มีคนจำนวนน้อยมากที่ไม่หลงใหลกับการตามล่าหาขุมทรัพย์
ไม่ใช่มีแต่เพียงปรากฎการณ์ในภาพยนตร์อย่างเดียวเท่านั้น
แต่จริง ๆ แล้วยังมีการค้นพบขุมทรัพย์ที่ยังซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ถึงแม้ว่าจะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยีมากมายในตอนนี้
ยังมีสมบัติที่ยังรอการค้นพบอีกจำนวนมาก
เช่น สมบัติของ William Captan Kidd
ที่หลบซ่อนอยู่อีกจำนวนมากเช่นกัน
รายชื่อสถานที่ 10 แห่งที่คาดว่ายังมีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่
William Captan Kidd
การแขวนคอประหารชีวิต William Captan Kidd ในกรงเหล็ก
William Captain Kidd ปี 1645-23 พฤษภาคม 1701
นักเดินเรือชาวสก็อต หลังกลับจากเดินเรือในแถบทะเลอินเดีย
เริ่มทำตัวเป็นโจรสลัดในท้องทะเลหลวง
ในยุคสมัยนั้นเป็นเรื่องปกติที่แต่ละชาติต่างทำมาหากินกันแบบนี้
สุดท้ายถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในกรงเหล็ก
เรื่องราวตำนานที่มีการสร้างหนังฮอลลีวูดหลายเรื่องมาก
Howard Pyle จินตนาการการฝังสมบัติของ Kidd
10. Yamashita’s Treasure at Bacuit Bay
แม่ทัพTomoyuki Yamashita กับทหารยอมจำนน 2 กันยายน 1945
แม่ทัพTomoyuki Yamashita (เสือร้ายแห่งมาลายา)
ในศาลอาชญากรสงครามที่จัดตั้งขึ้นในประเทศฟิลิปปินส์
ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานอาชญากร จึงถูกประหารชีวิต
ที่ Los Baños รัฐ Laguna ฟิลิปปินส์
เกิด 8 พฤศจิกายน 1885 - 23 กุมภาพันธ์ 1946
Tomoyuki Yamashita แม่ทัพกองทัพจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ได้ฉายาว่า เสือร้ายแห่งมาลายา ในการทำสงครามกับประเทศอังกฤษ/อาณานิคมมาลายา-สิงคโปร์
หมายเหตุ สงครามยึดสิงคโปร์ใช้เวลาไม่เกินกว่าสองสัปดาห์
เพราะทหารอังกฤษกับชาวอาณานิคมแทบไม่ยอมสู้รบด้วย
การขนย้ายกองทัพกับอาวุธยุทโธปกรณ์จากเมืองไทยไปยึดมาลายู
ใช้รถจักรยานเป็นหลัก จักรยานบางส่วนยึดจากชาวบ้านทั้งไทย/มาเลย์
เมื่อชนะแล้วมีการนำเชลยศึกบางส่วนมาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควที่กาญจนบุรี
เส้นทางหลักเข้ามาเลย์ผ่านทางถนนไทรบุรี(ถนนกาญจนวณิชย์)
ตรงด่านนอก-จังโหลน อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา
จังโหลน = ใบจังหล่น ช้างหล่น คำบอกเล่า ชาวสยามในมาเลย์
ด่านนอกติดกับด่านบูกิตกายูอีตำ(เขาไม้ดำ)รัฐไทรบุรี(เคดาห์)ตอนเหนือสุดมาเลเซีย
ระยะทางจากเหนือสุดมาเลเซียไปสิงคโปร์ประมาณ 851 กิโลเมตร
Tomoyuki Yamashita ได้ขนย้ายทรัพย์สินจำนวนมหาศาล
