ชาติก่อน เราเคยเป็นอะไร


ชาติก่อน เราเคยเป็นอะไร

คำถามกวนประสาทเสียยิ่งกระไร ใครจะไปทราบได้หล่ะว่า "ชาติก่อน เราเคยเป็นอะไร" คงมีแต่พระพุทธเจ้า และพระอริยสาวก เท่านั้นกระมัง ที่จะทราบได้ แต่เชื่อไหมว่า บางอย่างที่เราเป็นอยู่ตอนนี้ มันอาจจะทำให้เรารู้ว่า "ชาติก่อนเรามาจากไหน หรือ เคยเป็นอะไร"

บางคนมีท่าท่างเหมือนลิง จึงพอจะเดาได้ว่าชาติก่อน "เขาคงเป็นลิง" แต่ก็แค่เดาเท่านั้น สิ่งเหล่านี้ไม่แน่นอน มันมีเหตุปัจจัยมากมาย ยากที่จะหาคำตอบที่ถูกต้องได้

พุทธศาสนาเชื่อการเวียนว่ายตายเกิด เชื่อเรื่องเวรกรรม ดังนั้นการจะเหตุผลว่าใครเคยเป็นอะไรเมื่อชาติก่อน ก็คงหาเหตุผลไม่ได้ เพราะเหตุผลเป็นเรื่องซับซ้อน เหตุอย่างเดียวกัน ก็อาจจะให้ผลแตกต่างกัน มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ดังนั้นผู้มีปัญญาจึงไม่ควรไปใส่เรื่องในชาติก่อน แต่ควรสนใจปัจจุบันเป็นสำคัญ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่พอจะมีเหตุมีผลอยู่ ในข้อว่าทำไมคนเราถึงได้ "ดี" และ "ชั่ว" ไม่มีใครในโลกอยากเป็นคนชั่ว ทุกคนอยากเป็นคนดี อยากได้รับคำชมว่า "ดี" แต่เนื่องจากคนเรามีปัญญาไม่เท่ากัน มันจึงทำให้ทุกคนดีไม่เท่ากัน

คนเราส่วนมาก มักจะลุ่มหลงในกิเลสต่างๆ ใครอดทนได้มาก ก็เป็นคนดีมาก ใครอดทนได้น้อย ก็เป็นคนดีน้อย ปัจจัยที่ทำให้คนไม่เหมือนกัน คือ กรรม พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า "กรรมจำแนกสัตว์ให้ดีและหยาบ" คนที่เคยชั่วมาเมื่อชาติก่อน ชาตินี้จึงทำชั่วง่าย ทำดียาก ส่วนคนที่ดีมาเมื่อชาติก่อน ชาตินี้ก็ย่อมทำดีง่าย ทำชั่วยาก เช่นกัน

เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า ภูมิเดิมของสัตว์ มีผลต่อการเป็นคนดีและคนชั่ว โดยให้มติว่า คนที่ทำดีได้ง่ายทำชั่วได้ยากนั้น เมื่อชาติที่แล้ว เขาคงมาจากภูมิที่ดี อาจจะเป็นสวรรค์ชั้นใดชั้นหนึ่ง หรือ เป็นมนุษย์ ส่วนคนที่ทำชั่วได้ง่าย ทำดีได้ยาก ชาติที่แล้ว เขาคงมาจากนรกขุมใดขุมหนึ่ง หรือ เป็นสัตว์เดรัจฉาน

ด้วยเหตุนี้ เลยทำให้เราสามารถดูคนออกว่า คนคนนั้น ชาติก่อนเขาเคยมาจากภูมิไหน พระท่านได้กล่าวไว้ว่า คนที่มาจากภูมิดี แม้ได้ฟังธรรมเพียงเล็กน้อย จิตใจก็น้อมเอียงเข้าหาธรรมเองโดยทันที ไม่ต้องผ่านการชักจูงอะไร แต่สำหรับคนที่มาจากภูมิที่เลว แม้จะเอาพระที่เก่งมาเทศนาต่อหน้า ก็ไม่อาจเข้าใจธรรมได้

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เรามักจะเห็นคนสองประเภทเสมอคือ เวลาฟังธรรมะจะมีคนกลุ่มหนึ่ง หัวเราะเพราะไม่เชื่อ หรือ จับกลุ่มคุยกัน ส่วนอีกกลุ่มคือ ตั้งใจฟังและพิจารณาไปตามธรรมที่ได้ฟังนั้น เราไม่อาจจะโทษใครได้ ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับบุญบารมีของแต่ละคน สมดังคำที่ว่า "แข่งเรือแข่งพาย แข่งกันได้ แต่แข่งบุญวาสนานี้ แข่งยาก"

คนเรามีปัญญาไม่เท่ากัน ปัญญาคือสิ่งสำคัญในการทำให้คนเข้าใจธรรม ถามว่า "ธรรม" มีความสำคัญอย่างไร คำตอบคือ เป็นสิ่งที่ทำให้เราอยู่เย็นเป็นสุข ใครไม่ใสใจในธรรม ก็ย่อมมีความเดือดร้อนใจอยู่เสมอ พระพุทธเจ้าตัดสินคนว่า "ใครชอบธรรม คนนั้นย่อมเจริญ ใครห่างเหินธรรม คนนั้นย่อมเสื่อม" และมันเป็นจริงอย่างนั้น

สมัยนี้มีนักเขียนมากมาย ที่เสียสละในการเคี้ยว และย่อยธรรมที่ยากๆ ให้คนอ่านแล้วเข้าใจง่าย ไม่ต้องตีความอีก อ่านแล้วก็รู้เลย แต่แปลกที่ไม่ค่อยมีใครสนใจอ่าน หรือ จะรับฟัง ผู้เขียนเคยคิดว่า คนสมัยนี้ คงเป็นมนุษย์ที่เกิดมามีบุญน้อยเป็นส่วนมาก เพราะได้เห็นแล้วว่า ไม่มีใครสนใจธรรมะกันเท่าไร การกระทำกรรมลามก มีอยู่ทุกวันและยิ่งจะรุนแรงเพิ่มขึ้น จนคิดว่าคนมีบุญวาสนา เขาคงพากันนิพพานหรืออยู่บนสวรรค์กันหมดแล้วกระมัง

ถึงตอนนี้ หลายคนคงพิจารณาตนเองอยู่ว่า "เราเคยมาจากภูมิไหน" และหากปรากฏว่าตนมาจากภูมิไม่ดีก็คงรู้สึกแย่ และอาจจะคิดว่ามันเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ผู้เขียนอยากบอกว่า มันมีโอกาสเป็นไปได้ แต่นั้นก็ไม่ได้สำคัญเลย สิ่งสำคัญอยู่ที่ปัจจุบัน มันสำคัญที่เราได้พิจารณาตนเองแล้ว แล้วอยู่ที่ว่าเราจะทำอย่างไรต่อไป จะเป็นคนดีขึ้น หรือ เหมือนเดิม ก็แล้วแต่เราจะเลือกทำ

อดีตไม่ได้สำคัญ หากแต่มันเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเราได้ แต่ปัจจุบันและอนาคตนี่สิ ที่สำคัญยิ่ง เราสามารถเลือกที่จะทำให้มันเป็นไปแบบไหนก็ได้ ด้วยการกระทำของเราตอนนี้นั่นเอง

Bank9597 เว็บไซต์ NPZmoon.com
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่