งระดับด้วยตัวย่อ DOT แล้วตามด้วยตัวเลข เช่น 3, 4 หรือ 5 ยิ่ง DOT เลขสูงก็จะมีจุดเดือดสูง รถยนต์ทั่วไปใช้ DOT 3-4 ไม่มีความจำเป็นต้องข้ามไปใช้ DOT 5 หากไม่ใช่รถแข่งหรือจานเบรกร้อนมากๆ ในรถยนต์พลังแรง
          น้ำมันเบรกจะมีจุดเดือดต่ำลง เมื่อมีความชื้นในอากาศหรือน้ำจากการลุยน้ำแทรกตัวเข้าไปผสมกับน้ำมันเบรก และอาจทำให้เกิดสนิมในระบบเบรก จนกระบอกเบรกหรือลูกยางเบรกเสียหาย การไล่น้ำมันเบรกไม่ยุ่งยากมากนัก เพียงดูดน้ำมันเบรกเดิมออกให้หมดกระปุก เติมน้ำมันเบรกใหม่เข้าไปสักครึ่งกระปุก ไล่น้ำมันเบรกในแต่ละล้อออก พร้อมเติมน้ำมันเบรกเพิ่มอย่าให้หมด ทำจนกว่าน้ำมันเบรกเดิมถูกไล่ออกจนหมด และมีน้ำมันเบรกใหม่ใสๆ ไหลออกมา
          หากมีเอบีเอสให้ถอดฟิวส์เอบีเอสออกก่อนไล่ลมและไล่น้ำมันเบรก หรืออาจต้องใช้เครื่องมือพิเศษ สำหรับเอบีเอสในรถยนต์ บางรุ่น ซึ่งไม่ยุ่งยากนัก และค่าใช้จ่ายรวมไม่น่าเกิน 500-1,000 บาท เพียงปีละ 1 ครั้ง เพื่อความปลอดภัยในการขับและยืดอายุลูกยางเบรกหากน้ำมันเบรกพร่องลงไป ไม่ควรเติมผสมข้ามยี่ห้อหรือข้ามรุ่น เพราะน้ำมันเบรกอาจทำปฏิกิริยาทางลบเมื่อผสมกัน แต่ถ้าจำเป็นจริงๆ ก็พอจะใช้ได้ชั่วคราว และควรถ่ายทิ้งหลังพ้นความจำเป็นไปแล้ว ปกติน้ำมันเบรกจะลดระดับลงช้ามาก 1 เดือนแทบไม่ยุบลงเลย ถ้าลดลงเร็วมากเมื่อไร ให้สันนิษฐานว่ามีการรั่วซึม ต้องตรวจสอบและซ่อมแซม

          · น้ำมันเกียร์ & น้ำมันเฟืองท้าย
          การเสื่อมสภาพได้ตามระยะทางและเวลา มีอายุการใช้งานประมาณ 20,000-30,000 กิโลเมตร หรือ 1 ปีเมื่อครบ 1 ปีแล้ว แต่ยังใช้งานไม่ครบตามระยะทางที่กำหนดก็ควรเปลี่ยน เพราะความชื้นหรือความร้อนในระหว่างการใช้งานก็ทำให้ เสื่อมสภาพได้หลังการขับรถยนต์ลุยน้ำก็ควรเปลี่ยน แม้ยังไม่ถึงระยะกำหนดที่หมดอายุก็ตาม เพราะน้ำอาจแทรกซึมเข้าไปผสมกับน้ำมันจนเสื่อมสภาพได้
          รถยนต์ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าซึ่งมีชุดเกียร์รวมกับชุดเฟืองท้าย มักใช้น้ำมันหล่อลื่นร่วมกัน ส่วนรถยนต์ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง ส่วนใหญ่มีชุดเกียร์แยกกับชุดเฟืองท้าย อาจใช้น้ำมันหล่อลื่นเหมือนหรือต่างชนิดกัน ต้องเลือกใช้ตามกำหนดในคู่มืออย่างเคร่งครัดรถยนต์บางรุ่นมีรายละเอียดมาก เช่น มิตซูบิชิ อีโวลูชั่นโฟร์ เฉพาะชุดเฟืองท้ายของล้อหลังแบ่งเป็น 3 ห้อง ใช้น้ำมันหล่อลื่นต่างกัน 3 ชนิด คือ น้ำมันเด็กซ์รอน ทู-ทรี น้ำมันลิมิเต็ดสลิป และน้ำมันพิเศษของมิตซูบิชิ เอวายซี ห้ามเติมสลับกันเด็ดขาด เพราะจะทำให้ชุดเฟืองท้ายเสียหาย
          หากใช้น้ำมันเกียร์หรือน้ำมันเฟืองท้ายแบบสังเคราะห์ เพื่อการหล่อลื่นอย่างเหนือชั้น แม้โดยพื้นฐานมีอายุและระยะทางในการใช้งานมากกว่าน้ำ มันเกียร์หรือน้ำมันเฟืองท้ายแบบธรรมดา คล้ายกรณีของน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ที่ทนทานกว่า แต่ในการใช้งานจริงไม่ควรยืดระยะออกมาก ควรยึดกำหนดเดิมไว้ เพราะระยะเดิม 20,000-30,000 กิโลเมตรก็มากพอสมควรแล้ว และแม้จะยืดระยะทางออกไปก็มักเกินกำหนดเวลา 1 ปีอยู่ดี เพราะเมืองไทยมีฝนตกหนักและน้ำท่วมทุกปี ดังนั้นยึดตามกำหนดปกติไว้ดีกว่า เพราะค่าใช้จ่ายในการซ่อม-เปลี่ยนเกียร์หรือเฟืองท้ายไม่ใช่ถูกๆ เลย
          การตรวจวัดระดับน้ำมันเกียร์หรือเฟืองท้าย หากมีก้านวัดระดับอย่าหลงลืม เพราะอาจสร้างความเสียหายได้ในระยะสั้น ศึกษาให้ดีว่าตามคู่มือกำหนดให้วัดด้วยวิธีไหน ขณะดับเครื่องยนต์หรือติดเครื่องยนต์ หากไม่มีก้านวัดระดับ ควรหมั่นสังเกตการรั่วซึมหรือหยดน้ำมันอยู่เสมอ