ด้วยการใช้กองทัพทหารญี่ปุ่นตีชิงปล้นทรัพย์สมบัติ
จากชาวบ้านร้านช่องในมาเลย์กับสิงคโปร์
ในปีนัง อีโปร์ จะมีเรื่องราวทหารญี่ปุ่นปล้นร้านทองกับร้านค้าเล่าสืบต่อกันมา
รวมทั้งอีกหลายแห่งมีการเล่าถึงความชั่วร้ายของทหารญี่ปุ่น
สมบัติบางส่วนกองทัพญี่ปุ่นรวบรวมมาจาก
อินเดิย พม่า และไทย เพื่อนำกลับไปประเทศญี่ปุ่น
บริเวณเกาะแก่งรอบ ๆ อ่าวบากุย
ก่อนที่ญี่ปุ่นยอมแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
Tomoyuki Yamashita ได้ขุดซ่อนฝังสมบัติไว้เป็นจำนวนมาก
คาดว่าไม่น้อยกว่า 172 แห่งตามเกาะแก่งในอ่าวบากุย
ประมาณการว่ามีมูลค่ามากกว่า 22,000 พันล้านเหรียญสหรัฐ
เพราะครั้งหนึ่งในช่วงปี 1970 Rogelio Roxas ได้ค้นพบสมบัติจำนวนหนึ่ง
แต่ถูกอายัด/ยึดเป็นสมบัติของชาติโดยประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์มาร์กอส
คาดว่ายังมีสมบัติจำนวนมากที่ยังหลบซ่อนอยู่ตามเกาะแก่งของอ่าวแห่งนี้
9. Treasure Chest of the Church of Pisco
ในปี 1859 ทหารรับจ้างสี่นายในกองทัพเปรู ชาวสเปน (Diego Alvarez)
ชาวไอริช (Killorain) ชาวอังกฤษ (Luke Barrett) และชาวอเมริกัน (Brown)
พวกเขาต่างแสวงหาเงินและหวังว่าจะมีโชคชะตาที่ดีกว่านี้
มีชายคนหนึ่งที่พบกันโดยบังเอิญเล่าว่ารู้จักกับนักบวชอลัชชี (Father) Matteo มัสเตโร่
ได้บอกว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ในโบสถ์เมือง Pisco ทั้งสี่คนจึงสมคบคิดวางแผนการขึ้นมา
ด้วยการลาออกจากการเป็นทหารรับจ้างแล้วเดินทางไปเมือง Pisco
Alvarez กับ Killorain เป็นชาวคาทอลิก จึงเข้าร่วมพิธีศาสนาอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากนั้นเริ่มปล่อยข่าวลือเรื่องน่ากลัวของโจรผู้ร้าย
จนพวกเขาได้พบกับบาทหลวงที่ทรยศต่อพระเจ้าชื่อ Matteo
บาทหลวงที่รู้เรื่องเกี่ยวกับสมบัติและรวบรวมไว้เป็นจำนวนมหาศาล
พร้อมกับเกรงกลัวว่าพวกโจรที่จะมาปล้นสมบัติไป
พวกเขาจึงอาสากับบาทหลวงปาราชิกว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์/ทหารคุ้มกัน
การทำงานครั้งนี้จะทำเพื่อพระเจ้าด้วยการขนย้ายสมบัติทั้งหมด
(ทองคำ 14 ตัน เครื่องประดับอัญมณี สร้อยเพชรพลอย 38 เส้น
เพชรพลอยเครื่องประดับอื่น ๆ เหรียญทองคำสเปนอีกจำนวนมาก)
นำไปเก็บรักษาไว้ในสถานที่ปลอดภัย เรือบรรทุกสมบัติแล่นลงใต้ไปยังเมือง Callao เปรู
อดีตทหารรับจ้างทั้งสี่คนเดินทางร่วมกับ Matteo บาทหลวงส่วนหนึ่ง ผู้โดยสาร ลูกเรือ และกัปตันเรือ
และแล้วอดีตทหารรับจ้างได้ฆ่าคนเหล่านั้นตายทั้งหมด
