หนึ่งในภาพยนตร์ที่คนทั้งโลกรอคอยอีกเรื่องประจำซัมเมอร์นี้ จะว่าไปแล้วแกนหลังของหนังภาคนี้มีเส้นเรื่องที่ผูกโยงกับคำว่า “ครอบครัว” เอาไว้ หนังเปิดเรื่องมาให้เราเห็น “หลายชีวิต” หลังจากที่พวกเขาได้ใช้เงินที่ได้รับมาจากภาคที่ 5 แต่ทำไมพวกเขากลับรู้สึกว่าชีวิตของตนไม่มีความสุขเหมือนได้อยู่ “บ้าน”

อาการ HomeSick ของโดมินิค เทอร์เรตโต้(วิน ดีเซล)และไบรอัน(พอล วอลเกอร์) ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นเมื่อ ดอมได้รับภาพที่แสดงว่า เลตตี้ (มิเชล โรดดิเกซ) ที่พวกเขาเข้าใจว่าตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ แต่เธอกำลังร่วมขบวนการกับชอว์(ลุค อีแวนส์) ซึ่งอาชญากรรายนี้เป็นที่ต้องการตัวจากทางการ ดอมจึงต้องเรียกพลพรรคพี่น้องที่เคยร่วมงานกันกลับมาพิสูจน์ความจริงอีกครั้ง

จะว่าไปตัวหนังยังคงเดินเรื่องได้รวดเร็ว ฉับไว และใส่อารมณ์ขันให้กับตัวละครอยู่เป็นระยะๆ แทรกสลับฉากต่อสู้แบบตัวต่อตัวกับฉากไล่ล่าบนท้องถนนที่ยังตื่นตาตื่นเต้นเช่นเคย

สิ่งที่ธีมหนังภาคนี้สามารถทำให้คนดูมีอารมณ์ร่วมตามไปได้ประมาณหนึ่ง คือเราค่อนข้างผูกพันกับตัวละครชุดนี้มาตั้งแต่ภาค 4 – 5 มาในภาคที่ 6 เรื่องราวทุกอย่างจึงขมวดปมไปถึงเรื่องการใช้ชีวิตแบบเป็นครอบครัว ที่ทุกคนต้องอยู่ร่วมกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา มันสะท้อนสารัตถะบางอย่างของสภาพชีวิตผู้คนปัจจุบันที่เริ่มโหยหาความรักจากคนใกล้ตัวมากขึ้น

นอกจากนี้บรรดาดาราใหม่ที่เข้ามาแจมในแฟรนชายส์เรื่องนี้อย่างจีน่า คาราโน่ (Haywire) และหนุ่มปินอยจอมหักกระดูกอย่างโจ ทาสลิม (The Raid) ก็โชว์คิวบู้ได้อย่างสะเด็ดสะเด่า

น่าแปลกก็คือหนังซูเปอร์ฮีโร่ยุคปัจจุบัน พยายามจะนำเสนอด้านที่พวกเขาเป็นมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดามากชึ้น ทว่าตัวละครใน Fast & Furious 6 กลับกลายร่างเป็นจอมหักกระดูกที่ฆ่าไม่ตายกันไปเสียหมด

หรือจริงๆนี่ก็เป็น “ฝันเปียก” อีกเรื่องที่เราอยากจะมีชีวิตโลดโผนแบบตัวละครพวกนี้ก็เป็นได้

เครดิต : https://entertainmentbite.wordpress.com/ OR http://www.facebook.com/EntertainmentBite