          · น้ำมันคลัตช์
ส่วนใหญ่ใช้ชนิดเดียวกันกับน้ำมันเบรก ควรตรวจสอบน้ำมันในกระปุกทุกสัปดาห์ ถ้าพร่อง ควรเติมน้ำมันชนิดและยี่ห้อเดียวกับน้ำมันเดิมที่อยู่ในกระปุก และควรเปลี่ยนถ่ายทุก 1-1 ปีครึ่ง ทำโดยการไล่ทิ้งเหมือนน้ำมันเบรก

          · น้ำหม้อน้ำ
          ควรเติมน้ำยาป้องกันความร้อน ซึ่งอาจมีผลด้านการช่วยระบายความร้อนไม่มาก แต่ช่วยป้องกันสนิมได้อีกทางหนึ่งอัตราส่วนการเติมน้ำยาป้องกันความร้อนในรถยนต์แต่ละรุ่นไม่เท่ากัน บางรุ่นห้ามเติมล้วนๆ บางรุ่นกำหนดให้เติมล้วนๆ ต้องศึกษาจากคู่มือหรือสอบถามฝ่ายเทคนิคของบริษัทรถยนต์ แล้วปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
          เครื่องยนต์ที่ใช้อะลูมินั่มทั้งบล็อกเสื้อสูบและฝาสูบ จำเป็นต้องผสมน้ำยาพิเศษที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันการกัดกร่อนของอะลูมินั่ม ซึ่งจะมีผลต่อการระบายความร้อน และอาจสร้างความเสียหายให้กับเครื่องยนต์เมื่ออะลูมินั่มกร่อนมากๆ น้ำที่ใช้ผสมเติมหม้อน้ำควรใช้น้ำกรอง เพราะน้ำประปาหรือน้ำบาดาลอาจทำให้เกิดตะกอนขึ้นได้ หมั่นตรวจสอบระดับน้ำหม้อน้ำทุก 2-5 วัน โดยปกติไม่ควรลดระดับลงเร็วมากเกินสัปดาห์ละครึ่งลิตร ควรล้างหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำทุก 6-9 เดือน และควรระวังน้ำยาล้างบางชนิดที่อาจกัดกร่อนซีลยางต่างๆ ได้

          · น้ำฉีดกระจก
          หมั่นเติมให้เต็ม เพราะมีโอกาสได้ใช้ตลอดเวลา และควรผสมน้ำยาทำความสะอาดไว้ด้วย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำความสะอาด และควรปรับทิศทางของหัวฉีดน้ำ ให้ฉีดลงบนกระจกหน้าอย่างทั่วถึง

          · น้ำกลั่นแบตเตอรี่
          ควรตรวจสอบระดับน้ำกลั่นทุกสัปดาห์ โดยมองที่ด้านข้างของตัวแบตเตอรี่ที่มักมีขีดวัดระดับ MIN และMAX หรือมองผ่านช่องเติมน้ำกลั่น โดยระดับน้ำกลั่นที่เหมาะสมควรท่วมแผ่นธาตุเล็กน้อย หากพบว่าระดับน้ำลดลง ไม่ควรใช้น้ำอื่นเติม เพราะอาจทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสั้นลง
          แบตเตอรี่ลูกที่ติดมากับรถยนต์จากโรงงาน มักมีอายุการใช้งานยาวนาน อาจใช้ได้ถึง 3 ปี เพราะระบบการชาร์จไฟของรถยนต์ยังมีสภาพสมบูรณ์ เมื่อเปลี่ยนเป็นแบตเตอรี่ลูกที่ 2 ระบบการชาร์จไฟเริ่มเสื่อมสภาพลง ทำให้แบตเตอรี่มีอายุการใช้งานสั้นลงด้วย โดยเฉลี่ยประมาณ 2 ปี แม้ยังใช้งานได้ก็ควรเปลี่ยนใหม่เพื่อความสบายใจ


เรียนรู้เกี่ยวกับรถมือสอง เพื่อจะได้ครอบครองรถมือสองได้อย่างมีคุณภาพ โชคดี ครับ


<<=== ขอขอบคุณ ที่มาของความรู้ www.รถมือสอง99.com ===>>

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่