Alvarez เสนอว่าให้ซ่อนสมบัติไว้ที่ไหนสักแห่งก่อน แล้วค่อยแล่นเรือไปขึ้นยังชายฝั่งออสเตรเลีย
ก่อนจะจมเรือใหญ่ลงโดยอ้างว่าเรืออับปางลงกลางทะเล วิธีการนี้จะไม่มีใครสงสัยว่ามีการฆาตกรรมและโจรกรรมเกิดขึ้น
หลังจากนั้นค่อยหาเรือลำอื่นเดินทางไปขนสมบัติทั้งหมดกลับมา
เรือดังกล่าวได้แวะที่ ตาฮิติ เพื่อรวบรวบเสบียง ก่อนที่จะแล่นเรือเข้าไปสู่บริเวณที่มีเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวนมาก
บริเวณแนวหินปะการัง ในเดือนธันวาคม 1859 พวกเขาพบเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหมู่เกาะ Tuamotu
พวกเขาจึงขนสมบัติลงเรือกรรเชียงลำเล็กแล้วค่อย ๆ ลำเลียงสมบัติทีละเล็กทีละน้อยไปบนเกาะแห่งนั้น
จนสมบัติทั้งหมดได้ถูกซ่อนไว้บนเกาะปริศนาแห่งนั้น
กลุ่มหมู่เกาะ Tuamotu
Alvarez ได้ทำแผนที่ขุมทรัพย์แห่งนั้นไว้ แต่เพราะไม่ทราบชื่อของเกาะแห่งนั้น
พวกเขาจึงเดินทางไปที่เกาะ Katiu สอบถามชาวท้องถิ่นเกี่ยวกับชื่อเกาะบริเวณนั้น
มีชาวท้องถิ่นรายหนึ่งอ้างว่ามีประสบการณ์เดินเรือและบอกว่าชื่อเกาะ Pinaki แต่แล้วจริง ๆ ไม่ใช่
Alvarez จึงชักปืนขึ้นมาแล้วจ่อยิงเพื่อฆ่าปิดปากชายคนดังกล่าว เพื่อไม่ให้ความลับอาจจะรั่วไหลได้
เรื่องดังกล่าวทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นมาก จนพวกเขาทั้งสี่คนต้องรีบร้อนหลบหนีไปจากเกาะแห่งนั้น
พวกเขาได้แล่นเรือไปใกล้ชายฝั่งออสเตรเลียแล้วจมเรือลำใหญ่
ก่อนจะพายเรือกรรเชียงไปขึ้นฝั่ง เพื่อรอวันเวลาเดินทางกลับไปเอาสมบัติทั้งหมด
แต่เพราะพวกเขาขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเดินทางกลับไปเกาะปริศนาอีก
จึงพยายามขายฝันพร้อมแผนที่ขุมทรัพย์ให้กับนักลงทุนที่ร่ำรวย แต่ไม่มีใครกล้าลงทุนด้วย
ด้วยความจำเป็นที่จะต้องหาเงิน พวกเขาจึงไปทำงานในเหมืองทอง Palmer ที่รัฐควีนแลนด์
แต่แล้ว Alvarez กับ Luke Barrett ถูกฆ่าตายในการทะเลาะวิวาทกับนักขุดหาทอง
ส่วน Killorain กับ Brown ถูกตัดสินจำคุก 20 ปีข้อหาร่วมกันฆ่าคนตาย
Brown ตายในคุก ส่วน Killorain พ้นจากคุกกลายเป็นคนจรจัดไร้ที่อยู่
ในเดือนพฤษภาคมปี 1912 Charles Howe ขณะที่อยู่ในบ้านพักใกล้เมืองซิดนีย์
มันเป็นคืนที่ฝนตกหนัก เขาได้ยินเสียงเคาะประตู จึงเปิดประตูออกมา พบคนจรจัดมาขอทาน
เขาตกใจมากที่พบคนแคระตัวเล็ก ๆ เหมือนหลุดออกจากภาพวาดในหนังสือนิทาน
แต่เขาให้อาหารเลี้ยงดูพร้อมกับมอบเสื้อผ้าแห้งให้
จากนั้นนคนจรจัดก็เดินจากไปในเวลาต่อมา
สี่เดือนต่อมา Howe ถูกเชิญตัวไปที่โรงพยาบาลซิดนีย์
เพราะมีคนจรจัดคนหนึ่งกำลังป่วยหนักและต้องการพูดคุยกับ Charles Howe
เมื่อได้พบกันแล้ว คนจรจัดบอกว่า
ชื่อ Killorain มีเพื่อนอีกสามคนแต่ตายหมดแล้ว
พวกเขาได้ฝังสมบัติจำนวนมากไว้
แต่การที่ตนเองต้องใช้ชีวิตในคุกเป็นเวลานาน
ทำให้หลังจากนั้นไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีกเลย
จึงขอมอบแผนที่ที่ Avarez ทำขึ้นมาเพื่อตอบแทนบุญคุณ
แล้วอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับที่ตั้งและสมบัติที่ซุกซ่อนไว้
เพื่อตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดว่าจริงหรือโกหก
Charles Howe พบว่ามีโบสถ์ Pisco จริง
ชายทั้งสี่คนเข้ามาอยู่ในเมือง Cooktown
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1860 หลังจากเรืออับปางลงจริง
เมื่อเขากลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อจะพูดคุยกับ Killorain อีกครั้ง
ก็พบว่า Killorain เพิ่งเสียชีวิตไป
Charles Howe ขายทรัพย์สมบัติทั้งหมดแล้วออกเดินทางค้นหาขุมทรัพย์
ด้วยการแล่นเรือไปที่ตาฮิติ จากนั้นทำตัวเหมือนชาวพื้นเมือง
เข้าพักอาศัยและค้นหาสมบัติบนเกาะปะการังขนาดเล็กชื่อ Pinaki
เขาต้องใช้เวลาอยู่ถึง 13 ปีในการค้นหาทรัพย์สมบัติแต่ก็ไม่พบเลย
จนสอบถามชาวพื้นเมืองที่เกาะตาฮิติ
เรื่องราวเรือที่มีคนสี่คนแล่นเรือออกมาจาก Pisco
แล้วมาทอดสมอเรือที่หมู่เกาะปะการัง Pinaki
แต่ชาวพื้นเมืองบอกว่าไม่เคยเห็นเรือลำนี้ที่เกาะ Pinaki
Charles Howe จึงย้ายไปเกาะแห่งใหม่พร้อมกับแผนที่ในมือ
เพียงแค่สามวันหลังจากนั้น ก็พบอัญมณีและเหรียญทองของสเปน
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือทอง Alvarez ตามแผนที่ระบุว่าฝังอยู่ในสระน้ำรูปลูกแพร์
เมื่อดำน้ำลงในสระน้ำก็พบกับชิ้นส่วนไม้บางชิ้น ทำให้แน่ใจว่าพบที่ตั้งทองคำแล้ว
แต่การขนทองคำจำนวน 14 ตันขึ้นจากทะเลสาบ/เกาะแห่งนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
เพราะไม่ต้องการให้ชาวบ้านรู้ว่า ได้พบอะไรมาแล้วบ้าง
ชาวบ้านบนเกาะต่างรู้ว่าเขาเป็นนักแสวงหาโชค/ได้ใช้เวลาหลายปีแล้ว
สำหรับการค้นหาขุมทรัพย์ตามเกาะแก่งปะการัง
เขาจึงฝังหีบเหรียญทองคำสเปนและอัญมณีไว้แล้ว
นำสมบัติติดตัวกลับมาเพียงเล็กน้อย
พร้อมกับบอกเล่าชาวบ้านว่าล้มเหลวอีกครั้งในการค้นหาขุมทรัพย์
Charles Howe เดินทางกลับไปออสเตรเลีย
ได้รวบรวมกลุ่มนักผจญภัย/นักลงทุน
เพื่อเตรียมการจะเดินทางไปขุดค้นสมบัติ
เตรียมระบบห่วงโซ่อุปทานในการลำเลียงสมบัติ
Charles Howe เก็บซ่อนแผนที่ไว้กับตนเองแล้วเดินทางไปทำงานที่เหมืองทองคำ
เพื่อหาเงินกับเรียนรู้เทคนิคเคล็ดลับบางอย่างในการตรวจสอบทองคำ
ต่อมาเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพราะขาดเงินทุนในการเดินทางร่วมไปกับคณะตามแผนการที่วางไว้
ก่อนตายเขาได้บอกเล่าเรื่องราวกับ George Hamilton
แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะผู้ฟังไม่เข้าใจเส้นทางแผนที่และที่ตั้งเกาะปริศนา
ในเดือนมกราคมปี 1934 มีกลุ่มนักแสวงโชคเดินทางไปที่หมู่เกาะตาฮิติ
เพื่อค้นหาเกาะปริศนาตามที่ทราบ/เชื่อว่าประสบการณ์/โชคชะตาจะต้องพบเกาะปริศนาได้
แต่ใช้เวลานานมากจนเงินทุนร่อยหรอลง นักลงทุน/นายทุนเเลยบอกเลิกไม่ยอมจมเงินลงไปอีก
เรื่องนี้จบลงด้วยยังมีทองคำ 14 ตัน อัญมณี เหรียญทองสเปน ยังรอคนโชคดีไปค้นพบ
สมบัติสุดขอบฟ้าที่รอการค้นหา
ไม่ใช่มีแต่เพียงปรากฎการณ์ในภาพยนตร์อย่างเดียวเท่านั้น
แต่จริง ๆ แล้วยังมีการค้นพบขุมทรัพย์ที่ยังซ่อนอยู่ที่ไหนสักแห่ง
ถึงแม้ว่าจะมีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์/เทคโนโลยีมากมายในตอนนี้
ยังมีสมบัติที่ยังรอการค้นพบอีกจำนวนมาก
เช่น สมบัติของ William Captan Kidd
ที่หลบซ่อนอยู่อีกจำนวนมากเช่นกัน
รายชื่อสถานที่ 10 แห่งที่คาดว่ายังมีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่
นักเดินเรือชาวสก็อต หลังกลับจากเดินเรือในแถบทะเลอินเดีย
เริ่มทำตัวเป็นโจรสลัดในท้องทะเลหลวง
ในยุคสมัยนั้นเป็นเรื่องปกติที่แต่ละชาติต่างทำมาหากินกันแบบนี้
สุดท้ายถูกประหารชีวิตด้วยการแขวนคอในกรงเหล็ก
เรื่องราวตำนานที่มีการสร้างหนังฮอลลีวูดหลายเรื่องมาก
10. Yamashita’s Treasure at Bacuit Bay
Tomoyuki Yamashita แม่ทัพกองทัพจักรวรรดิ์ญี่ปุ่น ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ได้ฉายาว่า เสือร้ายแห่งมาลายา ในการทำสงครามกับประเทศอังกฤษ/อาณานิคมมาลายา-สิงคโปร์
หมายเหตุ สงครามยึดสิงคโปร์ใช้เวลาไม่เกินกว่าสองสัปดาห์
เพราะทหารอังกฤษกับชาวอาณานิคมแทบไม่ยอมสู้รบด้วย
การขนย้ายกองทัพกับอาวุธยุทโธปกรณ์จากเมืองไทยไปยึดมาลายู
ใช้รถจักรยานเป็นหลัก จักรยานบางส่วนยึดจากชาวบ้านทั้งไทย/มาเลย์
เมื่อชนะแล้วมีการนำเชลยศึกบางส่วนมาสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแควที่กาญจนบุรี
เส้นทางหลักเข้ามาเลย์ผ่านทางถนนไทรบุรี(ถนนกาญจนวณิชย์)
ตรงด่านนอก-จังโหลน อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา
จังโหลน = ใบจังหล่น ช้างหล่น คำบอกเล่า ชาวสยามในมาเลย์
ด่านนอกติดกับด่านบูกิตกายูอีตำ(เขาไม้ดำ)รัฐไทรบุรี(เคดาห์)ตอนเหนือสุดมาเลเซีย
ระยะทางจากเหนือสุดมาเลเซียไปสิงคโปร์ประมาณ 851 กิโลเมตร
Tomoyuki Yamashita ได้ขนย้ายทรัพย์สินจำนวนมหาศาล
ด้วยการใช้กองทัพทหารญี่ปุ่นตีชิงปล้นทรัพย์สมบัติ
จากชาวบ้านร้านช่องในมาเลย์กับสิงคโปร์
ในปีนัง อีโปร์ จะมีเรื่องราวทหารญี่ปุ่นปล้นร้านทองกับร้านค้าเล่าสืบต่อกันมา
รวมทั้งอีกหลายแห่งมีการเล่าถึงความชั่วร้ายของทหารญี่ปุ่น
สมบัติบางส่วนกองทัพญี่ปุ่นรวบรวมมาจาก
อินเดิย พม่า และไทย เพื่อนำกลับไปประเทศญี่ปุ่น
Tomoyuki Yamashita ได้ขุดซ่อนฝังสมบัติไว้เป็นจำนวนมาก
คาดว่าไม่น้อยกว่า 172 แห่งตามเกาะแก่งในอ่าวบากุย
ประมาณการว่ามีมูลค่ามากกว่า 22,000 พันล้านเหรียญสหรัฐ
เพราะครั้งหนึ่งในช่วงปี 1970 Rogelio Roxas ได้ค้นพบสมบัติจำนวนหนึ่ง
แต่ถูกอายัด/ยึดเป็นสมบัติของชาติโดยประธานาธิบดีเฟอร์ดินานด์มาร์กอส
คาดว่ายังมีสมบัติจำนวนมากที่ยังหลบซ่อนอยู่ตามเกาะแก่งของอ่าวแห่งนี้
9. Treasure Chest of the Church of Pisco
ในปี 1859 ทหารรับจ้างสี่นายในกองทัพเปรู ชาวสเปน (Diego Alvarez)
ชาวไอริช (Killorain) ชาวอังกฤษ (Luke Barrett) และชาวอเมริกัน (Brown)
พวกเขาต่างแสวงหาเงินและหวังว่าจะมีโชคชะตาที่ดีกว่านี้
มีชายคนหนึ่งที่พบกันโดยบังเอิญเล่าว่ารู้จักกับนักบวชอลัชชี (Father) Matteo มัสเตโร่
ได้บอกว่ามีสมบัติซ่อนอยู่ในโบสถ์เมือง Pisco ทั้งสี่คนจึงสมคบคิดวางแผนการขึ้นมา
ด้วยการลาออกจากการเป็นทหารรับจ้างแล้วเดินทางไปเมือง Pisco
Alvarez กับ Killorain เป็นชาวคาทอลิก จึงเข้าร่วมพิธีศาสนาอย่างสม่ำเสมอ
หลังจากนั้นเริ่มปล่อยข่าวลือเรื่องน่ากลัวของโจรผู้ร้าย
จนพวกเขาได้พบกับบาทหลวงที่ทรยศต่อพระเจ้าชื่อ Matteo
บาทหลวงที่รู้เรื่องเกี่ยวกับสมบัติและรวบรวมไว้เป็นจำนวนมหาศาล
พร้อมกับเกรงกลัวว่าพวกโจรที่จะมาปล้นสมบัติไป
พวกเขาจึงอาสากับบาทหลวงปาราชิกว่าจะทำหน้าที่เป็นผู้พิทักษ์/ทหารคุ้มกัน
การทำงานครั้งนี้จะทำเพื่อพระเจ้าด้วยการขนย้ายสมบัติทั้งหมด
(ทองคำ 14 ตัน เครื่องประดับอัญมณี สร้อยเพชรพลอย 38 เส้น
เพชรพลอยเครื่องประดับอื่น ๆ เหรียญทองคำสเปนอีกจำนวนมาก)
นำไปเก็บรักษาไว้ในสถานที่ปลอดภัย เรือบรรทุกสมบัติแล่นลงใต้ไปยังเมือง Callao เปรู
อดีตทหารรับจ้างทั้งสี่คนเดินทางร่วมกับ Matteo บาทหลวงส่วนหนึ่ง ผู้โดยสาร ลูกเรือ และกัปตันเรือ
และแล้วอดีตทหารรับจ้างได้ฆ่าคนเหล่านั้นตายทั้งหมด
Alvarez เสนอว่าให้ซ่อนสมบัติไว้ที่ไหนสักแห่งก่อน แล้วค่อยแล่นเรือไปขึ้นยังชายฝั่งออสเตรเลีย
ก่อนจะจมเรือใหญ่ลงโดยอ้างว่าเรืออับปางลงกลางทะเล วิธีการนี้จะไม่มีใครสงสัยว่ามีการฆาตกรรมและโจรกรรมเกิดขึ้น
หลังจากนั้นค่อยหาเรือลำอื่นเดินทางไปขนสมบัติทั้งหมดกลับมา
เรือดังกล่าวได้แวะที่ ตาฮิติ เพื่อรวบรวบเสบียง ก่อนที่จะแล่นเรือเข้าไปสู่บริเวณที่มีเกาะเล็กเกาะน้อยจำนวนมาก
บริเวณแนวหินปะการัง ในเดือนธันวาคม 1859 พวกเขาพบเกาะเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในหมู่เกาะ Tuamotu
พวกเขาจึงขนสมบัติลงเรือกรรเชียงลำเล็กแล้วค่อย ๆ ลำเลียงสมบัติทีละเล็กทีละน้อยไปบนเกาะแห่งนั้น
จนสมบัติทั้งหมดได้ถูกซ่อนไว้บนเกาะปริศนาแห่งนั้น
พวกเขาจึงเดินทางไปที่เกาะ Katiu สอบถามชาวท้องถิ่นเกี่ยวกับชื่อเกาะบริเวณนั้น
มีชาวท้องถิ่นรายหนึ่งอ้างว่ามีประสบการณ์เดินเรือและบอกว่าชื่อเกาะ Pinaki แต่แล้วจริง ๆ ไม่ใช่
Alvarez จึงชักปืนขึ้นมาแล้วจ่อยิงเพื่อฆ่าปิดปากชายคนดังกล่าว เพื่อไม่ให้ความลับอาจจะรั่วไหลได้
เรื่องดังกล่าวทำให้ชาวบ้านโกรธแค้นมาก จนพวกเขาทั้งสี่คนต้องรีบร้อนหลบหนีไปจากเกาะแห่งนั้น
พวกเขาได้แล่นเรือไปใกล้ชายฝั่งออสเตรเลียแล้วจมเรือลำใหญ่
ก่อนจะพายเรือกรรเชียงไปขึ้นฝั่ง เพื่อรอวันเวลาเดินทางกลับไปเอาสมบัติทั้งหมด
แต่เพราะพวกเขาขาดแคลนทุนทรัพย์ในการเดินทางกลับไปเกาะปริศนาอีก
จึงพยายามขายฝันพร้อมแผนที่ขุมทรัพย์ให้กับนักลงทุนที่ร่ำรวย แต่ไม่มีใครกล้าลงทุนด้วย
ด้วยความจำเป็นที่จะต้องหาเงิน พวกเขาจึงไปทำงานในเหมืองทอง Palmer ที่รัฐควีนแลนด์
แต่แล้ว Alvarez กับ Luke Barrett ถูกฆ่าตายในการทะเลาะวิวาทกับนักขุดหาทอง
ส่วน Killorain กับ Brown ถูกตัดสินจำคุก 20 ปีข้อหาร่วมกันฆ่าคนตาย
Brown ตายในคุก ส่วน Killorain พ้นจากคุกกลายเป็นคนจรจัดไร้ที่อยู่
มันเป็นคืนที่ฝนตกหนัก เขาได้ยินเสียงเคาะประตู จึงเปิดประตูออกมา พบคนจรจัดมาขอทาน
เขาตกใจมากที่พบคนแคระตัวเล็ก ๆ เหมือนหลุดออกจากภาพวาดในหนังสือนิทาน
แต่เขาให้อาหารเลี้ยงดูพร้อมกับมอบเสื้อผ้าแห้งให้
จากนั้นนคนจรจัดก็เดินจากไปในเวลาต่อมา
สี่เดือนต่อมา Howe ถูกเชิญตัวไปที่โรงพยาบาลซิดนีย์
เพราะมีคนจรจัดคนหนึ่งกำลังป่วยหนักและต้องการพูดคุยกับ Charles Howe
เมื่อได้พบกันแล้ว คนจรจัดบอกว่า
ชื่อ Killorain มีเพื่อนอีกสามคนแต่ตายหมดแล้ว
พวกเขาได้ฝังสมบัติจำนวนมากไว้
แต่การที่ตนเองต้องใช้ชีวิตในคุกเป็นเวลานาน
ทำให้หลังจากนั้นไม่สามารถกลับไปที่นั่นได้อีกเลย
จึงขอมอบแผนที่ที่ Avarez ทำขึ้นมาเพื่อตอบแทนบุญคุณ
แล้วอธิบายเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับที่ตั้งและสมบัติที่ซุกซ่อนไว้
เพื่อตรวจสอบเรื่องราวทั้งหมดว่าจริงหรือโกหก
Charles Howe พบว่ามีโบสถ์ Pisco จริง
ชายทั้งสี่คนเข้ามาอยู่ในเมือง Cooktown
ในเดือนกุมภาพันธ์ 1860 หลังจากเรืออับปางลงจริง
เมื่อเขากลับไปที่โรงพยาบาลเพื่อจะพูดคุยกับ Killorain อีกครั้ง
ก็พบว่า Killorain เพิ่งเสียชีวิตไป
ด้วยการแล่นเรือไปที่ตาฮิติ จากนั้นทำตัวเหมือนชาวพื้นเมือง
เข้าพักอาศัยและค้นหาสมบัติบนเกาะปะการังขนาดเล็กชื่อ Pinaki
เขาต้องใช้เวลาอยู่ถึง 13 ปีในการค้นหาทรัพย์สมบัติแต่ก็ไม่พบเลย
จนสอบถามชาวพื้นเมืองที่เกาะตาฮิติ
เรื่องราวเรือที่มีคนสี่คนแล่นเรือออกมาจาก Pisco
แล้วมาทอดสมอเรือที่หมู่เกาะปะการัง Pinaki
แต่ชาวพื้นเมืองบอกว่าไม่เคยเห็นเรือลำนี้ที่เกาะ Pinaki
Charles Howe จึงย้ายไปเกาะแห่งใหม่พร้อมกับแผนที่ในมือ
เพียงแค่สามวันหลังจากนั้น ก็พบอัญมณีและเหรียญทองของสเปน
สิ่งเดียวที่เหลืออยู่คือทอง Alvarez ตามแผนที่ระบุว่าฝังอยู่ในสระน้ำรูปลูกแพร์
เมื่อดำน้ำลงในสระน้ำก็พบกับชิ้นส่วนไม้บางชิ้น ทำให้แน่ใจว่าพบที่ตั้งทองคำแล้ว
แต่การขนทองคำจำนวน 14 ตันขึ้นจากทะเลสาบ/เกาะแห่งนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ
เพราะไม่ต้องการให้ชาวบ้านรู้ว่า ได้พบอะไรมาแล้วบ้าง
ชาวบ้านบนเกาะต่างรู้ว่าเขาเป็นนักแสวงหาโชค/ได้ใช้เวลาหลายปีแล้ว
สำหรับการค้นหาขุมทรัพย์ตามเกาะแก่งปะการัง
เขาจึงฝังหีบเหรียญทองคำสเปนและอัญมณีไว้แล้ว
นำสมบัติติดตัวกลับมาเพียงเล็กน้อย
พร้อมกับบอกเล่าชาวบ้านว่าล้มเหลวอีกครั้งในการค้นหาขุมทรัพย์
ได้รวบรวมกลุ่มนักผจญภัย/นักลงทุน
เพื่อเตรียมการจะเดินทางไปขุดค้นสมบัติ
เตรียมระบบห่วงโซ่อุปทานในการลำเลียงสมบัติ
Charles Howe เก็บซ่อนแผนที่ไว้กับตนเองแล้วเดินทางไปทำงานที่เหมืองทองคำ
เพื่อหาเงินกับเรียนรู้เทคนิคเคล็ดลับบางอย่างในการตรวจสอบทองคำ
ต่อมาเขาก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เพราะขาดเงินทุนในการเดินทางร่วมไปกับคณะตามแผนการที่วางไว้
ก่อนตายเขาได้บอกเล่าเรื่องราวกับ George Hamilton
แต่ก็ไร้ประโยชน์ เพราะผู้ฟังไม่เข้าใจเส้นทางแผนที่และที่ตั้งเกาะปริศนา
ในเดือนมกราคมปี 1934 มีกลุ่มนักแสวงโชคเดินทางไปที่หมู่เกาะตาฮิติ
เพื่อค้นหาเกาะปริศนาตามที่ทราบ/เชื่อว่าประสบการณ์/โชคชะตาจะต้องพบเกาะปริศนาได้
แต่ใช้เวลานานมากจนเงินทุนร่อยหรอลง นักลงทุน/นายทุนเเลยบอกเลิกไม่ยอมจมเงินลงไปอีก
เรื่องนี้จบลงด้วยยังมีทองคำ 14 ตัน อัญมณี เหรียญทองสเปน ยังรอคนโชคดีไปค้นพบ